วิลเลียม เชกสเปียร์
วิลเลียม เชกสเปียร์ | |
---|---|
![]() ภาพวาดเชกสเปียร์ ไม่ปรากฏชื่อศิลปิน ตั้งอยู่ที่หอศิลป์ภาพบุคคลแห่งชาติ กรุงลอนดอน | |
เกิด | 26 เมษายน ค.ศ. 1564 Stratford-upon-Avon, Warwickshire ประเทศอังกฤษ |
เสียชีวิต | 23 เมษายน ค.ศ. 1616 Stratford-upon-Avon, Warwickshire | (51 ปี)
อาชีพ | นักเขียน กวี นักแสดง |
สัญชาติ | อังกฤษ |
แนว | กวีนิพนธ์, บทละคร |
ผลงานที่สำคัญ | โรมิโอกับจูเลียต กวีนิพนธ์ชุด ซอนเน็ต |
คู่สมรส | แอนน์ แฮททาเวย์ |
ลายมือชื่อ | ![]() |
วิลเลียม เชกสเปียร์ (อังกฤษ: William Shakespeare; 26 เมษายน ค.ศ. 1564 - 23 เมษายน ค.ศ. 1616[1]) เป็นกวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษ ได้รับยกย่องทั่วไปว่าเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของวงการวรรณกรรมอังกฤษและของโลก[2] มักเรียกขานกันว่าเขาเป็นกวีแห่งชาติของอังกฤษ และ "Bard of Avon" (กวีแห่งเอวอน) งานเขียนของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน ประกอบด้วยบทละคร 38 เรื่อง กวีนิพนธ์แบบซอนเน็ต 154 เรื่อง กวีนิพนธ์อย่างยาว 2 ล้าน เรื่อง และบทกวีแบบอื่น ๆ อีกหลายชุด บทละครของเขาได้รับการแปลออกไปเป็นภาษาต่าง ๆ มากมาย และเป็นที่นิยมนำมาแสดงมากที่สุดในบรรดาบทละครทั้งหมด[3]
เชกสเปียร์เกิดและเติบโตที่เมืองสแตรทฟอร์ด ริมแม่น้ำเอวอน เมื่ออายุ 18 ปี เขาสมรสกับแอนน์ มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือ ซูซานน่า และฝาแฝด แฮมเน็ตกับจูดิธ ระหว่างช่วง ค.ศ. 1585- 1592 เขาประสบความสำเร็จในการเป็นนักแสดงในกรุงลอนดอนรวมถึงการเป็นนักเขียน ได้ร่วมเป็นหุ้นส่วนในคณะละครลอร์ดเชมเบอร์เลน (Lord Chamberlain's Men) ซึ่งในภายหลังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในชื่อ King's Men เชกสเปียร์เกษียณตัวเองกลับไปยังสแตรทฟอร์ดในราว ค.ศ. 1613 และเสียชีวิตในอีกสามปีต่อมา ไม่ค่อยมีบันทึกใดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเชกสเปียร์มากนัก จึงมีทฤษฎีมากมายที่คาดกันไปต่าง ๆ นานา เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว ความเชื่อทางศาสนา และแรงบันดาลใจในงานเขียนของเขา[4]
ผลงานที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของเชกสเปียร์ประพันธ์ขึ้นในช่วง ค.ศ. 1590 ถึง 1613 ในยุคแรก ๆ บทละครของเขาจะเป็นแนวชวนหัวและแนวอิงประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางบทละครที่เป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ต่อมาเขาเขียนบทละครแนวโศกนาฏกรรมหลายเรื่อง รวมถึงเรื่อง แฮมเล็ต King Lear และ แม็คเบธ ซึ่งถือว่าเป็นบทละครตัวอย่างของวรรณกรรมอังกฤษ ในช่วงปลายของการทำงาน งานเขียนของเขาจะเป็นแนวสุข-โศกนาฏกรรม (tragicomedies) หรือแนวโรมานซ์ และยังร่วมมือกับนักเขียนบทละครคนอื่น ๆ อีกมาก บทละครของเขาตีพิมพ์เผยแพร่ในหลายรูปแบบโดยมีรายละเอียดและเนื้อหาต่าง ๆ กันตลอดช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ ใน ค.ศ. 1623 เพื่อนร่วมงานสองคนในคณะละครของเขาได้ตีพิมพ์หนังสือ "First Folio" เป็นการรวบรวมงานเขียนของเขาขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งได้บรรจุบทละครที่ปัจจุบันเชื่อว่าเป็นงานเขียนของเชกสเปียร์เอาไว้ทั้งหมด (ขาดไปเพียง 2 เรื่อง)
ในยุคสมัยของเขา เชกสเปียร์เป็นกวีและนักเขียนบทละครที่ได้รับการยกย่องอยู่พอตัว แต่เขาได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงเช่นในปัจจุบันนี้นับตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 กวียุคโรแมนติกยกย่องนับถือเชกสเปียร์ในฐานะอัจฉริยะ ขณะที่กวียุควิคตอเรียเคารพนับถือเชกสเปียร์อย่างยิ่ง กระทั่ง จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เรียกเขาว่า Bardolatry[5] (คำยกย่องในทำนอง "จอมกวี" หรือ "เทพแห่งกวี") ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการดัดแปลงงานประพันธ์ของเขาออกไปเป็นรูปแบบแนวทางใหม่ ๆ โดยเหล่านักวิชาการและนักแสดงมากมาย ผลงานของเขายังคงเป็นที่นิยมอย่างสูงจนถึงปัจจุบันและมีการแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ในทุกประเทศทุกวัฒนธรรมทั่วโลก
ประวัติ[แก้]
วัยเยาว์[แก้]
วิลเลียม เชกสเปียร์ เป็นบุตรของ จอห์น เชกสเปียร์ เทศมนตรีและพ่อค้าถุงมือชาวเมืองสนิตเตอร์ฟิลด์ กับแมร์รี่ อาร์เด็น บุตรีของเจ้าที่ดินผู้มั่งคั่ง[6] เขาเกิดที่เมืองสแตรทฟอร์ดริมแม่น้ำเอวอน เข้าพิธีรับศีลเมื่อ 26 เมษายน ค.ศ. 1564 ไม่ทราบวันเกิดของเขาแน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นวันที่ 23 เมษายน หรือวันที่ระลึกนักบุญเซนต์จอร์จ[6] อย่างไรก็ดีอาจเป็นความผิดพลาดของนักวิชาการในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งสับสนกับวันเสียชีวิตของเชกสเปียร์ คือ 23 เมษายน 1616 ก็เป็นได้[6] เชกสเปียร์เป็นบุตรคนที่สามในจำนวนพี่น้องแปดคน และเป็นบุตรชายคนโตที่ยังมีชีวิตอยู่[6]
แม้จะไม่ใคร่มีบันทึกเกี่ยวกับประวัติของเชกสเปียร์หลงเหลืออยู่ นักศึกษาชีวประวัติส่วนใหญ่เชื่อว่า เชกสเปียร์เข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียน King's New School ในเมืองสแตรทฟอร์ด[7] ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเขาราว 1 ใน 4 ไมล์ การศึกษาภาษาศาสตร์ในโรงเรียนยังค่อนข้างเปลี่ยนแปลงไปมาในยุคสมัยเอลิซาเบธ แต่หลักสูตรถูกควบคุมทั่วประเทศโดยกฎหมาย[8] ทางโรงเรียนจะต้องสอนไวยากรณ์ละตินและวรรณกรรมคลาสสิกเท่านั้น เมื่ออายุได้ 18 ปี เชกสเปียร์แต่งงานกับแอนน์ ฮาธาเวย์ (Anne Hathaway) หญิงสาวอายุ 26 ปี เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ.1582 ดูเหมือนการแต่งงานจะจัดขึ้นอย่างเร่งรีบ เพราะมีการประกาศเรียกหาคำคัดค้านการวิวาห์เพียงครั้งเดียว แทนที่จะเป็นสามครั้งตามประเพณีปรกติ[9] สาเหตุอาจเนื่องมาจากการตั้งครรภ์ของฮาธาเวย์ก็ได้ เพราะเพียงหกเดือนหลังการแต่งงาน เธอก็ให้กำเนิดบุตรีคนแรกของเชกสเปียร์ คือ ซูซานนา ผู้เข้าพิธีรับศีลในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1583[6] ต่อมาบุตรชายและบุตรสาวฝาแฝด คือแฮมเน็ตและจูดิธ จึงถือกำเนิดขึ้น 2 ปีหลังจากนั้น และเข้าพิธีรับศีลเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1585[6] แฮมเน็ตเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่ออายุได้เพียง 11 ปี มีพิธีฝังศพเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1596[6]
ไม่มีบันทึกใด ๆ เกี่ยวกับเชกสเปียร์ให้พบเห็นอีกหลังการเสียชีวิตของบุตรฝาแฝด จนกระทั่งปรากฏชื่อของเขาอยู่ในฉากละครหนึ่งในกรุงลอนดอนในปี ค.ศ. 1592 ช่องว่างที่หายไปหลายปีระหว่าง ค.ศ. 1585 ถึง 1592 นักวิชาการเรียกว่าเป็น "ปีที่หายไป" ของเชกสเปียร์[6] มีนักศึกษาชีวประวัติหลายคนสร้างเรื่องสมมุติฐานขึ้นมากมายในช่วงปีเหล่านี้ เช่น นิโคลัส รอว์ นักศึกษาชีวประวัติเชกสเปียร์คนแรก ๆ เสนอแนวคิดว่า เชกสเปียร์หนีออกจากเมืองสแตรทฟอร์ดไปยังกรุงลอนดอนเพื่อหลบหนีคดีขโมยกวาง[10] เรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 18 บอกว่า เชกสเปียร์เริ่มต้นชีวิตการงานในโรงละครโดยการเป็นคนดูแลม้าของผู้อุปถัมภ์โรงละครในกรุงลอนดอน[6] จอห์น ออบรี่ย์ เสนอว่า เชกสเปียร์น่าจะเป็นครูโรงเรียนในชนบท[6] ขณะที่นักวิชาการในคริสต์ศตวรรษที่ 20 บางคนคิดว่า เชกสเปียร์อาจจะเคยเป็นครูของ อเล็กซานเดอร์ โฮตัน แห่งแลงคาไชร์ เจ้าที่ดินชาวคาทอลิก ซึ่งระบุชื่อ "วิลเลียม เชกสชาฟต์" ในพินัยกรรมของเขา[11] อย่างไรก็ดี ไม่มีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลยนอกจากคำบอกเล่าที่ได้ยินได้ฟังมาหลังจากการเสียชีวิตของเขาแล้วทั้งสิ้น[6]
ลอนดอน และการอาชีพการละคร[แก้]
ไม่ทราบแน่ชัดว่า เชกสเปียร์เริ่มต้นการประพันธ์ของเขาเมื่อใด แต่มีบันทึกและการกล่าวอ้างถึงชื่อของเขาอยู่ในรายการแสดง ทำให้ทราบว่าบทละครของเขามีการแสดงอยู่ในลอนดอนแล้วในราวปี ค.ศ. 1592[12] เขาเป็นที่รู้จักดีในกรุงลอนดอนจนกระทั่งนักเขียนบทละคร โรเบิร์ต กรีน ยังเอ่ยถึง[13] นักวิชาการส่วนมากเห็นว่า กรีนระบุชื่อเชกสเปียร์ในเชิงปรามาสว่าเขาพยายามขยับฐานะของตัวให้ขึ้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น และพยายามตีเสมอนักเขียนผู้ได้รับการศึกษาอย่างดีจากมหาวิทยาลัย เช่น คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์, โทมัส แนช รวมถึงตัวกรีนเอง[7]
