วัชราจารย์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัชราจารยะหรือพัชราจารยะ

วัชราจารย์ (อักษรโรมัน: Vajracharya) เป็นปุโรหิตในคติศาสนาพุทธแบบเนวารซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวัชรยาน ถือกำเนิดขึ้นหลังการเสื่อมโทรมของสิกขาบทที่ภิกษุต้องถือพรหมจรรย์ และการก่อกำเนิดขึ้นของนิกายวัชรยาน[1] ชาวเนวารจะเรียกบรรพชิตนี้ว่า คุรุ-ชุ (Guru-ju) หรือ คุ-ภาชุ (Gu-bhāju) ที่ย่อจากมาจากคำว่า คุรุภาชุ (Guru Bhāju) ซึ่งคำว่า "คุรุ" เป็นคำสันสกฤตแปลว่า ครูหรือผู้สั่งสอน ทั้งนี้วัชราจารย์ถือเป็นวรรณะสูงสุดของชาวเนวารที่นับถือศาสนาพุทธ[2]

ก่อนจะเป็นคุรุชุขั้นสูง คนวรรณะวัชราจารย์จะต้องผ่านพิธีกรรมหลายประการ หนุ่มวัชราจารย์จะต้องผ่านพิธีกรรมเบื้องต้นที่เรียกว่า "วัชราภิเษก" (Bajravishekha)[3] ต้องปลงผม บิณฑบาตอย่างน้อยเจ็ดวันในสถานที่ต่าง ๆ ตามอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในหนังสือ กำเนิดใหม่พุทธศาสนา : นิกายเถรวาทในเนปาลช่วงศตวรรษที่ 20 (Rebuilding Buddhism: The Theravada Movement in Twentieth-century Nepal) พบความสัมพันธ์ด้านวินัยสงฆ์ระหว่างชายสกุลวัชราจารย์กับสกุลศากยะ

"ต่างจากวัชราจารย์ ชายศากยะจะไม่เป็นปุโรหิตสำหรับใคร ๆ แต่ผู้ชายวัชราจารย์จะเป็นสมาชิกในอารามศาสนาพุทธแบบเนวารที่เรียกอย่างสมเกียรติว่า 'วิหาร' และถูกเรียกขานว่า 'พหะ' (baha) หรือ 'พหี' (bahi) ตราบเท่าที่ชายศากยะและวัชราจารย์ยังมีบทบาทในอาราม พวกเขาเป็นนักบวช แต่ในทางปฏิบัติแล้วพวกเขาสมรสและเป็นนักบวชแค่บางเวลาเท่านั้น"[4]

ทั้งนี้นักวิชาการพุทธศาสนาสมัยใหม่ในเนปาลเป็นวัชราจารย์[5]

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. A History of Nepal, John Whelpton, Cambridge University Press, 2005, p. 30
  2. Hattaway, Paul (2004). Peoples of the Buddhist World: A Christian Prayer Diary. William Carey Library. p. 198. ISBN 0-87808-361-8.
  3. "A Brief Introduction of Distinctive Features of Nepalese Buddhism". 2002. สืบค้นเมื่อ 2008-07-27.
  4. Sarah LeVine, David N. Gellner (2005). Rebuilding Buddhism: The Theravada Movement in Twentieth-century Nepal. Harvard University Press. p. 37. ISBN 978-0-674-01908-9.
  5. The Circle of Bliss: Buddhist Meditational Art, John C. Huntington, Dina Bangdel, Robert A. F. Thurman, Los Angeles County Museum of Art, Columbus Museum of Art, Serindia Publications, Inc., 2003, p. 12