วัฏจักรการตอบสนองทางเพศของมนุษย์
วัฏจักรการตอบสนองทางเพศของมนุษย์ (อังกฤษ: Human sexual response cycle) เป็นแบบจำลองที่แบ่งการตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อสิ่งเร้าทางเพศออกเป็นสี่ระยะตามลำดับ[1] ได้แก่ ระยะเร้าอารมณ์ (excitement phase) ระยะราบเรียบ (plateau phase) ระยะเสียวสุดยอด (orgasmic phase) และระยะคลี่คลาย (resolution phase)[2] แบบจำลองทางสรีรวิทยานี้ได้รับการเสนอครั้งแรกโดยวิลเลียม เอช. มาสเตอร์ส และเวอร์จิเนีย อี. จอห์นสัน ในนิพนธ์ Human Sexual Response ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1966[1][3] นับตั้งแต่นั้นมา นักวิชาการหลายท่านได้พัฒนาแบบจำลองอื่น ๆ เกี่ยวกับการตอบสนองทางเพศของมนุษย์ขึ้นมาเพิ่มเติม พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ข้อจำกัดหรือความคลาดเคลื่อนบางประการของแบบจำลองวัฏจักรการตอบสนองทางเพศดั้งเดิมนี้
ระยะเร้าอารมณ์
[แก้]ระยะเร้าอารมณ์ (excitation phase หรือที่เรียกอีกชื่อว่า arousal phase หรือ initial excitement phase) เป็นระยะเริ่มต้นของวัฏจักรการตอบสนองทางเพศของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากสิ่งเร้าทางกายภาพหรือจิตใจที่มีลักษณะเร้าอารมณ์ เช่น การจูบ การเล้าโลม การจินตนาการ หรือการรับชมภาพเร้าอารมณ์ โดยสิ่งเร้าเหล่านี้นำไปสู่การเกิดอารมณ์ทางเพศ ในระยะนี้ ร่างกายจะเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการร่วมเพศ ซึ่งจะนำไปสู่ระยะถัดไป คือระยะราบเรียบ[1] ทั้งนี้ ความชอบเกี่ยวกับความยาวของช่วงเล้าโลม และวิธีการกระตุ้นที่ใช้มีความหลากหลายอย่างมากในแต่ละสังคมและวัฒนธรรม[4] ปฏิสัมพันธ์ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ รวมถึงการกระตุ้นบริเวณที่ไวต่อความรู้สึก (erogenous zones) มักมีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดการเร้าอารมณ์เบื้องต้น[ต้องการอ้างอิง]
ระยะเร้าอารมณ์ในทั้งสองเพศ
[แก้]ในทั้งสองเพศ ระยะเร้าอารมณ์มีลักษณะทางสรีรวิทยาที่คล้ายคลึงกัน โดยมีอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจเพิ่มขึ้น รวมถึงความดันเลือดที่สูงขึ้น[1] จากการสำรวจในปี ค.ศ. 2006 พบว่า การกระตุ้นโดยตรงที่บริเวณหัวนมก่อให้เกิดหรือเพิ่มระดับการเร้าอารมณ์ในผู้หญิงวัยรุ่นประมาณร้อยละ 82 และในผู้ชายวัยรุ่นประมาณร้อยละ 52 ขณะที่มีเพียงประมาณร้อยละ 7–8 เท่านั้นที่รายงานว่าการกระตุ้นดังกล่าวทำให้ความเร้าอารมณ์ลดลง[5] อีกหนึ่งปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาที่พบได้ในช่วงระยะนี้คือ การคั่งของเลือดในผิวหนัง (vasocongestion) ซึ่งแสดงออกเป็นลักษณะที่เรียกว่า sex flush หรือ "ผิวแดง" โดยพบในผู้หญิงประมาณร้อยละ 50–75 และในผู้ชายราวร้อยละ 25 ความถี่ของการเกิดผิวแดงมักเพิ่มขึ้นในสภาพอากาศอบอุ่น และอาจไม่ปรากฏเลยในอุณหภูมิที่เย็น
ในผู้หญิง อาการผิวแดงมักเริ่มจากการเกิดจุดสีชมพูใต้เต้านม ก่อนที่รอยแดงจะกระจายไปยังเต้านม ลำตัว ใบหน้า มือ ฝ่าเท้า และในบางรายอาจปรากฏทั่วร่างกาย[1] การคั่งของเลือดยังมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสีบริเวณอวัยวะเพศหญิง เช่น ปุ่มกระสันและผนังช่องคลอดที่มักมีสีเข้มขึ้นระหว่างเกิดอารมณ์ทางเพศ ในผู้ชาย อาการผิวแดงมีลักษณะการกระจายตัวของสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอเท่ากับเพศหญิง โดยมักเริ่มที่บริเวณยอดอก ก่อนจะกระจายไปยังหน้าอก คอ ใบหน้า หน้าผาก แผ่นหลัง และในบางรายอาจลามไปถึงหัวไหล่และปลายแขน รอยแดงเหล่านี้มักจางหายไปหลังถึงความเสียวสุดยอดทางเพศ แต่ในบางกรณีอาจใช้เวลาถึงสองชั่วโมง พร้อมกับเกิดเหงื่อออกอย่างมากในบางราย โดยรอยแดงจะค่อย ๆ จางหายตามลำดับย้อนกลับจากที่มันปรากฏขึ้น[3]