คำว่าร้ายของกรีนเป็นหลักฐานอย่างแรกที่ระบุถึงการงานอาชีพของเชกสเปียร์เกี่ยวกับการละคร นักศึกษาชีวประวัติเชื่อว่าเขาน่าจะเริ่มต้นอาชีพของเขาในราวกลางคริสต์ทศวรรษ 1580 ก่อนการเอ่ยถึงของกรีนเล็กน้อย[14] หลังจาก ค.ศ. 1594 บทละครของเชกสเปียร์ก็มีการแสดงแต่เฉพาะในคณะละคร Lord Chamberlain's Men ซึ่งเป็นคณะละครที่เหล่านักแสดงร่วมเป็นเจ้าของเอง โดยเชกสเปียร์ก็เป็นหุ้นส่วนด้วย ในเวลาต่อมาคณะละครนี้กลายเป็นคณะที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในกรุงลอนดอน[6] หลังจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ในปี ค.ศ. 1603 คณะละครนี้ได้รับพระราชทานตราทะเบียนหลวงจากพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ คือพระเจ้าเจมส์ที่หนึ่ง และเปลี่ยนชื่อคณะละครเป็น King's Men[15]
ปี ค.ศ. 1599 สมาชิกคณะละครกลุ่มหนึ่งได้สร้างโรงละครของตัวเองขึ้นมาบนฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำเทมส์ เรียกชื่อโรงละครว่า "โรงละครโกลบ" ในปี ค.ศ. 1608 หุ้นส่วนกลุ่มนี้ได้เข้าควบคุมกิจการของโรงละคร Blackfriars มีบันทึกการซื้อที่ดินและการลงทุนของเชกสเปียร์ทำให้ทราบได้ว่า การลงทุนครั้งนี้ทำให้เชกสเปียร์มีฐานะมั่งคั่งขึ้น[12] ในปี ค.ศ. 1597 เชกสเปียร์ซื้อบ้านขนาดใหญ่เป็นหลังที่สองในเมืองสแตรทฟอร์ด (ภายหลังเรียกว่า New Place) และในปี ค.ศ. 1605 เขายังได้ลงทุนเป็นเจ้าของถึงหนึ่งในสิบของตำบลแห่งหนึ่งในเมืองสแตรทฟอร์ด[16]
บทละครบางส่วนของเชกสเปียร์ได้รับการตีพิมพ์แล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1594 เมื่อถึงปี 1598 ชื่อของเขาสามารถเป็นจุดขายโดยได้พิมพ์ปรากฏบนปกหนังสือ[6][17][18] เชกสเปียร์ยังคงแสดงละครเวทีของเขาเองและบทละครของคนอื่น ๆ แม้ว่าจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในฐานะคนเขียนบทละครแล้ว ละครเวทีของเบน โจนสัน ในปี ค.ศ. 1616 ยังปรากฏชื่อของเชกสเปียร์ในรายชื่อนักแสดงในเรื่อง Every Man in His Humour (1598) และ Sejanus, His Fall (1603)[19] ทว่าชื่อของเขาไม่ได้ร่วมอยู่ในละครของโจนสันในปี 1605 เรื่อง Volpone ทำให้นักวิชาการลงความเห็นว่า นั่นเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดบทบาทอาชีพนักแสดงของเชกสเปียร์[14] อย่างไรก็ดี ในหนังสือ "First Folio" แสดงชื่อของเชกสเปียร์เป็นหนึ่งในบรรดา "ตัวละครหลัก" ของบทละครทั้งหมดนั้น ซึ่งบางเรื่องก็เปิดแสดงหลังจากเรื่อง Volpone แต่ไม่สามารถทราบได้ว่าเชกสเปียร์ได้ร่วมแสดงเป็นตัวละครใดกันแน่[6]
เชกสเปียร์ใช้เวลาของเขาไปกับทั้งลอนดอนและสแตรทฟอร์ดพร้อมกัน ในปี ค.ศ. 1596 ก่อนที่เขาจะไปซื้อที่ดินใหม่เพื่อสร้างบ้านในสแตรทฟอร์ด เชกสเปียร์อาศัยอยู่ที่โบสถ์หลังหนึ่งของเซนต์เฮเลน ทางตอนเหนือของแม่น้ำเทมส์[20] เขาย้ายข้ามแม่น้ำมาทางใต้ในปี 1599 ซึ่งพรรคพวกของเขาได้สร้างโรงละครโกลบขึ้นในที่แห่งนั้น เมื่อถึงปี 1604 เขาย้ายกลับไปทางเหนือของแม่น้ำอีก ไปอยู่ในแถบชุมชนทางตอนเหนือของคริสตจักรเซนต์ปอล โดยเช่าห้องจากช่างทำวิกผมชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ คริสโตเฟอร์ เมาท์จอย[20]
ช่วงปลายของชีวิต[แก้]
หลังจากปี ค.ศ. 1606-1607 เชกสเปียร์ก็เขียนบทละครน้อยลง และไม่ได้เขียนเพิ่มอีกเลยหลังจากปี 1613[6] งานเขียนบทละคร 3 เรื่องสุดท้ายของเขาเป็นงานเขียนร่วมกับนักเขียนบทละครคนอื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น จอห์น เฟล็ตเชอร์[20] ผู้รับสืบทอดตำแหน่งนักเขียนบทละครประจำคณะของเขาใน King's Men ในเวลาต่อมา[6]
นิโคลัส รอว์ เป็นนักศึกษาชีวประวัติคนแรกที่นำเสนอแนวคิดว่า เชกสเปียร์เกษียณตัวเองกลับไปยังสแตรทฟอร์ดเป็นเวลาหลายปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต[7] ทว่าในยุคสมัยนั้นยังไม่ค่อยนิยมการเกษียณการทำงาน และเชกสเปียร์เองก็ยังเดินทางไปยังลอนดอนอยู่บ่อย ๆ[7] เช่นในปี ค.ศ. 1612 เขาเดินทางมาเป็นพยานในศาลเนื่องจากคดีของบุตรสาวของเมาท์จอย[20] ในเดือนมีนาคม 1613 เขาซื้อบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งในที่สงฆ์ของ Blackfriars[6] และหลังจากเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1614 เขาพำนักอยู่ในลอนดอนเป็นเวลาหลายสัปดาห์กับลูกเขย คือ จอห์น ฮอลล์[20]
เชกสเปียร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616[6] โดยใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับภรรยาและบุตรสาวทั้งสอง ซูซานนาแต่งงานกับนายแพทย์ จอห์น ฮอลล์ เมื่อปี ค.ศ. 1607 ส่วนจูดิธแต่งงานกับโทมัส ควินีย์ พ่อค้าเหล้าองุ่น สองเดือนหลังจากเชกสเปียร์เสียชีวิต[6]
ในพินัยกรรมของเชกสเปียร์ เขายกที่ดินผืนใหญ่ของเขาให้แก่ซูซานนา บุตรสาวคนโต[6] ข้อกำหนดระบุว่าเธอจะต้องสืบมรดกต่อไปโดยมอบให้แก่ "บุตรชายคนโต"[20] ครอบครัวควินีย์มีบุตรสามคน แต่ทั้งสามถึงแก่กรรมโดยไม่ได้แต่งงาน ครอบครัวฮอลล์มีบุตรเพียงคนเดียวคือ เอลิซาเบธ เธอแต่งงานสองครั้งแต่ไม่มีบุตร จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1670 เป็นอันสิ้นสุดผู้สืบตระกูลสายตรงของเชกสเปียร์[6] ในพินัยกรรมของเขาไม่ค่อยเอ่ยถึงภริยา ซึ่งสมควรจะได้รับมรดกจำนวน 1 ใน 3 ของที่ดินของเขาโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ดีเขาได้ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า ให้ยก "เตียงนอนที่ดีที่สุดหลังที่สอง" ของเขาให้แก่เธอ เป็นเหตุให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์กันมาก[7] นักวิชาการบางคนเห็นว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อยั่วแอนน์ แต่อีกหลายคนเห็นว่า เตียงนอนหลังที่สองของเขาหมายถึงเตียงจากการแต่งงาน จึงน่าจะมีความหมายอย่างลึกซึ้ง[6]
ร่างของเชกสเปียร์ฝังไว้ที่สุสานของคริสตจักรโฮลี่ทรินิตี้หลังจากเขาเสียชีวิตได้สองวัน ต่อมาในช่วงใดช่วงหนึ่งก่อนปี ค.ศ. 1623 มีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่เขาบนกำแพงทางด้านเหนือพร้อมรูปปั้นครึ่งตัวของเขาในท่ากำลังเขียนหนังสือ คำจารึกเปรียบเทียบเขาเสมอกับเนสเตอร์ โสกราตีส และเวอร์จิล[6] แผ่นหินที่วางเหนือหลุมศพของเขามีอักขระจารึกไว้พร้อมกับคำสาปหากมีผู้ใดบังอาจมาเคลื่อนย้ายกระดูกของเขา
งานบทละคร[แก้]
นักวิชาการมักแบ่งลำดับงานเขียนของเชกสเปียร์ออกเป็นสี่ช่วง[21] ในช่วงแรกจนถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1590 เขามักเขียนบทละครชวนหัวซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากงานของชาวโรมันและอิตาลี หรือบทละครแนวอิงประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงนั้น ต่อมาในช่วงที่สองตั้งแต่ราวปี 1595 เขาเริ่มเขียนละครโศกนาฏกรรม เริ่มตั้งแต่ โรมิโอกับจูเลียต ไปจนถึง จูเลียส ซีซาร์ ในปี ค.ศ. 1599 ในระหว่างช่วงเวลานี้ เขายังได้เขียนงานบทละครที่ได้รับยกย่องว่าเป็นบทละครแนวขบขันและแนวประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขาด้วย จากนั้นในราวปี ค.ศ. 1600 ถึงประมาณ 1608 นับเป็น "ยุคโศก" ของเขา เชกสเปียร์เขียนแต่เรื่องโศกนาฏกรรมเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนั้นในช่วงปี 1608 ถึง 1613 จะเป็นแนวเศร้าปนตลก หรือบางครั้งเรียกว่าแนวโรมานซ์
งานบทละครชิ้นแรกของเชกสเปียร์ที่มีการบันทึกไว้ คือบทละครเรื่อง พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 และบทละครอีกสามองก์ของ พระเจ้าเฮนรีที่ 4 ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1590 อันเป็นยุคที่นิยมละครชีวิตอิงประวัติศาสตร์ การระบุวันเวลาในการประพันธ์บทละครของเชกสเปียร์ทำได้ค่อนข้างยาก แต่จากการศึกษางานเขียนของเขา นักวิชาการเชื่อว่า Titus Andronicus, The Comedy of Errors, The Taming of the Shrew และ Two Gentlemen of Verona น่าจะเป็นงานเขียนในช่วงแรก ๆ ของเชกสเปียร์[6] ผลงานในกลุ่มละครอิงประวัติศาสตร์ของเชกสเปียร์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากงานของราฟาเอล โฮลินเชด ในปี 1587 คือ Chronicles of England, Scotland, and Ireland แสดงให้เห็นถึงความล่มจมที่เกิดจากการปกครองอันอ่อนแอ ซึ่งสามารถตีความไปถึงต้นกำเนิดของราชวงศ์ทิวดอร์[22] องค์ประกอบของบทละครยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานของนักเขียนบทละครในยุคเอลิซาเบธหลายคน โดยเฉพาะ โทมัส คิด และ คริสโตเฟอร์ มาโลว์ อันเป็นลักษณะของบทละครในยุคกลาง[23] บทละคร The Comedy of Errors ก็มีพื้นฐานมาจากรูปแบบละครในยุคคลาสสิก แต่ไม่พบแหล่งกำเนิดของ The Taming of the Shrew แม้ว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับละครอีกเรื่องหนึ่งที่มีชื่อเดียวกันซึ่งดัดแปลงมาจากนิทานพื้นบ้าน[6]

ผลงานคลาสสิกและงานขำขันในยุคแรกของเชกสเปียร์มักมีโครงเรื่อง 2 ส่วนเกี่ยวพันกัน และมีลำดับการออกมุขตลกที่แน่ชัด เป็นตัวเบิกทางไปสู่ผลงานสุขนาฏกรรมอันอบอวลด้วยความรักในช่วงกลางทศวรรษ 1590[7] นั่นคือ ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน (A Midsummer Night's Dream) อันเป็นบทละครที่ผสมผสานระหว่างเรื่องราวความรัก เวทมนตร์ของนางฟ้า และฉากตลกขำขัน บทละครเรื่องต่อมาคือ เวนิสวาณิช ก็เป็นละครชวนหัวที่เกี่ยวกับความรัก มีตัวละครชาวยิวผู้เป็นนายหน้าเงินกู้จอมงก ไชล็อก อันสะท้อนภาพของผู้คนในยุคเอลิซาเบธ นอกจากนี้ยังมีบทละครชวนหัวที่เล่นถ้อยคำอย่างชาญฉลาด Much Ado About Nothing, ฉากอันงดงามมีเสน่ห์ใน As You Like It ตลอดจนเรื่องราวรื่นเริงใน ราตรีที่สิบสอง (Twelfth Night) เหล่านี้ล้วนเป็นบทละครสุขนาฏกรรมอันมีชื่อเสียงของเชกสเปียร์[7] หลังจากงานกวีเรื่อง ริชาร์ดที่ 2 เชกสเปียร์นำเสนองานเขียนร้อยแก้วเชิงขำขันกับละครอิงประวัติศาสตร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1590 คือเรื่อง พระเจ้าเฮนรีที่ 4 และ พระเจ้าเฮนรีที่ 5 ตัวละครของเขามีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากขึ้น โดยที่ต้องสลับไปมาระหว่างความจริงจังกับความตลก และยังสลับไปมาระหว่างการบรรยายแบบร้อยแก้วกับร้อยกรอง นับเป็นผลสำเร็จในการนำเสนอเรื่องราวด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ ในงานเขียนของเขา[24][7] ยุคนี้ของเชกสเปียร์เริ่มต้นและจบลงด้วยงานเขียนโศกนาฏกรรมสองเรื่อง คือ โรมิโอกับจูเลียต ละครโศกนาฏกรรมความรักที่โด่งดังมีชื่อเสียงที่สุด และ จูเลียส ซีซาร์ ซึ่งแต่งขึ้นจากผลงานแปลของเซอร์โทมัส นอร์ธ เรื่อง Parallel Lives ในปี 1579 นับเป็นการนำเสนอรูปแบบละครชีวิตแนวใหม่[7]
ช่วงที่เรียกว่า "ยุคโศก" ของเชกสเปียร์อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1600 - 1608 เขาเขียนทั้งบทละครโศกนาฏกรรมรวมถึงบทละครที่เรียกกันว่า "problem plays" (บทละครกังขา : กล่าวคือไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นละครตลกหรือละครเศร้า อาจเรียกว่าเป็น "ตลกร้าย") ได้แก่ Measure for Measure, ทรอยลัสกับเครสสิดา, และ All's Well That Ends Well[25][26] นักวิจารณ์หลายคนเห็นว่า ละครโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ของเชกสเปียร์เป็นตัวแสดงถึงศิลปะอันสูงสุดในตัวเขา วีรบุรุษ แฮมเล็ต เป็นตัวละครของเชกสเปียร์ที่ถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดตัวหนึ่ง โดยเฉพาะบทรำพันของตัวละครที่โด่งดังมาก คือ "To be or not to be; that is the question."[25] แฮมเล็ตเป็นตัวละครที่มีปัญหาภายในใจมาก และความลังเลของเขาเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ทว่าตัวละครเอกในโศกนาฏกรรมเรื่องอื่นที่ตามมา คือ Othello และ King Lear กลับได้รับผลร้ายจากความรีบเร่งด่วนตัดสิน[25] โครงเรื่องโศกของเชกสเปียร์มักเกิดเหตุการณ์ที่ผิดพลาดอย่างไม่น่าเกิดขึ้น อันนำมาซึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาดและทำลายชีวิตของตัวละครเอกกับคนรัก นักวิจารณ์คนหนึ่งคือ แฟรงค์ เคอร์โมด (Frank Kermode) กล่าวว่า "บทละครไม่เปิดโอกาสให้ตัวละครหรือผู้ชมสามารถหลุดพ้นจากความโหดร้ายได้เลย"[25][7] ในบทละครเรื่อง แมคเบธ ซึ่งเป็นบทละครที่สั้นที่สุดของเชกสเปียร์ ความทะเยอทะยานไม่รู้จบยั่วให้แมคเบธกับภริยา คือเลดี้แมคเบธ ปลงพระชนม์กษัตริย์ผู้ชอบธรรมและชิงบัลลังก์มา ความผิดนี้ทำลายคนทั้งสองในเวลาต่อมา เชกสเปียร์ได้ประพันธ์บทกวีนิพนธ์อันไพเราะลงในงานบทละครโศกชิ้นสำคัญในช่วงหลัง ๆ คือ Antony and Cleopatra กับ Coriolanus ซึ่งถือว่าเป็นบทกวีที่ดีที่สุด ที.เอส.อีเลียต กวีและนักวิจารณ์ ยังยกย่องว่าเป็นบทละครโศกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเชกสเปียร์อีกด้วย[7][27]
ยุคสุดท้ายของผลงานของเชกสเปียร์หวนกลับไปสู่บทละครโรมานซ์หรือตลกโศกอีกครั้ง โดยมีบทละครสามเรื่องเป็นเรื่องเอกคือ Cymbeline, The Winter's Tale และ The Tempest นอกจากนี้ยังมีงานอื่นอีกเช่น Pericles, Prince of Tyre บทละครทั้งสี่เรื่องนี้มีบรรยากาศของเรื่องค่อนข้างเศร้ากว่าบทละครตลกอื่น ๆ ในช่วงทศวรรษ 1590 แต่ก็จบลงด้วยความปรองดองและการให้อภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น นักวิจารณ์บางคนเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งนี้เกิดจากการที่เชกสเปียร์มีประสบการณ์ในชีวิตมากขึ้น แต่ก็อาจเกิดจากความนิยมในการชมละครที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยได้ด้วยเช่นกัน ยังมีผลงานของเชกสเปียร์ที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันที่เชื่อว่าประพันธ์ขึ้นในยุคนี้อีกคือเรื่อง พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 และ The Two Noble Kinsmen โดยคาดว่าเป็นงานเขียนร่วมกับจอห์น เฟล็ตเชอร์
การแสดงละคร[แก้]

ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าเชกสเปียร์เขียนบทละครในยุคแรก ๆ ให้แก่คณะละครใด ที่หน้าปกของ Titus Andronicus ฉบับพิมพ์ปี 1594 ระบุว่าบทละครถูกนำไปแสดงโดยคณะละครเร่ถึง 3 คณะ[28] หลังจากเหตุการณ์โรคระบาดใหญ่ในปี ค.ศ. 1592-3 บทละครของเขาก็นำไปแสดงในคณะละครของเขาเองที่โรงละคร The Theatre และ The Curtain ในชอร์ดิทช์ ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำเทมส์[28] ชาวลอนดอนแห่กันไปที่นั่นเพื่อชมละครตอนแรกของเรื่อง พระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 เลโอนาร์ด ดิกก์ส บันทึกไว้ว่า "แทบจะหาห้องไม่ได้"[29] เมื่อชาวคณะละครมีปัญหากับเจ้าของที่ดิน พวกเขาก็รื้อโรงละครลงแล้วเอาไม้ไปสร้างโรงละครแห่งใหม่ชื่อ "โรงละครโกลบ" ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำเทมส์ที่เซาธ์วาร์ค เป็นโรงละครแห่งแรกที่นักแสดงสร้างขึ้นเพื่อนักแสดงเอง[30] โรงละครใหม่เปิดในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1599 โดยแสดงเรื่อง จูเลียส ซีซาร์ เป็นเรื่องแรก บทละครที่เชกสเปียร์เขียนขึ้นหลังปี 1599 ล้วนสร้างสรรค์ขึ้นสำหรับโรงละครแห่งนี้ รวมถึงเรื่อง แฮมเล็ต โอเธลโล และ King Lear[31]
หลังจากคณะละคร Lord Chamberlain's Men เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น King's Men ในปี 1603 พวกเขาก็เริ่มได้เข้าเฝ้าถวายรับใช้แด่กษัตริย์องค์ใหม่ คือ พระเจ้าเจมส์ แม้ประวัติการแสดงค่อนข้างจะขาดตอนไม่ต่อเนื่อง แต่คณะละครก็ได้ใช้บทละครของเชกสเปียร์แสดงต่อหน้าพระที่นั่งถึง 7 ครั้ง ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1604 ถึง 31 ตุลาคม ค.ศ. 1605 รวมถึงเรื่อง เวนิสวาณิช ที่ได้แสดง 2 ครั้ง[28] หลังจากปี 1608 พวกเขาแสดงที่โรงละครในร่ม Blackfriars ในระหว่างฤดูหนาว และแสดงที่โกลบในช่วงฤดูร้อน[30] ฉากของโรงละครในร่มเปิดโอกาสให้เชกสเปียร์ได้ทดลองใช้อุปกรณ์ประกอบฉากแบบแปลกใหม่ เช่นในเรื่อง Cymbeline ฉากการโจมตีของเทพจูปิเตอร์ "ในท่ามกลางเสียงฟ้าร้องแสงฟ้าผ่า ประทับอยู่เหนืออินทรี ทรงขว้างค้อนสายฟ้า เหล่าปีศาจต่างทรุดลงไป"[7][32]