ในช่วงระยะเร้าอารมณ์นี้ ยังพบว่าเกิดการเพิ่มขึ้นของ โทนกล้ามเนื้อ (ไมโอโทเนีย) ทั้งแบบสมัครใจและไม่สมัครใจในกลุ่มกล้ามเนื้อบางส่วนของร่างกายในทั้งสองเพศ[3][โปรดขยายความ] และในบางราย กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักด้านนอกอาจหดเกร็งแบบสุ่มเมื่อตอบสนองต่อการสัมผัส หรือในบางกรณีก็เกิดขึ้นในช่วงถึงจุดสุดยอดโดยไม่ต้องมีการสัมผัสโดยตรง
ระยะเร้าอารมณ์ในเพศชาย
[แก้]ในเพศชาย จุดเริ่มต้นของระยะเร้าอารมณ์แสดงออกอย่างชัดเจนผ่านการแข็งตัวขององคชาต ซึ่งอาจเกิดขึ้นแบบกึ่งแข็งตัวเต็มที่หรือเต็มที่ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังได้รับสิ่งเร้าทางเพศ[1] การแข็งตัวนี้อาจลดลงและกลับมาใหม่ได้เป็นระยะ ๆ หากระยะเร้าอารมณ์ยืดเยื้อ ในระยะนี้ อัณฑะทั้งสองข้างจะถูกดึงตัวสูงขึ้นใกล้บริเวณฝีเย็บอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในผู้ชายที่ผ่านการขริบหนังหุ้มปลายองคชาต ซึ่งมีพื้นที่ของผิวหนังน้อยลง ทำให้การขยับของโครงสร้างผิวหนังรอบองคชาตในระหว่างการแข็งตัวจำกัดมากกว่าในผู้ที่ไม่ได้ขลิบ นอกจากนี้ ถุงอัณฑะ จะมีการหดเกร็งและผนังหนาขึ้นในระหว่างกระบวนการแข็งตัว
ระยะเร้าอารมณ์ในเพศหญิง
[แก้]ในเพศหญิง ระยะเร้าอารมณ์อาจกินเวลาตั้งแต่ไม่กี่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง กระบวนการหลักในช่วงนี้คือการเกิดการคั่งเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่หลอดเลือดในบริเวณอวัยวะเพศขยายตัวและมีเลือดไหลเวียนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปุ่มกระสัน แคมเล็ก และช่องคลอด เกิดอาการบวมเล็กน้อย กล้ามเนื้อรอบปากช่องคลอดจะเริ่มหดรัดแน่นขึ้น ขณะที่มดลูกจะถูกยกตัวสูงขึ้นและขยายขนาดเล็กน้อย ผนังช่องคลอดจะเริ่มหลั่งสารหล่อลื่น[1] นอกจากนี้ เต้านมจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อยและจะมีลักษณะแข็งตัวและตั้งชัน
ระยะราบเรียบ
[แก้]ระยะราบเรียบ คือช่วงของความเร้าอารมณ์ทางเพศที่เกิดขึ้นก่อนการถึงความเสียวสุดยอดทางเพศ ในช่วงนี้ ทั้งในเพศชายและเพศหญิงจะมีอัตราการไหลเวียนโลหิตเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น และระบบหายใจยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ[1] การอยู่ในระยะราบเรียบเป็นเวลานานโดยไม่มีความคืนหน้าที่จะนำไปสู่ระยะเสียวสุดยอด อาจทำให้เกิดความผิดหวังทางเพศได้
ระยะราบเรียบในเพศชาย
[แก้]ในช่วงระยะราบเรียบของเพศชาย จะเกิดการหดเกร็งของหูรูดท่อปัสสาวะ ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ปัสสาวะไหลออกมาผสมกับน้ำอสุจิ และยังป้องกันภาวะการหลั่งย้อนกลับ ที่น้ำอสุจิย้อนเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะแทนที่จะออกนอกร่างกาย และกล้ามเนื้อบริเวณฐานขององคชาตเริ่มหดตัวเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ[1] ในบางรายอาจเริ่มมีการหลั่งของของเหลวที่เรียกว่าน้ำหล่อลื่น และอัณฑะจะถูกดึงให้เข้าใกล้ร่างกายมากขึ้น[3]
ระยะราบเรียบในเพศหญิง
[แก้]ในเพศหญิง ระยะราบเรียบถือเป็นการดำเนินต่อจากการเปลี่ยนแปลงในระยะเร้าอารมณ์ ปุ่มกระสันจะมีความไวต่อสัมผัสมากขึ้นจนถึงระดับที่อาจเกิดการหดตัว ต่อมบาร์โทลินจะหลั่งสารหล่อลื่นออกมาเพิ่มขึ้น เยื่อบุช่องคลอดส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณหนึ่งในสามส่วนปลายของช่องคลอด จะเกิดการบวมและบีบรัด กล้ามเนื้อพูโบค็อคไคเจอุส จะหดเกร็งอย่างมีนัยสำคัญ[1] การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถูกรวมเรียกโดยมาสเตอร์สและจอห์นสันว่า แท่นจุดสุดยอด (orgasmic platform)
ระยะเสียวสุดยอด