ในบรรดานักแสดงในคณะละครของเชกสเปียร์ มีนักแสดงผู้มีชื่อเสียงเช่น ริชาร์ด เบอร์บาจ, วิลเลียม เคมป์, เฮนรี่ คอนเดล และ จอห์น เฮมมิ่งส์ เบอร์บาจได้แสดงเป็นตัวละครเอกในบทละครยุคแรก ๆ ของเชกสเปียร์หลายเรื่อง รวมถึง ริชาร์ดที่ 3 แฮมเล็ต โอเธลโล และ King Lear[33] นักแสดงตลกผู้โด่งดัง วิล เคมป์ แสดงเป็นปีเตอร์คนรับใช้ในเรื่อง โรมิโอกับจูเลียต เป็น Dogberry ในเรื่อง Much Ado About Nothing[6] และบทอื่น ๆ อีก อย่างไรก็ดี ในวันที่ 29 มิถุนายน 1613 มีปืนใหญ่ยิงถูกหลังคาของโรงละครโกลบ ทำให้เกิดไฟไหม้ทลายโรงละครลง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด[28]
ต้นฉบับงานเขียน[แก้]
ปี ค.ศ. 1623 เพื่อนของเชกสเปียร์สองคนในคณะละคร King's Men คือ จอห์น เฮมมิ่งส์และเฮนรี่ คอนเดล ได้จัดพิมพ์หนังสือ First Folio เป็นการรวมงานเขียนบทละครต่าง ๆ ของเชกสเปียร์เป็นครั้งแรก เป็นหนังสือขนาดใหญ่ราว 15 นิ้ว (เรียกว่า folio) ประกอบด้วยเนื้อเรื่องบทละคร 36 เรื่อง ในจำนวนนี้มี 18 เรื่องเป็นบทละครที่เพิ่งพิมพ์เป็นครั้งแรก[28] โดยที่เนื้อเรื่องบางส่วนเคยเผยแพร่มาก่อนหน้านี้แล้วในรูปแบบหนังสือขนาดเล็ก (เรียกว่า quarto) ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเชกสเปียร์เห็นชอบกับการตีพิมพ์คราวนี้ บางครั้ง "First Folio" จึงได้ชื่อว่าเป็นงานที่ "ขโมยมาและลักลอบตีพิมพ์"[34] อัลเฟรด พอลลาร์ด เรียกบางส่วนของหนังสือเล่มนี้ว่า "bad quarto" (หมายถึงหนังสือที่บิดเบือน) เนื่องจากเนื้อหาจำนวนหนึ่งถูกดัดแปลง ถ่ายความ หรือบิดเบือนไป อันเนื่องจากการเขียนบทประพันธ์ขึ้นใหม่จากความทรงจำ[34] บทละครอื่น ๆ ของเชกสเปียร์ยังปรากฏเหลือรอดมาอยู่หลายชุด และแต่ละชุดก็มีความแตกต่างกันไปบ้าง ซึ่งอาจเกิดจากการคัดลอกหรือความผิดพลาดจากการพิมพ์ จากการบันทึกย่อของนักแสดง จากบันทึกของผู้ชม หรือบ้างก็จากกระดาษร่างของเชกสเปียร์เอง[35] บทละครบางเรื่องเช่น แฮมเล็ต ทรอยลัสกับเครสสิดา หรือ โอเธลโล ได้รับการดัดแปลงบทจากเชกสเปียร์เองหลายครั้ง สำหรับเรื่อง King Lear เนื้อหาที่ปรากฏในฉบับ folio กับฉบับ quarto ในปี 1608 มีความแตกต่างกันมากจนกระทั่งทางออกซฟอร์ดต้องตีพิมพ์ใน The Oxford Shakespeare ทั้งสองแบบ เพราะไม่สามารถนำสองเวอร์ชันนี้มารวมเข้าด้วยกันได้โดยไม่ทำให้เกิดความสับสน[28]
งานกวีนิพนธ์[แก้]
ปี ค.ศ. 1593-1594 เกิดโรคระบาดใหญ่ทำให้ต้องปิดการแสดงละครลงไป เชกสเปียร์ได้ตีพิมพ์ผลงานกวีนิพนธ์สองเรื่องในแนวอีโรติก คือ Venus and Adonis และ The Rape of Lucrece โดยอุทิศให้กับ เฮนรี ริธเธสลีย์ เอิร์ลแห่งเซาธ์แฮมตัน ในเรื่อง Venus and Adonis อโดนิสผู้ไร้เดียงสาปฏิเสธการร่วมรักกับเทพีวีนัส ขณะที่ในเรื่อง The Rape of Lucrece ลูครีส ภริยาผู้ซื่อสัตย์ของคอลลาทินุส ถูกขืนใจโดยโอรสของทาร์ควิน (เป็นเหตุแห่งการสิ้นสุดราชวงศ์ทาร์ควินด้วย)[36] งานประพันธ์เหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิรูปของโอวิด[37] แสดงถึงความผิดบาปและความขัดแย้งทางศีลธรรมซึ่งเป็นผลจากตัณหาที่ไม่สามารถควบคุมได้[36] บทกวีทั้งสองเรื่องนี้ได้รับความนิยมมากและมีการพิมพ์ซ้ำหลายครั้งตลอดช่วงชีวิตของเชกสเปียร์ ยังมีบทกวีอีกเรื่องหนึ่งชื่อ A Lover's Complaint พิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1609 บรรยายถึงคำคร่ำครวญของเด็กสาวคนหนึ่งที่เสียตัวให้กับชายผู้มาเกี้ยวพา ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันยอมรับกันว่าเชกสเปียร์เป็นผู้ประพันธ์บทกวีเรื่องนี้ แต่นักวิจารณ์จำนวนหนึ่งเห็นว่าบทกวีนี้ด้อยความงามลงไปเพราะคำพรรณนาที่เยิ่นเย้อ[36] กวีนิพนธ์เรื่อง The Phoenix and the Turtle พิมพ์ในปี ค.ศ. 1601 เป็นกวีนิพนธ์เชิงเปรียบเทียบพรรณนาอาลัยในการสิ้นชีพของฟีนิกซ์ นกในตำนาน กับคู่รักของมันคือนกเขา (turtle dove) นอกจากนี้ยังมีบทกวีอีกสองเรื่องคือร่างโคลงซอนเน็ตบทที่ 138 และ 144 ได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1599 ในหนังสือ The Passionate Pilgrim ภายใต้ชื่อของเชกสเปียร์ โดยไม่ได้รับอนุญาต[36]
ซอนเน็ต[แก้]
งานกวีนิพนธ์ชุด ซอนเน็ต ได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1609 ถือเป็นงานเขียนที่ไม่ใช่บทละครชุดสุดท้ายของเชกสเปียร์ที่ได้รับการตีพิมพ์ นักวิชาการไม่ค่อยแน่ใจว่า บทกวี 154 ชุดได้ประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลาใด แต่เชื่อว่าเชกสเปียร์เขียนโคลงซอนเน็ตระหว่างทำงานอยู่เรื่อย ๆ ในเวลาว่าง[6] ก่อนที่จะมีการพิมพ์บทกวีชุดปัญหาใน The Passionate Pilgrim ในปี 1599 ฟรังซิส เมเรส เคยอ้างถึงผลงานในปี 1598 ของเชกสเปียร์ เรื่อง "sugred Sonnets among his private friends"[20] ดูเหมือนว่า เชกสเปียร์ได้วางโครงร่างบทประพันธ์เอาไว้สองชุดหลักที่ตรงข้ามกัน ชุดที่หนึ่งเกี่ยวกับตัณหาที่ไม่อาจควบคุมได้ของสตรีที่แต่งงานแล้ว (เรียกว่า "dark lady" หรือ "หญิงใจชั่ว") อีกชุดหนึ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในความรักของเด็กหนุ่มไร้เดียงสา (เรียกว่า "fair youth" หรือ "วัยเยาว์ที่งดงาม") ไม่ทราบแน่ชัดว่าแนวคิดทั้งสองนี้เป็นตัวแทนถึงผู้ใดผู้หนึ่งในชีวิตจริงหรือไม่ รวมถึงคำว่า "I" (ข้า) ในบทกวี จะหมายถึงตัวเชกสเปียร์เองหรือไม่ งานพิมพ์ซอนเน็ตในปี 1609 ได้อุทิศให้แก่ "มิสเตอร์ ดับเบิลยู. เอช." ซึ่งได้รับยกย่องไว้ว่าเป็น "ผู้ให้กำเนิดเพียงผู้เดียว" ของบทกวีเหล่านั้น แต่ไม่ทราบแน่ว่าผู้เขียนคำอุทิศนี้คือเชกสเปียร์หรือทางสำนักพิมพ์ ทอมัส ทอร์ป กันแน่ ทั้งไม่ทราบว่า มิสเตอร์ ดับเบิลยู. เอช. ตัวจริงคือใคร มีทฤษฎีที่วิเคราะห์กวีนิพนธ์เล่มนี้มากมาย รวมถึงว่าเชกสเปียร์ได้อนุญาตให้มีการตีพิมพ์คราวนี้หรือไม่[6] นักวิจารณ์ต่างให้คำชื่นชมแก่บทกวีชุดซอนเน็ตว่าเป็นตัวอย่างการพรรณนาอันลึกซึ้งอย่างวิเศษเกี่ยวกับธรรมชาติของความรัก ความใคร่ การเกิด การตาย และกาลเวลา[38]
ลักษณะการประพันธ์[แก้]
ลักษณะการประพันธ์บทละครยุคแรก ๆ ของเชกสเปียร์เป็นไปตามสมัยนิยมในยุคของเขา โดยใช้ถ้อยคำภาษาที่มิได้ส่งออกมาจากภาวะในใจของตัวละครหรือตามบทบาทอันแท้จริง[39] คำพรรณนาในบทกวีก็เต็มไปด้วยอุปมาอุปไมยอันเพราะพริ้ง ภาษาที่ใช้เป็นลักษณะของสุนทรพจน์อันไพเราะมากเสียกว่าจะเป็นบทพูดจาสนทนากันตามจริง
แต่ต่อมาไม่นาน เชกสเปียร์เริ่มปรับปรุงวิถีทางดั้งเดิมเหล่านั้นเสียใหม่ตามจุดประสงค์ส่วนตัว การรำพึงรำพันกับตัวเองใน ริชาร์ดที่ 3 มีพื้นฐานมาจากวิธีการบรรยายจิตสำนึกของตัวละครในละครยุคกลาง ในขณะเดียวกันก็มีการแสดงบุคลิกตัวละครอย่างชัดแจ้งในระหว่างการรำพันนั้น การเปลี่ยนแปลงนี้มิได้เกิดขึ้นทันทีทันใดในบทละครเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เชกสเปียร์ค่อย ๆ ผสมผสานวิธีการทั้งสองนี้เข้าด้วยกันไปเรื่อย ๆ ในระหว่างการทำงาน ตัวอย่างที่ดีที่สุดเห็นจะได้แก่บทละครเรื่อง โรมิโอกับจูเลียต[40] ช่วงกลางทศวรรษ 1590 ระหว่างที่เขาประพันธ์เรื่อง โรมิโอกับจูเลียต, ริชาร์ดที่ 3 และ ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน เชกสเปียร์เริ่มแต่งบทกวีที่มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เขาค่อย ๆ ปรับระดับการอุปมาและการพรรณนาให้เหมาะสมกับลักษณะของตัวละครและเนื้อเรื่องของเขา
ฉันทลักษณ์มาตรฐานสำหรับบทกวีของเชกสเปียร์คือ blank verse ประพันธ์ด้วยมาตราแบบ iambic pentameter หมายความว่าบทกวีของเขาไม่ค่อยมีเสียงสัมผัส และมี 10 พยางค์ต่อ 1 บรรทัด ออกเสียงหนักที่พยางค์คู่ ฉันทลักษณ์ในบทประพันธ์ยุคแรกก็ยังมีความแตกต่างกับบทประพันธ์ในยุคหลังของเขาอยู่มาก โดยทั่วไปยังคงความงดงาม แต่รูปประโยคมักจะเริ่มต้น หยุด และจบเนื้อหาลงภายในบรรทัด เป็นความราบเรียบจนอาจทำให้น่าเบื่อหน่าย[41] ครั้นเมื่อเชกสเปียร์เริ่มชำนาญมากขึ้น เขาก็เริ่มใส่อุปสรรคลงไปในบทกวี ทำให้มีการชะงัก หยุด หรือมีระดับการลื่นไหลของคำแตกต่างกัน เทคนิคนี้ทำให้เกิดพลังชนิดใหม่และทำให้บทกวีที่ใส่ในบทละครมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่นที่ปรากฏใน จูเลียส ซีซาร์ และ แฮมเล็ต[42]
หลังจากเรื่อง แฮมเล็ต เชกสเปียร์ยังปรับรูปแบบการประพันธ์บทกวีของเขาต่อไปอีก โดยเฉพาะการแสดงความรู้สึกสื่อถึงอารมณ์ซึ่งปรากฏในบทละครโศกในยุคหลัง ๆ ในช่วงปลายของชีวิตการทำงานของเขา เชกสเปียร์พัฒนาเทคนิคการประพันธ์หลายอย่างให้ส่งผลกระทบด้านอารมณ์ต่าง ๆ กันได้ เช่น การส่งเนื้อความจากประโยคหนึ่งต่อเนื่องไปอีกประโยคหนึ่ง (enjambment) การใส่จังหวะเว้นช่วงหรือจังหวะหยุดแบบแปลก ๆ รวมถึงโครงสร้างและความยาวประโยคที่แตกต่างกันหลาย ๆ แบบ ผู้ฟังถูกท้าทายให้จับใจความและความรู้สึกของตัวละครให้ได้[43] บทละครโรมานซ์ในยุคหลังที่มีโครงเรื่องพลิกผันชวนประหลาดใจ ส่งแรงบันดาลใจให้กับแนวทางประพันธ์บทกวีในช่วงสุดท้าย โดยมีประโยคสั้น-ยาว รับส่งล้อความกัน มีการใช้วลีจำนวนมาก และสลับตำแหน่งประธาน-กรรม ของประโยค เป็นการสร้างสรรค์ผลกระทบใหม่โดยธรรมชาติ[43]
อัจฉริยะในทางกวีของเชกสเปียร์มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสัญชาตญานการทำละคร[44] โครงเรื่องละครของเชกสเปียร์ได้รับอิทธิพลจาก เปตราก และ โฮลินเชด เช่นเดียวกับนักเขียนบทละครคนอื่น ๆ แต่เขาปรับปรุงโครงเรื่องเสียใหม่ สร้างศูนย์กลางความสนใจขึ้นหลาย ๆ จุดและแสดงการบรรยายด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้ชมมากเท่าที่จะทำได้ ยิ่งเชกสเปียร์มีความชำนาญมากขึ้นเท่าใด เขาก็สามารถสร้างตัวละครได้ชัดเจนมากขึ้น มีแรงจูงใจอันหลากหลายมากขึ้น และมีวิธีการพูดที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างไรก็ดี เชกสเปียร์ยังคงรักษารูปแบบของงานในยุคต้นของเขาเอาไว้อยู่บ้าง แม้ในงานบทละครโรมานซ์ช่วงหลังของเขา ก็ยังมีการใช้รูปแบบของบทอันพริ้งเพรา เพื่อรักษามนต์เสน่ห์ของมายาแห่งการละครเอาไว้[43][45]
อิทธิพลของเชกสเปียร์[แก้]
ผลงานของเชกสเปียร์ได้สร้างให้เกิดความประทับใจอันยาวนานต่อมาในวงการการละครและวรรณกรรม เขาได้ขยายศักยภาพของการละครออกไปทั้งในด้านการสร้างลักษณะและบทบาทของตัวละคร โครงเรื่องที่แปลกใหม่ ภาษา และรูปแบบของการแสดงละคร[46] ก่อนจะมีละครเรื่อง โรมีโอและจูเลียต ไม่เคยมีการแสดงละครโรมานซ์ที่หยิบยกเอาความรักขึ้นมาเป็นประเด็นทรงคุณค่าสำหรับละครโศกมาก่อนเลย[47] การพูดคนเดียวของตัวละครเคยใช้สำหรับการอธิบายลักษณะของตัวละครหรือช่วยบรรยายเหตุการณ์ในเรื่อง แต่เชกสเปียร์นำมาใช้ในการรำพึงรำพันถึงความในใจของตัวละครตัวนั้น[48] นอกจากนี้ ผลงานของเขายังเป็นแรงบันดาลใจต่อกวีในยุคหลังอย่างมาก กวียุคโรแมนติกพยายามจะฟื้นฟูลักษณะการประพันธ์แบบเชกสเปียร์ขึ้นมาใหม่ แม้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก จอร์จ สเตนเนอร์ นักวิจารณ์ กล่าวว่า บทกวีอังกฤษในยุคระหว่างคอเลริดจ์จนถึงเทนนีสัน เป็นได้แค่ "งานดัดแปลงห่วย ๆ ที่เลียนแบบเชกสเปียร์" เท่านั้น[49]
เชกสเปียร์ยังมีอิทธิพลต่อนักเขียนนวนิยายเช่น โทมัส ฮาร์ดี[50] วิลเลียม ฟอลค์เนอร์[51] และ ชาร์ลส์ ดิคเก้นส์ ดิคเก้นส์นี้มักอ้างถึงงานประพันธ์ของเชกสเปียร์ และวาดภาพจากงานของเชกสเปียร์ถึง 25 ภาพ[52] นวนิยายที่มีตัวละครคนเดียวของนักประพันธ์ชาวอเมริกัน ชื่อ เฮอร์แมน เมลวิลล์ ถือว่าได้รับอิทธิพลมาจากเชกสเปียร์อย่างมาก กัปตัน อาฮับ ในเรื่อง โมบิดิก (Moby-Dick) ซึ่งเป็นวีรบุรุษรันทดที่คลาสสิกมาก ได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากเรื่อง King Lear[53] นักวิชาการยังสามารถระบุงานดนตรีมากกว่า 20,000 ชิ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับผลงานของเชกสเปียร์ ในจำนวนนี้รวมถึงละครโอเปราสองเรื่องของจูเซปเป แวร์ดี เรื่อง Otello และ Falstaff ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับบทละครต้นฉบับอย่างเห็นได้ชัด[54] เชกสเปียร์ยังส่งแรงบันดาลใจต่อศิลปินนักวาดภาพจำนวนมาก รวมถึงศิลปินในยุคโรแมนติกและกลุ่มนิยมแบบก่อนราฟาเอล[55][56] ศิลปินยุคโรแมนติกชาวสวิสคนหนึ่งชื่อ อองรี ฟูเซลี ซึ่งเป็นสหายของวิลเลียม เบลก ถึงกับลงมือแปลเรื่อง แมคเบธ ไปเป็นภาษาเยอรมันทีเดียว[57] นักจิตวิทยา ซีคมุนท์ ฟร็อยท์ ยังใช้ตัวอย่างงานของเชกสเปียร์โดยเฉพาะเรื่อง แฮมเล็ต ไปเป็นทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์[58]
ในยุคของเชกสเปียร์ รูปแบบไวยากรณ์และการสะกดคำในภาษาอังกฤษยังไม่สู้จะเป็นมาตรฐานดังเช่นปัจจุบัน การใช้ภาษาของเชกสเปียร์มีบทบาทสำคัญที่ช่วยจัดรูปแบบให้ภาษาอังกฤษใหม่[59] ในหนังสือพจนานุกรมภาษาอังกฤษ (A Dictionary of the English Language) ของ ซามูเอล จอห์นสัน ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกในตระกูลพจนานุกรมทั้งหมด อ้างอิงถึงเชกสเปียร์มากกว่านักเขียนคนอื่น ๆ มาก[60] สำนวนบางอย่างเช่น "with bated breath" (จาก เวนิสวาณิช) และ "a foregone conclusion" (จาก โอเธลโล) ก็กลายเป็นที่ใช้อยู่ทั่วไปในคำพูดภาษาอังกฤษในปัจจุบัน[61]
ชื่อเสียงและคำวิจารณ์[แก้]
"เขามิใช่เพียง (นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่) แห่งยุค แต่เป็น (นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่) ตลอดกาล" |
เบน โจนสัน[62] |
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เชกสเปียร์ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากนัก แต่ก็ได้รับคำยกย่องสรรเสริญตามสมควร[63] ปี ค.ศ. 1598 พระนักเขียนชื่อ ฟรังซิส เมเรส ยกย่องเชกสเปียร์ว่า "โดดเด่นที่สุด" ยิ่งกว่านักเขียนชาวอังกฤษทั้งหมดไม่ว่าด้านงานสุขหรือโศกนาฏกรรม[64] เหล่านักเขียนบทละคร Parnassus ที่วิทยาลัยเซนต์จอห์น เคมบริดจ์ นับเนื่องเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับชอเซอร์ โกเวอร์ และสเปนเซอร์[65] ใน First Folio เบน จอห์นสัน เรียกเชกสเปียร์ว่าเป็น "จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย เสียงชื่นชม ความรื่นเริงและความมหัศจรรย์แห่งเวทีของเรา" แม้เขาจะเคยกล่าวในที่แห่งอื่นว่า "เชกสเปียร์ต้องการศิลปะ"[65]
ระหว่างช่วงฟื้นฟูราชวงศ์ในช่วงทศวรรษ 1660 และปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แนวคิดแบบคลาสสิกเป็นเสมือนแฟชั่นชั่วครู่ชั่วยาม นักวิจารณ์ในยุคนั้นส่วนมากจึงมักจัดระดับงานของเชกสเปียร์อยู่ต่ำกว่า จอห์น เฟล็ตเชอร์ และ เบน โจนสัน[65] ตัวอย่างเช่น โทมัส ไรเมอร์ วิพากษ์วิจารณ์เชิงตำหนิกับการที่เชกสเปียร์นำเรื่องขำขันมาผสมปนเปกับงานโศก อย่างไรก็ดี จอห์น ไดรเดน กวีและนักวิจารณ์อีกคนหนึ่งให้ค่าแก่งานของเชกสเปียร์อย่างสูง เขาพูดถึงโจนสันว่า "ผมนับถือเขา แต่ผมรักเชกสเปียร์"[66] คำวิจารณ์ของไรเมอร์มีอิทธิพลมากกว่าเป็นเวลาหลายทศวรรษ จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักวิจารณ์จึงเริ่มกล่าวขวัญถึงถ้อยคำอันงดงามของเชกสเปียร์ และยอมรับถึงอัจฉริยภาพในทางอักษรของเขา งานเขียนเชิงวิชาการหลายชิ้น รวมถึงงานที่โดดเด่นเช่นงานเขียนของ ซามูเอล จอห์นสัน ในปี 1765 และ เอ็ดมอนด์ มาโลน ในปี 1790 แสดงให้เห็นถึงความนิยมยกย่องที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ[65] เมื่อถึงช่วงปี 1800 เขาก็ได้รับยกย่องให้เป็นกวีเอกแห่งชาติ[67] ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 ชื่อเสียงของเชกสเปียร์ก็เลื่องลือกว้างไกลออกไป เทียบเคียงกับบรรดานักเขียนชื่อดังท่านอื่น ๆ ได้แก่ วอลแตร์ เกอเธ่ สเตนดัล และ วิกเตอร์ ฮูโก เป็นต้น[68]
ระหว่างช่วงยุคโรแมนติก เชกสเปียร์ได้รับยกย่องอย่างสูงจากกวีและนักปรัชญาวรรณกรรม แซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ (Samuel Taylor Coleridge) นักวิจารณ์ชื่อ August Wilhelm Schlegel แปลงบทละครของเขาไปอยู่ในวรรณกรรมโรแมนติกของเยอรมัน[69] เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำวิจารณ์ยกย่องอัจฉริยะของเชกสเปียร์ก็ยิ่งเลิศลอยมากขึ้น[70] โทมัส คาร์ลไลล์ เขียนถึงเขาเมื่อ ค.ศ. 1840 ว่า "เชกสเปียร์ผู้ยิ่งใหญ่ ส่องประกายด้วยมงกุฎแห่งเอกราช อันเจิดจรัสเหนือผองเรา ดำรงซึ่งเกียรติ ศักดิ์ และพลังอันยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้ใดจักทำลายลงได้"[71] การแสดงละครในยุควิกตอเรียสร้างจากงานของเชกสเปียร์อย่างยิ่งใหญ่อลังการ[72] จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ นักวิจารณ์และนักเขียนบทละครถึงกับตั้งสมญานามเชิงล้อเลียนให้แก่เชกสเปียร์ว่าเป็น "Bardolatry" (จอมเทพแห่งกวี: มีความหมายเชิงยกย่องแต่แฝงความโบราณคร่ำครึ) และกล่าวว่า งานเขียนร่วมสมัยเชิงธรรมชาตินิยมที่เริ่มจากบทละครของอิบเซน นับเป็นจุดสิ้นสุดยุคของเชกสเปียร์[65]