[แก้]ความเสียวสุดยอดทางเพศเป็นประสบการณ์ทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง และถือเป็นการสิ้นสุดของระยะราบเรียบในวัฏจักรการตอบสนองทางเพศ ช่วงเวลาดังกล่าวมาพร้อมกับวงจรการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็วในกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานส่วนล่าง ซึ่งครอบคลุมทั้งทวารหนักและอวัยวะสืบพันธุ์หลัก[โปรดขยายความ] การถึงจุดสุดยอดมักสัมพันธ์กับปฏิกิริยาอัตโนมัติอื่น ๆ เช่น การเปล่งเสียงโดยไม่ตั้งใจ การกระตุกของกล้ามเนื้อในบริเวณอื่นของร่างกาย และภาวะเคลิ้มสุข อัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มสูงขึ้นจากระยะก่อนหน้า[1] ในบางแนวปฏิบัติ เช่น การร่วมเพศตามแนวตันตระ อาจมีเป้าหมายในการลดทอนความสำคัญของการบรรลุจุดสุดยอด แทนที่จะมุ่งเน้นที่การถึงจุดสุดยอดซึ่งโดยทั่วไปถือเป็นเป้าหมายหลักของการมีเพศสัมพันธ์
ระยะเสียวสุดยอดในเพศชาย
[แก้]ในเพศชาย ความเสียวสุดยอดทางเพศมักจะเกี่ยวข้องกับการหลั่งน้ำอสุจิ โดยแต่ละครั้งของการหลั่งจะมาพร้อมกับการเกิดการกระตุกอย่างต่อเนื่องของความสุขทางเพศ โดยเฉพาะบริเวณองคชาตและพื้นที่รอบข้าง[1] อาจมีความรู้สึกอื่น ๆ ที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนในบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่างหรือหลังส่วนล่าง การกระตุกครั้งแรกและครั้งที่สองมักจะมีความรู้สึกที่รุนแรงที่สุดและผลิตน้ำอสุจิจำนวนมากที่สุด หลังจากนั้น การหดตัวของกล้ามเนื้อจะมีปริมาณน้ำอสุจิที่ลดลงและมีความรู้สึกความสุขที่น้อยลง[1]
ระยะเสียวสุดยอดในเพศหญิง
[แก้]ในเพศหญิง ความเสียวสุดยอดทางเพศมักจะทำให้เกิดการหดตัวของมดลูกและช่องคลอด การถึงจุดสุดยอดในผู้หญิงสามารถแตกต่างกันไปได้ในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของสารหล่อลื่นในช่องคลอด การหดตัวของผนังช่องคลอด และความสุขโดยรวม[1] สำหรับผู้หญิงบางคน อาจมีโอกาสในการหลั่งน้ำจากช่องคลอดเกิดขึ้นได้ด้วย
ระยะคลี่คลาย
[แก้]ระยะคลี่คลายเกิดขึ้นหลังจากการถึงจุดสุดยอด และช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ความดันโลหิตลดลง และร่างกายจะช้าลงจากระยะเร้าอารมณ์อีกครั้ง[1] ระยะนี้มักจะรวมถึงช่วงเวลาที่เรียกว่า ระยะดื้อ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โดยปกติแล้วเพศชายไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้อีกในระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าผู้หญิงก็สามารถประสบกับระยะดื้อนี้ได้เช่นกัน
ระยะคลี่คลายในเพศชาย
[แก้]ตามการศึกษาของมาสเตอร์สและจอห์นสัน การกลับสู่ภาวะปกติขององคชาตเกิดขึ้นเป็นสองระยะ โดยในระยะแรก องคชาตจะลดลงจากสภาพแข็งตัวกลับมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 ของขนาดขณะอ่อนตัวตามปกติ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างระยะดื้อ ส่วนในระยะที่สอง (หลังจากระยะดื้อสิ้นสุดลง) องคชาตจะลดขนาดลงอีกจนกลับเข้าสู่สภาพอ่อนตัวตามปกติโดยสมบูรณ์[3] โดยทั่วไป เพศชายจะไม่สามารถถึงจุดสุดยอดอีกครั้งได้ในช่วงระยะดื้อ[3][6][7] มาสเตอร์สและจอห์นสันระบุว่า จำเป็นต้องสิ้นสุดระยะดื้อก่อนที่เพศชายจะสามารถเกิดความเร้าอารมณ์ทางเพศได้อีกครั้ง[8]
แม้ว่าการมีจุดสุดยอดหลายครั้งติดต่อกันในเพศชายจะเกิดได้ยากเนื่องจากมีระยะดื้อ[9][10] แต่มีรายงานว่าผู้ชายบางรายสามารถถึงจุดสุดยอดหลายครั้งติดต่อกันได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีการหลั่งอสุจิ[11] จุดสุดยอดหลายครั้งมักพบได้บ่อยกว่าในเพศชายที่อายุน้อย เมื่อเทียบกับผู้ชายวัยกลางคนหรือสูงวัย โดยในผู้ชายวัยหนุ่ม ระยะดื้ออาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ในขณะที่ผู้ชายสูงวัยอาจใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง[12]
ระยะคลี่คลายในเพศหญิง
[แก้]จากการศึกษาของมาสเตอร์สและจอห์นสัน ผู้หญิงมีความสามารถในการถึงจุดสุดยอดอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว หากได้รับการกระตุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถมีจุดสุดยอดได้หลายครั้งภายในช่วงเวลาสั้น ๆ[3][8] โดยทั่วไป มีรายงานว่าเพศหญิงไม่มีระยะดื้อเหมือนกับเพศชาย ซึ่งทำให้สามารถถึงจุดสุดยอดได้อีกครั้ง หรือหลายครั้ง หลังจากถึงจุดสุดยอดครั้งแรก[6][7] อย่างไรก็ตาม บางแหล่งข้อมูลให้ความเห็นว่า ทั้งเพศชายและเพศหญิงต่างก็มีระยะดื้อในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเช่นกัน เนื่องจากบางครั้งเพศหญิงก็อาจมีช่วงเวลาหลังการถึงจุดสุดยอดที่ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดความเร้าอารมณ์ได้อีกในทันที[13][14] สำหรับผู้หญิงบางคน ปุ่มกระสันจะไวต่อความรู้สึกอย่างมากหลังถึงจุดสุดยอด และการกระตุ้นต่อเนื่องในทันทีอาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบาย[15] อย่างไรก็ตาม จุดสุดยอดในครั้งถัดไปมักมีความรู้สึกเข้มข้นมากขึ้นหรือให้ความพึงพอใจสูงขึ้น อันเนื่องมาจากการสะสมของการกระตุ้นทางเพศ[15][16]
ความเหมือนและแตกต่างระหว่างเพศ
[แก้]มาสเตอร์สและจอห์นสันให้เหตุผลว่า แม้จะมีความแตกต่างเล็กน้อย การตอบสนองทางเพศของทั้งเพศชายและเพศหญิงนั้นมีพื้นฐานร่วมกันที่คล้ายคลึงกันโดยหลักการ[1][3] อย่างไรก็ตาม นักวิจัยหลายรายได้โต้แย้งว่ามีความแตกต่างระหว่างชายและหญิงอย่างมีนัยสำคัญในแง่ของกระบวนการตอบสนองทางเพศ มาสเตอร์สและจอห์นสันเสนอแบบจำลองการตอบสนองทางเพศหนึ่งแบบสำหรับเพศชาย แต่เสนอถึงสามแบบสำหรับเพศหญิง พวกเขาระบุว่าการตอบสนองของเพศชายแตกต่างกันเพียงในด้านระยะเวลา ดังนั้นการนำเสนอหลายแบบจำลองสำหรับผู้ชายจึงไม่มีความจำเป็น เนื่องจากจะซ้ำซ้อน แต่ในทางกลับกัน การตอบสนองของเพศหญิงสามารถแตกต่างกันได้ทั้งในด้านความเข้มข้นและระยะเวลา[3] ความหลากหลายนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาในเชิงทฤษฎี เนื่องจากนักจิตวิทยาได้ให้ข้อสังเกตว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ากับแบบจำลองที่มาสเตอร์สและจอห์นสันเสนอ เช่น กรณีที่พบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้ระหว่างการร่วมเพศแบบสอดใส่[17] มาสเตอร์สและจอห์นสันยังเปรียบเทียบว่าการแข็งตัวขององคชาตในเพศชายเทียบได้กับการที่ช่องคลอดของเพศหญิงมีการหล่อลื่นในระยะเร้าอารมณ์ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยอย่างรอย เลวินได้แย้งว่าการเปรียบเทียบนี้ไม่ถูกต้องในทางกายวิภาค เพราะอวัยวะที่เทียบเคียงกันโดยตรงคือปุ่มกระสันของเพศหญิงกับองคชาตของเพศชาย ดังนั้น การบวมขยายของปุ่มกระสันจึงน่าจะเทียบได้กับการแข็งตัวขององคชาตในทางชีววิทยาอย่างแม่นยำกว่า[18]
อีกประเด็นหนึ่งที่ได้รับความสนใจทางวิชาการคือ ความไม่สอดคล้องกันระหว่างการเร้าอารมณ์ทางเพศในเชิงอัตวิสัยกับการตอบสนองของอวัยวะเพศ งานวิจัยของเมเรดิท แอล. ชิเวอร์ส และเจ. ไมเคิล เบลีย์ แสดงให้เห็นว่า เพศชายมักแสดงรูปแบบการมีอารมณ์ทางเพศที่มีลักษณะจำเพาะต่อกลุ่ม กล่าวคือ พวกเขาจะเกิดการเร้าอารมณ์ทางเพศจากเพศที่ตนชื่นชอบหรือมีความต้องการโดยตรง ในทางตรงกันข้าม เพศหญิงกลับแสดงลักษณะไม่จำเพาะต่อกลุ่ม โดยที่อวัยวะเพศของพวกเธอมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่หลากหลาย ทั้งที่ตรงกับความชอบทางเพศและไม่ตรง[19][20] แม้ว่าผู้หญิงจะรายงานว่าตนมีความรู้สึกเร้าอารมณ์เมื่อดูภาพกิจกรรมทางเพศระหว่างชายและหญิง ซึ่งตรงกับความชอบส่วนตัว แต่อวัยวะเพศของพวกเธอก็ยังตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อภาพกิจกรรมทางเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง และแม้กระทั่งระหว่างสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วย[21]
โดยสรุป แบบจำลองการตอบสนองทางเพศของมาสเตอร์สและจอห์นสัน ดูเหมือนจะสามารถอธิบายกระบวนการตอบสนองทางเพศของเพศชายได้อย่างแม่นยำมากกว่าเพศหญิง[22]
การวิจารณ์