แต่การปฏิวัติศิลปะยุคใหม่ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มิได้ละทิ้งงานของเชกสเปียร์ กลับนำผลงานของเขากลับมาใหม่ตามความพอใจของชนชั้นสูง กลุ่มเอ็กซ์เพรสชันนิสต์ในเยอรมันและพวกฟิวเจอริสต์ในมอสโกต่างนำเอาบทละครของเขากลับมาสร้างสรรค์กันใหม่ นักเขียนบทละครและผู้กำกับนิยมมาร์กซิสต์ ชื่อ Bertolt Brecht ได้สร้างโรงละครย้อนยุคโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเชกสเปียร์ ที.เอส.อีเลียต กวีและนักวิจารณ์แสดงความเห็นค้านกับชอว์ ว่างานของเชกสเปียร์มีความ "เรียบง่าย" อย่างมาก ซึ่งแสดงถึงความทันสมัยของเชกสเปียร์ในยุคเดียวกันนั้น[73] อีเลียต ร่วมกับ จี.วิลสัน ไนท์ และโรงเรียนวิจารณ์วรรณกรรมยุคใหม่ มีบทบาทสำคัญในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมนี้โดยได้รับอิทธิพลจากผลงานของเชกสเปียร์ ช่วงทศวรรษ 1950 คลื่นการเปลี่ยนแปลงของยุคใหม่เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ยุค "โพสต์-โมเดิร์น" ซึ่งนำการศึกษาวรรณกรรมของเชกสเปียร์เข้าสู่ยุคใหม่ด้วย[73] ทศวรรษ 1980 ลักษณะการศึกษาผลงานของเชกสเปียร์เปิดกว้างต่อศิลปะในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น เช่น structuralism, เฟมินิสต์, อัฟริกัน-อเมริกัน, และ เควียร์[73]
ข้อเคลือบแคลงเกี่ยวกับเชกสเปียร์[แก้]
ความเป็นเจ้าของผลงาน[แก้]
หลังจากเชกสเปียร์เสียชีวิตไปแล้วราว 150 ปี ก็เริ่มเกิดข้อสงสัยขึ้นเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของผลงานบางชิ้นของเชกสเปียร์[74] นักเขียนคนอื่นที่อาจเป็นเจ้าของผลงานเหล่านั้นได้แก่ ฟรานซิส เบคอน, คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ และเอ็ดเวิร์ด เดอ เวียร์ เอิร์ลแห่งออกซฟอร์ด[75] แม้ว่าในวงวิชาการจะมีการพิจารณาและปฏิเสธความเป็นเจ้าของงานของผู้น่าสงสัยคนอื่น ๆ ไป แต่ประเด็นความสนใจในเรื่องนี้ก็ยังคงโด่งดังอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีที่ว่าเอิร์ลแห่งออกซฟอร์ดเป็นผู้ประพันธ์ตัวจริง ที่ยังคงมีการศึกษาค้นคว้าอยู่ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 21[76]
ศาสนา[แก้]
นักวิชาการบางคนอ้างว่าสมาชิกตระกูลเชกสเปียร์นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ในยุคที่การนับถือคาธอลิกเป็นการกระทำผิดกฎหมาย[77] แต่ที่แน่ ๆ มารดาของเชกสเปียร์ คือแมรี อาร์เดน มาจากครอบครัวคาธอลิกที่เคร่งครัด หลักฐานแน่นหนาเท่าที่พบน่าจะเป็นเอกสารเข้ารีตคาธอลิกที่ลงนามโดย จอห์น เชกสเปียร์ ค้นพบในปี ค.ศ. 1757 ในจันทันในบ้านเดิมของเขาที่ถนนเฮนลีย์ ปัจจุบันเอกสารนั้นสูญหายไปแล้ว แต่กระนั้นนักวิชาการก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเอกสารนั้นไม่ใช่เอกสารที่ปลอมขึ้น[7] ในปี ค.ศ. 1591 คณะปกครองสงฆ์รายงานว่า จอห์นไม่ได้ไปร่วมการประชุมที่โบสถ์ "เนื่องจากหวาดกลัวกระบวนการสารภาพบาป" ซึ่งเป็นวิธีล้างบาปโดยปกติของชาวคาธอลิก[7] ปี ค.ศ. 1606 ซูซานนา บุตรสาวของวิลเลียมถูกขึ้นชื่อไว้ในทะเบียนผู้ไม่เข้าร่วมพิธีรับศีลอีสเตอร์ที่เมืองสแตรทฟอร์ด[6][7] นอกจากนี้ นักวิชาการยังพบฉากเหตุการณ์ในบทละครของเขาหลายส่วนที่ทั้งสนับสนุนและต่อต้านความเป็นคาธอลิก ข้อเท็จจริงจึงยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าที่แท้เป็นอย่างไรกันแน่[78]
รสนิยมทางเพศ[แก้]
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของเชกสเปียร์ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดนัก เขาแต่งงานตั้งแต่อายุเพียง 18 ปีกับ แอนน์ ฮาธาเวย์ อายุ 26 ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ บุตรีคนแรกคือซูซานนา ถือกำเนิดหลังจากการแต่งงานเพียง 6 เดือน แต่นักอ่านมากมายตลอดหลายศตวรรษต่างมุ่งประเด็นไปที่เนื้อหาในโคลงซอนเน็ตเกี่ยวกับความรักของเขาที่มีต่อชายหนุ่ม อย่างไรก็ดี บางคนกล่าวว่าเนื้อหาเหล่านั้นน่าจะสื่อถึงความสัมพันธ์แบบสหายมากกว่าแบบคนรัก[79] ในขณะเดียวกันโคลงซอนเน็ตอีกชุดหนึ่งคือ "Dark Lady" ก็สื่อถึงสตรีที่แต่งงานแล้ว และมีส่วนบ่งชี้ถึงการลักลอบมีความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่ง[80]
รายชื่อผลงานของเชกสเปียร์[แก้]
ผลงานของเชกสเปียร์ที่ทราบแน่ชัดคือบทละคร 36 เรื่องที่ปรากฏใน "First Folio" แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ เรื่องเศร้า เรื่องตลกขบขัน และเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ยังมีบทละครอีกสองเรื่องที่มิได้อยู่ใน First Folio แต่นักวิชาการยอมรับกันแล้วว่าเชกสเปียร์มีส่วนเกี่ยวข้องในการประพันธ์ค่อนข้างมาก คือ The Two Noble Kinsmen และ Pericles, Prince of Tyre[81] ทั้งนี้ยังไม่นับรวมบทกวี
ปัจจุบันนิยมแยกงานประเภทตลกขบขันออกเป็นหมวดย่อยได้แก่: โรมานซ์ (romances) หรือ เรื่องตลกเศร้า (tragicomedies) งานประเภทนี้จะมีเครื่องหมายดอกจัน * แสดงไว้ งานที่ไม่อาจจัดประเภทได้ชัดเจนจะแสดงด้วยเครื่องหมายกางเขนคู่ (‡) ส่วนงานที่เชื่อว่าเชกสเปียร์ประพันธ์ร่วมกับผู้อื่นจะแสดงด้วยเครื่องหมายกางเขนเดี่ยว (†) งานเขียนบางชิ้นที่มีการกล่าวถึงเกี่ยวข้องกับเขาอยู่บ้างจะแสดงอยู่ในหมวดของงานสูญหายและงานเคลือบแคลง
|
|
|
|
|
|
เชกสเปียร์ในวัฒนธรรมปัจจุบัน[แก้]
อนุสาวรีย์[แก้]
ผลจากชื่อเสียงและความนิยมในผลงานของเชกสเปียร์ จึงมีอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์ของเชกสเปียร์ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ต่อไปนี้เป็นต้วอย่างอนุสาวรีย์บางแห่งที่โดดเด่นเป็นที่น่าจดจำ[82][83]
- รูปปั้นครึ่งตัวของเชกสเปียร์ที่โบสถ์โฮลี่ทรินิตี้ ในเมืองสแตรทฟอร์ด ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของเชกสเปียร์
- โกเวอร์เมมโมเรียล ที่อุทยานบันครอฟต์ เมืองสแตรทฟอร์ด เป็นรูปปั้นเชกสเปียร์ในท่านั่ง ด้านข้างมีรูปปั้นของเลดี้แมคเบธ เจ้าชายฮัล แฮมเล็ต พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 และฟอลสตัฟฟ์ เป็นตัวแทนหมายถึง ปรัชญา โศกนาฏกรรม ประวัติศาสตร์ และความขบขัน ผู้อนุเคราะห์การก่อสร้างคือลอร์ดโรนัลด์ ซุทเทอร์แลนด์-โกเวอร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1888
- ที่จัตุรัสเลสเตอร์ ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน เป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์ของเชกสเปียร์ โดยเป็นน้ำพุอยู่กลางจัตุรัส
- อนุสาวรีย์เชกสเปียร์ที่ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ กรุงลอนดอน โดยตั้งอยู่ที่ "มุมกวี" (Poets' Corner) ของวิหาร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1740
- รูปปั้นครึ่งตัวของเชกสเปียร์ สร้างโดย ลูอิส ฟรังซัวส์ โรบิลเลียค ศิลปินงานปั้นชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียม ประเทศอังกฤษ
- อนุสาวรีย์เชกสเปียร์ที่ เซนทรัลปาร์ก ในเมืองนิวยอร์ก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1864 ในโอกาสครบรอบ 300 ปีวันเกิดของเชกสเปียร์
ละครและภาพยนตร์[แก้]
เรื่องราวของเชกสเปียร์รวมถึงผลงานของเขาได้รับการดัดแปลงไปยังสื่อต่าง ๆ เช่น เป็นละครชุดทางโทรทัศน์เรื่อง "เชกสเปียร์" ทางสถานีโทรทัศน์บีบีซี ส่วนภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเชกสเปียร์ได้แก่
- The Life of Shakespeare (ค.ศ. 1914)
- Master Will Shakespeare (ค.ศ. 1936)
- Life of Shakespeare (ค.ศ. 1978)
- Shakespeare in Love (ค.ศ. 1998)
บทละครของเชกสเปียร์ นอกจากมีการนำไปใช้แสดงละครเวทีและดัดแปลงเป็นโอเปราแล้ว ยังได้นำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์อีกมากมายหลายเรื่อง ตัวอย่างเช่น
|
|
อื่น ๆ[แก้]
นอกจากนี้ยังมีดาวเคราะห์น้อยที่ตั้งชื่อตามนามสกุลของเขา คือ ดาวเคราะห์น้อย 2985 เชกสเปียร์ ซึ่งค้นพบในปี ค.ศ. 1983
อ้างอิง[แก้]
- ↑ เป็นวันที่ตามปฏิทินจูเลียน ซึ่งใช้อยู่ในประเทศอังกฤษในช่วงที่เชกสเปียร์มีชีวิต หากนับตามปฏิทินเกรกอเรียนซึ่งนำมาใช้ในกลุ่มประเทศคาทอลิกเมื่อ ค.ศ. 1582 เชกสเปียร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม
- ↑ สตีเฟน กรีนแบลทท์ (2005). Will in the World: How Shakespeare Became Shakespeare. ลอนดอน: พิมลิโค, 11. ISBN 0-7126-0098-1.