[แก้]มีการดำเนินงานวิจัยจำนวนมากที่อิงจากแบบจำลองการตอบสนองทางเพศของมาสเตอร์สและจอห์นสัน อย่างไรก็ดี มีการค้นพบความคลาดเคลื่อนในคำอธิบายบางประการของแต่ละระยะในวัฏจักรการตอบสนองทางเพศ ตัวอย่างเช่น รอย เลวิน ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่แบบจำลองนี้ละเลยไว้บางส่วน[23] ประการแรก มาสเตอร์สและจอห์นสันระบุว่า มีเพียงช่องคลอดเท่านั้นที่มีการหล่อลื่นในระยะเร้าอารมณ์ แต่เลวินแย้งว่า แคมก็สามารถผลิตสารหล่อลื่นได้เช่นกัน นอกจากนี้ เขายังเสนอหลักฐานวิจัยที่ระบุว่า สัญญาณทางสรีรวิทยาแรกสุดของการเร้าอารมณ์ในเพศหญิงคือ การเพิ่มขึ้นของปริมาณเลือดที่ไหลเวียนไปยังช่องคลอด ไม่ใช่การหล่อลื่นตามที่แบบจำลองได้อธิบายไว้ เลวินยังได้หักล้างข้อมูลเกี่ยวกับการตอบสนองทางเพศในเพศชายที่มาสเตอร์สและจอห์นสันเสนอไว้ด้วย โดยแบบจำลองระบุว่าความพึงพอใจทางเพศสัมพันธ์เชิงบวกกับปริมาณของน้ำอสุจิที่หลั่งออกมา แต่การศึกษาของโรเซนเบิร์ก แฮซซาร์ด ทอลล์แมน และโอห์ล ซึ่งใช้แบบสอบถามในกลุ่มผู้ชาย กลับพบว่า ชายส่วนใหญ่รายงานว่าความสุขทางกายสัมพันธ์นั้นสัมพันธ์กับความแรงของการหลั่งมากกว่าปริมาณของของเหลวที่ปล่อยออกมา[24] นอกจากนี้ ยังมีนักวิจัยบางรายค้นพบว่า เพศชายบางคนสามารถมีจุดสุดยอดได้หลายครั้ง ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่มาสเตอร์สและจอห์นสันเคยรายงานไว้[25][26]
นักวิจัยบางกลุ่มยังได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า มาสเตอร์สและจอห์นสันนิยามการตอบสนองทางเพศไว้แคบเกินไป โดยพิจารณาเฉพาะในแง่สรีรวิทยา เช่น เอเวอแรร์ดและลาน ได้แสดงหลักฐานว่า การเร้าอารมณ์ทางเพศสามารถนิยามได้ในฐานะภาวะทางอารมณ์ทั้งในชายและหญิง[27] ขณะเดียวกัน งานวิจัยอื่น ๆ ก็ยืนยันว่า การตอบสนองทางเพศในผู้หญิงมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างความรู้สึกเร้าอารมณ์ในเชิงอัตวิสัย กับการตอบสนองของอวัยวะเพศ[17][19] โรสแมรี แบสซอน ยังเสนออีกว่า แบบจำลองของมาสเตอร์สและจอห์นสันไม่สามารถอธิบายการตอบสนองทางเพศของผู้หญิงได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะในกรณีของผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ระยะยาว[17][28]
แบบจำลองอื่น
[แก้]ไม่นานหลังจากที่มาสเตอร์สและจอห์นสันตีพิมพ์ผลงานเกี่ยวกับวัฏจักรการตอบสนองทางเพศของมนุษย์ ก็มีนักวิชาการจำนวนหนึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์แบบจำลองของทั้งสองคน ตัวอย่างเช่น เฮเลน ซิงเงอร์ แคปแลน แย้งว่าแบบจำลองของมาสเตอร์สและจอห์นสันพิจารณาการตอบสนองทางเพศจากมุมมองทางสรีรวิทยาเพียงด้านเดียว โดยมิได้คำนึงถึงปัจจัยทางจิตวิทยา อารมณ์ และการรับรู้ด้วย ดังนั้นเธอจึงเสนอแบบจำลองของตนเอง ซึ่งประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่ ระยะปรารถนา ระยะเร้าอารมณ์ และระยะจุดสุดยอด โดยเธอให้เหตุผลว่า แม้ทั้งสามระยะจะมีความเชื่อมโยงกัน แต่ก็เกี่ยวข้องกับกลไกทางประสาทสรีรวิทยาที่แตกต่างกัน[29] ในทำนองเดียวกัน พอล โรบินสัน ได้เสนอแนะว่า ระยะเร้าอารมณ์และระยะราบเรียบ แท้จริงแล้วคือระยะเดียวกัน โดยเขาวิจารณ์ว่าแบบจำลองของมาสเตอร์สและจอห์นสันขาดความชัดเจนในการกำหนดจุดสิ้นสุดของระยะเร้าอารมณ์และจุดเริ่มต้นของระยะราบเรียบ[30]
อีกหนึ่งแบบจำลองที่ได้รับการเสนอคือ แบบจำลองแรงจูงใจเชิงสิ่งเร้า (incentive-motivation model) ซึ่งอธิบายว่าความต้องการทางเพศเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบตอบสนองทางเพศที่มีความไวต่อสิ่งเร้า กับสิ่งเร้าที่ปรากฏอยู่ในสภาพแวดล้อม นักวิจัยที่สนับสนุนแบบจำลองนี้แย้งว่า ความต้องการทางเพศมิได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ตรงกันข้าม แบบจำลองนี้เสนอว่า บุคคลมิได้มีเพศสัมพันธ์เพราะรู้สึกต้องการทางเพศ แต่กลับกัน บุคคลรู้สึกต้องการทางเพศเพราะได้มีเพศสัมพันธ์แล้ว[31]