• เดวิด เบวิงตัน (2002) Shakespeare, 1–3. ออกซฟอร์ด: แบล็คเวลล์. ISBN 0-631-22719-9.
• สแตนลี่ย์ เวลส์ (1997). Shakespeare: A Life in Drama. นิวยอร์ก: ดับเบิลยู. ดับเบิลยู. นอร์ตัน, 399. ISBN 0-393-31562-2. - ↑ ลีออน แฮโรลด์ เครก (2003). Of Philosophers and Kings: Political Philosophy in Shakespeare's "Macbeth" and "King Lear". โตรอนโต: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต, 3. ISBN 0-8020-8605-5.
- ↑ เจมส์ ชาปิโร (2005). 1599: A Year in the Life of William Shakespeare. ลอนดอน: เฟเบอร์แอนด์เฟเบอร์, xvii–xviii. ISBN 0-571-21480-0.
• เอส. ฌอนบอม, (1991). Shakespeare's Lives. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 41, 66, 397–98, 402, 409. ISBN 0-19-818618-5.
• แกรี่ เทย์เลอร์ (1990). Reinventing Shakespeare: A Cultural History from the Restoration to the Present. ลอนดอน: สำนักพิมพ์โฮการ์ธ, 145, 210–23, 261–5. ISBN 0-7012-0888-0. - ↑ Bertolini, John Anthony (1993). Shaw and Other Playwrights. Pennsylvania: Pennsylvania State University Press, 119. ISBN 0-271-00908-X.
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 6.15 6.16 6.17 6.18 6.19 6.20 6.21 6.22 6.23 6.24 6.25 6.26 6.27 6.28 ฌอนบอม (1987), William Shakespeare: A Compact Documentary Life, ฉบับปรับปรุงใหม่, ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 14–22. ISBN 0-19-505161-0.
- ↑ 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 7.11 7.12 7.13 7.14 ปีเตอร์ แอคครอยด์ (2006). Shakespeare: The Biography. ลอนดอน: วินเทจ, 53. ISBN 0749386558.
- ↑ เดวิด เครสซี่ (1975). Education in Tudor and Stuart England. นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์เซนต์มาร์ติน, 28, 29. OCLC 2148260.
- ↑ ไมเคิล วูด (2003). Shakespeare. นิวยอร์ก: เบสิกบุ๊คส์, 84. ISBN 0-465-09264-0.
- ↑ นิโคลัส รอว์ (1709). Some Account of the Life &c. of Mr. William Shakespear. เล่าใหม่โดย เทอร์รี่ เอ. เกรย์ (1997) ในบทความ วิลเลียม เชกสเปียร์ กับอินเทอร์เน็ต เก็บถาวร 2008-07-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- ↑ อี. เอ. เจ. โฮนิกมานน์ (1999) Shakespeare: The Lost Years. ฉบับแก้ไขปรับปรุง. แมนเชสเตอร์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์, 1. ISBN 0-7190-5425-7.
- ↑ 12.0 12.1 อี.เค. แชมเบอร์ส (1930). William Shakespeare: A Study of Facts and Problems. Vol. 1. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์คลาเรนดอน, 287, 292. OCLC 353406.
- ↑ สตีเฟน กรีนแบลทท์ (2005). Will in the World: How Shakespeare Became Shakespeare. ลอนดอน: พิมลิโค, 11. ISBN 0-7126-0098-1.
- ↑ 14.0 14.1 สแตนลี่ย์ เวลส์ (2006). Shakespeare & Co. นิวยอร์ก: แพนธีออน, 28. ISBN 0-375-42494-6.
- ↑ อี.เค. แชมเบอร์ส (1923). The Elizabethan Stage. Vol. 2. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์คลาเรนดอน, 208–209. OCLC 336379.
- ↑ จี.อี. เบนท์ลี่ย์ (1961). Shakespeare: A Biographical Handbook. นิวฮาเว่น: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล, 36. OCLC 356416.
- ↑ เดวิด สก๊อต คัสทัน (1999). Shakespeare After Theory. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge, 37. ISBN 0-415-90112-X.
- ↑ โรสลิน นัตสัน (2001). Playing Companies and Commerce in Shakespeare's Time. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 17. ISBN 0-521-77242-7.
- ↑ โจเซฟ ควินซี อดัมส์ (1923). A Life of William Shakespeare. บอสตัน: ฮูตันมิฟฟลิน, 275. OCLC 1935264.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 20.6 ปาร์ก โฮแนน (1998). Shakespeare: A Life. ออกซฟอร์ด; นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 121. ISBN 0-19-811792-2.
- ↑ เอ็ดเวิร์ด ดาวเดน (1881). Shakspere. นิวยอร์ก: แอปเพิลตันแอนด์โค, 48–9. OCLC 8164385.
- ↑ เออร์วิง ริบเนอร์ (2005). The English History Play in the Age of Shakespeare. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge, 154–155. ISBN 0-415-35314-9.
- ↑ แพทริก เจอราร์ด เชนีย์ (2004). The Cambridge Companion to Christopher Marlowe. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 100. ISBN 0-521-52734-1.
- ↑ ไบรอัน กิบบอนส์ (1993). Shakespeare and Multiplicity. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 1. ISBN 0-521-44406-3.
- ↑ 25.0 25.1 25.2 25.3 เอ. ซี. แบรดลี่ย์ (1991 edition). Shakespearean Tragedy: Lectures on Hamlet, Othello, King Lear and Macbeth. ลอนดอน: เพนกวิน, 85. ISBN 0-14-053019-3.
- ↑ Muir, Kenneth (2005). Shakespeare's Tragic Sequence. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge, 12–16. ISBN 0-415-35325-4.
- ↑ ที.เอส.อีเลียต (1934). Elizabethan Essays. ลอนดอน: เฟเบอร์แอนด์เฟเบอร์, 59. OCLC 9738219.
- ↑ 28.0 28.1 28.2 28.3 28.4 28.5 สแตนลี่ย์ เวลส์, et al (2005). The Oxford Shakespeare: The Complete Works, 2nd Edition. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด. ISBN 0-19-926717-0.
- ↑ เจมส์ ชาปิโร (2005). 1599: A Year in the Life of William Shakespeare. ลอนดอน: เฟเบอร์แอนด์เฟเบอร์, xvii–xviii. ISBN 0-571-21480-0.
- ↑ 30.0 30.1 อาร์. เอ. โฟคส์ (1990). "Playhouses and Players". In The Cambridge Companion to English Renaissance Drama. เอ. บรอนมุลเลอร์ และ ไมเคิล ฮาธาเวย์ (eds.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 6. ISBN 0-521-38662-4.
- ↑ เอ.เอ็ม. แนกเลอร์ (1958). Shakespeare's Stage. นิวฮาเวน, CT: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล, 7. ISBN 0-300-02689-7.
- ↑ ปีเตอร์ ฮอลแลนด์ (ed.) (2000). Cymbeline. ลอนดอน: เพนกวิน; บทนำ, xli. ISBN 0-14-071472-3.
- ↑ วิลเลียม ริงเลอร์ จูเนียร์ (1997)."Shakespeare and His Actors: Some Remarks on King Lear". จาก Lear from Study to Stage: Essays in Criticism. เจมส์ โอเกิน และ อาเทอร์ ฮอลีย์ สกูเทน (eds.). นิวเจอร์ซีย์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยฟาร์เลย์ ดิคคินสัน, 127. ISBN 0-8386-3690-X.
- ↑ 34.0 34.1 อัลเฟรด ดับเบิลยู พอลลาร์ด (1909). Shakespeare Quartos and Folios. ลอนดอน: เมธูน. OCLC 46308204.
- ↑ เฟรดสัน โบเวอร์ (1955). On Editing Shakespeare and the Elizabethan Dramatists. ฟิลาเดลเฟีย: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแห่งเพนซิลเวเนีย, 8–10.