โรสแมรี แบสซอน (Rosemary Basson) ได้เสนอแบบจำลองทางเลือกของการตอบสนองทางเพศ โดยเธอให้เหตุผลว่า แบบจำลองเชิงเส้นสามารถอธิบายการตอบสนองทางเพศของผู้ชายได้ดี แต่ไม่เหมาะสมในการอธิบายการตอบสนองของผู้หญิง ดังนั้นเธอจึงเสนอแบบจำลองเชิงวงกลมขึ้นมาแทน[28] แบสซอนอธิบายว่า ความใกล้ชิดหรือความผูกพันกับคู่นอนส่งผลให้การกระตุ้นทางเพศมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเกิดความเร้าอารมณ์ทางเพศที่เพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การถึงจุดสุดยอดได้ ในทางกลับกัน ความเร้าอารมณ์ทางเพศที่เกิดขึ้นในเชิงบวกนี้ จะช่วยคงไว้ซึ่งความปรารถนาทางเพศของผู้หญิง และความปรารถนาดังกล่าวยังช่วยส่งเสริมความสนิทสนมระหว่างคู่รักอีกด้วย[28] อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางรายได้พยายามประเมินการทำงานทางเพศของผู้หญิงโดยอิงตามแบบจำลองใหม่นี้ แต่กลับพบผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยของกิลส์และแมคเคบ พบว่า แบบจำลองเชิงเส้นสามารถทำนายการทำงานทางเพศ (และความบกพร่องทางเพศ) ของผู้หญิงได้ดี ขณะที่แบบจำลองเชิงวงกลมกลับไม่สามารถทำนายได้อย่างมีประสิทธิภาพ[32] อย่างไรก็ดี เมื่อมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางความสัมพันธ์ภายในแบบจำลองแล้ว แบบจำลองเชิงวงกลมจึงกลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการทำนายการทำงานทางเพศ[32] ในอีกงานศึกษาหนึ่งซึ่งมุ่งเน้นกลุ่มผู้หญิงชาวมาเลเซีย นักวิจัยพบว่า แบบจำลองเชิงวงกลมนั้นสามารถทำนายความปรารถนาและความเร้าอารมณ์ทางเพศของผู้หญิงได้อย่างเหมาะสม[33] อย่างไรก็ดี ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในประเด็นนี้เพื่อยืนยันว่าแบบจำลองเชิงวงกลมนั้นสามารถอธิบายการตอบสนองทางเพศของผู้หญิงได้แม่นยำมากกว่ารูปแบบอื่น
ความผิดปกติทางเพศ
[แก้]วัฏจักรการตอบสนองทางเพศของมนุษย์ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญในการศึกษาและจำแนกความผิดปกติทางเพศในทั้งชายและหญิง[34][35] โดยทั่วไปความผิดปกติทางเพศสามารถจำแนกออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ความผิดปกติของความปรารถนาทางเพศ ความผิดปกติของความเร้าอารมณ์ทางเพศ ความผิดปกติในการถึงความเสียวสุดยอด ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ การจำแนกเหล่านี้ยังคงได้รับการใช้อ้างอิงในคู่มือวินิจฉัยและสถิติของความผิดปกติทางจิต ฉบับคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต อย่างไรก็ตาม งานวิจัยในระยะหลังชี้ให้เห็นว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแบบจำลองปัจจุบันของวัฏจักรการตอบสนองทางเพศ เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและรักษาความผิดปกติทางเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หนึ่งในเหตุผลหลักคือ ความผิดปกติทางเพศในผู้หญิงมักมีลักษณะทับซ้อนกัน[36] ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ป่วยหญิงที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะความปรารถนาทางเพศลดลง (HSDD) ร้อยละ 41 มีความผิดปกติทางเพศอื่นร่วมด้วยอย่างน้อยหนึ่งประเภท และร้อยละ 18 มีความผิดปกติในทั้งสามหมวด ได้แก่ ความปรารถนา ความเร้าอารมณ์ และการถึงจุดสุดยอด[37]
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ ความไม่สอดคล้องกันระหว่างความต้องการทางเพศและความเร้าอารมณ์ในผู้หญิง จากการประเมินเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับความผิดปกติของความเร้าอารมณ์ทางเพศในผู้หญิง (FSAD) โดยซินเทีย เกรแฮม พบว่า ผู้หญิงรายงานว่าลำดับของความต้องการและความเร้าอารมณ์ไม่ได้เป็นไปตามแบบจำลองของมาสเตอร์สและจอห์นสันเสมอไป กล่าวคือ บางครั้งอารมณ์ทางเพศเกิดขึ้นก่อนความต้องการทางเพศ ในขณะที่บางครั้งความต้องการเกิดขึ้นก่อนอารมณ์ทางเพศ[38] เนื่องจากมีอัตราการเกิดร่วมกันในระดับสูงระหว่างภาวะความต้องการทางเพศลดลง (HSDD) และ FSAD เกรแฮมจึงเสนอให้รวมภาวะทั้งสองไว้ในหมวดเดียวกันภายใต้ชื่อ "ความผิดปกติของความสนใจ/อารมณ์ทางเพศ" (Sexual Interest/Arousal Disorder) ฮาร์ตมันน์และคณะได้สรุปมุมมองของตนต่อแบบจำลองวงจรการตอบสนองทางเพศในปัจจุบัน และชี้ว่า "ด้วยการเพียงแค่ขยายเกณฑ์ของ DSM-IV และระบบการจำแนกวัฏจักรการตอบสนองทางเพศแบบดั้งเดิม ย่อมไม่อาจนำไปสู่การจัดกลุ่มวินิจฉัยและชนิดย่อยที่สะท้อนปัญหาทางเพศของผู้หญิงในชีวิตจริงได้อย่างเพียงพอ"[39]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 Archer, John; Lloyd, Barbara (2002). Sex and Gender (2nd ed.). Cambridge University Press. pp. 85–88. ISBN 0521635330. OCLC 57378267. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-23. สืบค้นเมื่อ August 25, 2012.
- ↑ Adair, Lora E. (2016). "Four-Stage Model of the Sexual Response". Encyclopedia of Evolutionary Psychological Science (ภาษาอังกฤษ). Springer, Cham. pp. 1–5. doi:10.1007/978-3-319-16999-6_1892-1. ISBN 978-3-319-16999-6.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 3.8 Masters, William Howell; Johnson, Virginia E. (1966). Human Sexual Response. Reproductive Biology Research Foundation (ภาษาอังกฤษ). Little, Brown. ISBN 978-0-316-54987-5.
- ↑ Gray, JP (June 1980). "Cross-Cultural Factors Associated with Sexual Foreplay". The Journal of Social Psychology. 111 (1): 3–8. doi:10.1080/00224545.1980.9924266. PMID 2818169.
- ↑ Levin, Roy; Meston, Cindy (2006). "Nipple/Breast Stimulation and Sexual Arousal in Young Men and Women". The Journal of Sexual Medicine. 3 (3): 450–454. doi:10.1111/j.1743-6109.2006.00230.x. PMID 16681470.
- ↑ 6.0 6.1 Rosenthal, Martha (2012). Human Sexuality: From Cells to Society. Cengage Learning. pp. 134–135. ISBN 9780618755714. สืบค้นเมื่อ September 17, 2012.
- ↑ 7.0 7.1 The Sexual Response Cycle, University of California, Santa Barbara, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2011, สืบค้นเมื่อ 6 August 2012
- ↑ 8.0 8.1 Dunn ME, Trost JE (October 1989). "Male multiple orgasms: a descriptive study". Archives of Sexual Behavior. 18 (5): 377–87. doi:10.1007/BF01541970. PMID 2818169. S2CID 13647953.
- ↑ See 133–135 เก็บถาวร เมษายน 2, 2016 ที่ Wikiwix for orgasm information, and page 76 for G-spot and vaginal nerve ending information. Rosenthal, Martha (2012). Human Sexuality: From Cells to Society. Cengage Learning. ISBN 978-0618755714.
- ↑ Schill WB, Comhaire FH, Hargreave TM (2006). Andrology for the Clinician. Springer Science & Business Media. p. 105. ISBN 0495812943.
- ↑ Crooks RL, Baur K (2010). Our Sexuality. Cengage Learning. pp. 175–176. ISBN 978-0495812944.
- ↑ Jones RE, Lopez KH (2013). Human Reproductive Biology. Academic Press. p. 146. ISBN 978-0123821850.
- ↑ Daniel L. Schacter; Daniel T. Gilbert; Daniel M. Wegner (2010). Psychology. Macmillan. p. 336. ISBN 978-1429237192. สืบค้นเมื่อ November 10, 2012.
- ↑ Irving B. Weiner; W. Edward Craighead (2010). The Corsini Encyclopedia of Psychology. Vol. 2. John Wiley & Sons. p. 761. ISBN 978-0470170267. สืบค้นเมื่อ November 10, 2012.
- ↑ 15.0 15.1 Rathus, Spencer A.; Nevid, Jeffrey S.; Fichner-Rathus, Lois; Herold, Edward S.; McKenzie, Sue Wicks (2005). Human Sexuality In A World Of Diversity (Second ed.). New Jersey, US: Pearson Education.