- ↑ 36.0 36.1 36.2 36.3 จอห์น โรว์; ไบรอัน กิบบอนส์; และ เอ.อาร์. บรอนมุลเลอร์ (eds.) (2006). The Poems: Venus and Adonis, The Rape of Lucrece, The Phoenix and the Turtle, The Passionate Pilgrim, A Lover's Complaint, โดย วิลเลียม เชกสเปียร์. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, ฉบับแก้ไขปรับปรุงครั้งที่สอง; บทนำ, 21. ISBN 0-521-85551-9.
- ↑ โรแลนด์ มูแชต ไฟรย์ (2005). The Art of the Dramatist. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge. ISBN 0-415-35289-4.
- ↑ ไมเคิล วูด (2003). Shakespeare. นิวยอร์ก: เบสิกบุ๊คส์, 84. ISBN 0-465-09264-0.
- ↑ วูล์ฟกัง เคลเมน (2005). Shakespeare's Dramatic Art: Collected Essays, 150. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge. ISBN 0-415-35278-9.
- ↑ วูล์ฟกัง เคลเมน(2005). Shakespeare's Imagery. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge, 29. ISBN 0-415-35280-0.
- ↑ Frye, Roland Mushat (2005). The Art of the Dramatist. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge. ISBN 0-415-35289-4.
- ↑ จอร์จ ที ไรท์ (2004). "The Play of Phrase and Line". จาก Shakespeare: An Anthology of Criticism and Theory, 1945–2000. รัสส์ แมคโดนัลด์ (ed.). ออกซฟอร์ด: แบล็กเวลล์, 868. ISBN 0-631-23488-8.
- ↑ 43.0 43.1 43.2 รัสส์ แมคโดนัลด์ (2006). Shakespeare's Late Style. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. ISBN 0-521-82068-5.
- ↑ ไบรอัน กิบบอนส์ (1993). Shakespeare and Multiplicity. Cambridge: Cambridge University Press, 1. ISBN 0-521-44406-3.
- ↑ จอห์น ซี. เมกแฮร์ (2003). Pursuing Shakespeare's Dramaturgy: Some Contexts, Resources, and Strategies in his Playmaking. นิวเจอร์ซีย์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแฟร์เลย์ ดิคคินสัน, 358. ISBN 0-8386-3993-3.
- ↑ อี. เค. แชมเบอร์ส (1944). Shakespearean Gleanings. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 35. OCLC 2364570.
- ↑ จิลล์ แอล. ลีเวนสัน (2000) (ed.). บทนำ. Romeo and Juliet. วิลเลียม เชกสเปียร์. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 49–50. ISBN 0-19-281496-6.
- ↑ วูล์ฟกัง คลีเมน (1987). Shakespeare's Soliloquies. ลอนดอน: Routledge, 179. ISBN 0-415-35277-0.
- ↑ Dotterer, Ronald L (ed.) (1989). Shakespeare: Text, Subtext, and Context. Selinsgrove, Penn.: Susquehanna University Press, 108. ISBN 0-941664-92-9.
- ↑ ไมเคิล มิลเกต และ คีธ วิลสัน (2006). Thomas Hardy Reappraised: Essays in Honour of Michael Millgate โตรอนโต: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแห่งโตรอนโต, 38. ISBN 0-8020-3955-3.
- ↑ ฟิลิป ซี. คอลิน (1985). Shakespeare and Southern Writers: A Study in Influence. แจ็กสัน: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแห่งมิสซิสซิปปี, 124.
- ↑ วาเลรี แอล เกเกอร์ (1996). Shakespeare and Dickens: The Dynamics of Influence. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 163, 186, 251. ISBN 0-521-45526-X.
- ↑ จอห์น ไบรแอนท์ (1998). "Moby Dick as Revolution". ใน The Cambridge Companion to Herman Melville. Robert Steven Levine (ed.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 82. ISBN 0-521-55571-X.
- ↑ จอห์น กรอสส์ (2003). "Shakespeare's Influence". ใน Shakespeare: An Oxford Guide. สแตนลีย์ เวลส์ และ ลีนา โคเวน ออร์ลิน (eds.). ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 641–2. ISBN 0-19-924522-3.
- ↑ รอย พอตเตอร์ และ ทีค มิคูลาส (1988). Romanticism in National Context. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 48. ISBN 0-521-33913-8.
- ↑ ไลโอเนล แลมเบอร์น (1999). Victorian Painting. ลอนดอน: ไฟดอน, 193–8. ISBN 0-7148-3776-8.
- ↑ จูเลีย พาไรส์ (2006). "The Nature of a Romantic Edition". ใน Shakespeare Survey 59. Peter Holland (ed.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 130. ISBN 0-521-86838-6.
- ↑ นิโคลัส รอยล์ (2000). "To Be Announced". ใน The Limits of Death: Between Philosophy and Psychoanalysis. โจแอน มอร์รา, มาร์ค รอบสัน, มาร์ควาร์ด สมิธ (eds.). แมนเชสเตอร์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์. ISBN 0-7190-5751-5.
- ↑ เดวิด คริสตัล (2001). The Cambridge Encyclopedia of the English Language. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 55–65, 74. ISBN 0-521-40179-8.
- ↑ จอห์น เวน (1975). Samuel Johnson. นิวยอร์ก: ไวกิง, 194. ISBN 0-670-61671-0.
- ↑ แจ็ค ลิงก์ (2002). Samuel Johnson's Dictionary: Selections from the 1755 Work that Defined the English Language. เดลเรย์บีช ฟลอริด้า: สำนักพิมพ์เลเวนเจอร์, 12. ISBN 1-84354-296-X.
- ↑ Quoted in Bartlett, John, Familiar Quotations, 10th edition, 1919. เก็บข้อมูลเมื่อ 14 มิถุนายน 2007.
- ↑ มาร์ค โดมินิค (1988). Shakespeare–Middleton Collaborations. Beaverton, Or.: สำนักพิมพ์อลิออธ, 9. ISBN 0-945088-01-9.
- ↑ เจอร์ไมนี เกรียร์ (1986). William Shakespeare. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 9. ISBN 0-19-287538-8.
- ↑ 65.0 65.1 65.2 65.3 65.4 ฮิว เกรดี (2001). "Shakespeare Criticism 1600–1900". In deGrazia, Margreta, and Wells, Stanley (eds.), The Cambridge Companion to Shakespeare. เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 267. ISBN 0-521-65094-1. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "grady" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ Dryden, John (1668). "An Essay of Dramatic Poesy". อ้างถึงโดย Grady ใน Shakespeare Criticism, 269; คำพูดทั้งหมดดูได้จาก: Levin, Harry (1986). "Critical Approaches to Shakespeare from 1660 to 1904". จาก The Cambridge Companion to Shakespeare Studies. Wells, Stanley (ed.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 215. ISBN 0-521-31841-6.
- ↑ ไมเคิล ดอบสัน, (1992). The Making of the National Poet: Shakespeare, Adaptation and Authorship, 1660–1769. ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์คลาเรนดอน. ISBN 0-19-818323-2. อ้างถึงโดย Grady ใน Shakespeare Criticism, 270.
- ↑ Grady อ้างถึง Philosophical Letters ของวอลแตร์ (1733); Wilhelm Meister's Apprenticeship ของเกอเธ่ (1795); two-part pamphlet Racine et Shakespeare ของสเตนดัล (1823–5); prefaces to Cromwell ของฮูโก (1827) และ วิลเลียมเชกสเปียร์ (1864). ใน Shakespeare Criticism, 272–274.
- ↑ Levin, Harry (1986). "Critical Approaches to Shakespeare from 1660 to 1904". จาก The Cambridge Companion to Shakespeare Studies. Wells, Stanley (ed.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 215. ISBN 0-521-31841-6.
- ↑ โรเบิร์ต ซอว์เยอร์, (2003). Victorian Appropriations of Shakespeare. นิวเจอร์ซี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแฟร์เลย์ดิกคินสัน, 113. ISBN 0-8386-3970-4.
- ↑ Carlyle, Thomas (1840). "On Heroes, Hero Worship & the Heroic in History". อ้างถึงในงานของ เอมมา สมิธ, (2004). Shakespeare's Tragedies. ออกซฟอร์ด: แบล็กเวลล์, 37. ISBN 0-631-22010-0.
- ↑ Schoch, Richard (2002). "Pictorial Shakespeare". จาก The Cambridge Companion to Shakespeare on Stage. Wells, Stanley, and Sarah Stanton (eds.). เคมบริดจ์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, 58–59. ISBN 0-521-79711-X.
- ↑ 73.0 73.1 73.2 ฮิว เกรดี (2001). "Modernity, Modernism and Postmodernism in the Twentieth Century's Shakespeare". จาก Shakespeare and Modern Theatre: The Performance of Modernity. Bristol, Michael, and Kathleen McLuskie (eds.). นิวยอร์ก: Routledge, 22–6. ISBN 0-415-21984-1.
- ↑ จอร์จ แมคไมเคิล และ เอ็ดการ์ เอ็ม. เกล็นน์ (1962). Shakespeare and his Rivals: A Casebook on the Authorship Controversy. นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์โอดิสซีย์. OCLC 2113359.
- ↑ เอช. เอ็น. กิบสัน (2005). The Shakespeare Claimants: A Critical Survey of the Four Principal Theories Concerning the Authorship of the Shakespearean Plays. ลอนดอน; นิวยอร์ก: Routledge, 48, 72, 124. ISBN 0-415-35290-8.
- ↑ เดวิด เคธแมน (2003). "ข้อสงสัยในความเป็นเจ้าของงาน". ใน Shakespeare: An Oxford Guide. สแตนลีย์ เวลล์ (ed.). ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, 620, 625–626. ISBN 0-19-924522-3.
- ↑ Pritchard, Arnold (1979). Catholic Loyalism in Elizabethan England. Chapel Hill: University of North Carolina Press, 3. ISBN 0-8078-1345-1.
- ↑ ริชาร์ด วิลสัน (2004). Secret Shakespeare: Studies in Theatre, Religion and Resistance. แมนเชสเตอร์: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์, 34. ISBN 0-7190-7024-4.
- ↑ Casey, Charles (ฤดูใบไม้ร่วง 1998). Was Shakespeare gay? Sonnet 20 and the politics of pedagogy เก็บถาวร 2007-05-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. College Literature. เก็บข้อมูลเมื่อ 2 April 2007.
- ↑ เจ. เอ. ฟอร์ต "The Story Contained in the Second Series of Shakespeare's Sonnets." The Review of English Studies. (ตุลาคม 1927) 3.12, 406–414.
- ↑ เดวิด เคธแมน (2003). "The Question of Authorship". จาก Shakespeare: An Oxford Guide. สแตนลี่ย์ เวลส์(ed.). ออกซฟอร์ด: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด. ISBN 0-19-924522-3.
• ชาร์ลส บอยซ์ (1996). Dictionary of Shakespeare. Ware, Herts, UK: Wordsworth. ISBN 1-85326-372-9. - ↑ รวมอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์ของเชกสเปียร์
- ↑ อนุสาวรีย์เชกสเปียร์ที่เซนทรัลปาร์ก
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
![]() |
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: วิลเลียม เชกสเปียร์ |
![]() |
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ: |