- ↑ Nuwer, Rachel (1 July 2016). "The enduring enigma of female sexual desire". BBC- Future. สืบค้นเมื่อ 12 September 2017.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 Basson, R. (2000). "The female sexual response: A different model". Journal of Sex and Marital Therapy 26, 51–65.
- ↑ Levin, R. J. (2008). "Critically revising aspects of the human sexual response cycle of Masters and Johnson: Correcting errors and suggesting modifications". Sexual and Relationship Therapy 23(4), 393-399.
- ↑ 19.0 19.1 Chivers, Meredith; Bailey, JM (October 2005). "A sex difference in features that elicit genital response". Biological Psychology. 70 (2): 115–120. doi:10.1016/j.biopsycho.2004.12.002. PMID 16168255. S2CID 7637198.
- ↑ Chivers, Meredith (November 2005). "A brief review and discussion of sex differences in the specificity of sexual arousal". Sexual and Relationship Therapy. 20 (4): 337–390. doi:10.1080/14681990500238802. S2CID 44451821.
- ↑ Chivers, Meredith; Seto, Michael; Blanchard, Ray (2007). "Gender and Sexual Orientation Differences in Sexual Response to Sexual Activities Versus Gender of Actors in Sexual Films" (PDF). Journal of Personality and Social Psychology. 93 (6): 1108–1121. doi:10.1037/0022-3514.93.6.1108. PMID 18072857. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 November 2019. สืบค้นเมื่อ 21 August 2018.
- ↑ Giles, Katie; McCabe, Marita (October 2009). "Conceptualizing women's sexual function: linear vs. circular models of sexual response". Journal of Sexual Medicine. 6 (10): 2761–2771. doi:10.1111/j.1743-6109.2009.01425.x. PMID 19686428.
- ↑ Levin, R. (2008). "Critically revisiting aspects of the human sexual response cycle of Masters and Johnson: Correcting errors and suggesting modifications". Sexual and Relationship Therapy 23(4), 393–399.
- ↑ Rosenberg, M. T., Hazzard, M. A., Tallamn, C. T., & Ohl, D. A. (2006). "Is the amount of physical pleasure with ejaculation related to volume or strength and force of ejaculation?" The Journal of Sexual Medicine 3(s1), 14–69.
- ↑ Hartman, William; Fithian, Marilyn (1984). Any Man Can: The Multiple Orgasmic Technique for Every Loving Man. New York: St. Martin's Press. ISBN 0312045204.แม่แบบ:Page?
- ↑ Zilbergeld, Bernie (1992). The New Male Sexuality. New York: Bantam Books. ISBN 0553082531.แม่แบบ:Page?
- ↑ Both, S., Everaerd, W., Laan, E. (2003). "Modulation of spinal reflexes by aversive and sexually appetitive stimuli". Psychophysiology, 40, 174–183.
- ↑ 28.0 28.1 28.2 Basson, R. (2001). "Using a different model for female sexual response to address women's problematic low sexual desire". Journal of Sex & Marital Therapy, 27, 395–403.
- ↑ Kaplan, H. S. Disorders of Sexual Desire. New York: Brunner/Mazel, Inc., 1979
- ↑ Robinson, P. The Modernization of Sex: Havelock Ellis, Alfred Kinsey, William Masters and Virginia Johnson. New York: Harper & Row, Publishers, 1976
- ↑ Laan, E. & Both, S. (2008). "What makes women experience desire?" Feminism & Psychology 18(4), 505-514.
- ↑ 32.0 32.1 Giles, K. R. & McCabe, M. P. (2009). "Conceptualizing women's sexual function: Linear vs. circular models of sexual response". The Journal of Sexual Medicine 6, 2761-2771.
- ↑ Sidi, H., Naing, L., Midin, M., and Nik Jaafar, N. R. (2008). "The female sexual response cycle: Do Malaysian women conform to the circular model?" The Journal of Sexual Medicine 5, 2359–2366.
- ↑ Masters, W. H. & Johnson, V. E. (1970). Human Sexual Inadequacy. Toronto; New York: Bantam Books.
- ↑ Kaplan, H. S. (1974). The New Sex Therapy: Active Treatment of Sexual Dysfunctions. New York: Brunner/Mazel, Publishers, Inc.
- ↑ Balon, R., Segraves, R. T., & Clayton, A. (2007). "Issues for DSM-V: Sexual dysfunction, disorder, or variation along normal distribution: Toward rethinking DSM criteria of sexual dysfunctions". American Journal of Psychiatry, 164(2), 198-200.
- ↑ Segraves, R. T. & Segraves, K. B. (1991). "Hypoactive sexual desire disorder: Prevalence and comorbidity in 906 subjects". Journal of Sex and Marital Therapy, 17, 55-58.
- ↑ Graham, C. A. (2009). "The DSM diagnostic criteria for female sexual arousal disorder". Archives of Sexual Behavior, 39, 240–255.
- ↑ Hartmann, U., Heiser, K., Ruffer-Hesse, C., & Kloth, G. (2002). "Female sexual desire disorders: Subtypes, classification, personality factors and new directions for treatment". World Journal of Urology, 20, 79-88.