ลิโมนีน
|
Limonene (R)-isomer | |||
ลิโมนีนที่สกัดได้จากเปลือกส้ม | |||
| ชื่อ | |||
|---|---|---|---|
| Preferred IUPAC name
1-Methyl-4-(prop-1-en-2-yl)cyclohex-1-ene | |||
| ชื่ออื่น
1-Methyl-4-(1-methylethenyl)cyclohexene 4-Isopropenyl-1-methylcyclohexene p-Menth-1,8-diene Racemic: DL-Limonene; Dipentene | |||
| เลขทะเบียน | |||
3D model (JSmol) |
|||
| ChEBI | |||
| ChEMBL |
| ||
| เคมสไปเดอร์ | |||
| ECHA InfoCard | 100.004.856 | ||
| KEGG | |||
ผับเคม CID |
|||
| UNII |
| ||
CompTox Dashboard (EPA) |
|||
| |||
| |||
| คุณสมบัติ | |||
| C10H16 | |||
| มวลโมเลกุล | 136.238 g·mol−1 | ||
| ลักษณะทางกายภาพ | ของเหลวไม่มีสี | ||
| กลิ่น | ส้ม | ||
| ความหนาแน่น | 0.8411 g/cm3 | ||
| จุดหลอมเหลว | −74.35 องศาเซลเซียส (−101.83 องศาฟาเรนไฮต์; 198.80 เคลวิน) | ||
| จุดเดือด | 176 องศาเซลเซียส (349 องศาฟาเรนไฮต์; 449 เคลวิน) | ||
| ละลายไม่ได้ | |||
| ความสามารถละลายได้ | ผสมเข้ากันได้กับเบนซีน, คลอโรฟอร์ม, อีเทอร์, CS2 และน้ำมัน ละลายได้ใน CCl4 | ||
| Chiral rotation [α]D | 87–102° | ||
ดัชนีหักเหแสง (nD) |
1.4727 | ||
| อุณหเคมี | |||
Std enthalpy of combustion (ΔcH⦵298) |
−6.128 MJ mol−1 | ||
| ความอันตราย | |||
| อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OHS/OSH): | |||
อันตรายหลัก |
อาจทำให้เกิดผื่นแพ้จากสัมผัส หากหายใจจะเกิดอาการปอดบวมน้ำ ปอดอักเสบ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้[1] | ||
| GHS labelling: | |||
| อันตราย | |||
| H226, H304, H315, H317, H410 | |||
| P210, P233, P235, P240, P241, P242, P243, P261, P264, P272, P273, P280, P301+P330+P331, P302+P352, P303+P361+P353, P304+P340, P312, P333+P313, P362, P370+P378, P391, P403+P233, P405, P501 | |||
| NFPA 704 (fire diamond) | |||
| จุดวาบไฟ | 50 องศาเซลเซียส (122 องศาฟาเรนไฮต์; 323 เคลวิน) | ||
| 237 องศาเซลเซียส (459 องศาฟาเรนไฮต์; 510 เคลวิน) | |||
หากมิได้ระบุเป็นอื่น ข้อมูลข้างต้นนี้คือข้อมูลสาร ณ ภาวะมาตรฐานที่ 25 °C, 100 kPa
| |||
ลิโมนีน (อังกฤษ: limonene) เป็นของเหลวไม่มีสี จัดอยู่ในกลุ่มสารไฮโดรคาร์บอนแบบอะลิฟาติก และเป็นโมโนเทอร์พีนแบบวงแหวนซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากเปลือกผลไม้สกุลส้ม[1] ในธรรมชาติ ไอโซเมอร์แบบ (+) จะพบได้บ่อยกว่า มีกลิ่นคล้ายส้ม จึงถูกนำไปใช้เป็นสารแต่งกลิ่นในอุตสาหกรรมอาหาร[1][2] นอกจากนี้ยังใช้ในการสังเคราะห์ทางเคมีเพื่อเป็นตัวตั้งต้นในการผลิตคาร์โวนและใช้เป็นตัวทำละลายที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอีกด้วย[1] ส่วนไอโซเมอร์แบบ (−) ซึ่งพบได้น้อยกว่า จะมีกลิ่นคล้ายสนหรือน้ำมันสน และพบในส่วนที่กินได้ของพืชบางชนิด เช่น เทียนตากบ ผักชีลาว และมะกรูดฝรั่ง[3]
คำว่าลิโมนีนมาจากภาษาอิตาลีว่า "ลิโมเน" (limone) ที่แปลว่าเลมอน[4] ลิโมนีนเป็นโมเลกุลแบบไครัล ซึ่งหมายถึงโครงสร้างที่ไม่สามารถซ้อนทับกับภาพในกระจกเงาของตัวเองได้ โดยแหล่งกำเนิดทางชีวภาพจะสร้างอิแนนทิโอเมอร์แบบใดแบบหนึ่งขึ้นมาเป็นหลัก ซึ่งในผลไม้สกุลส้มที่เป็นแหล่งสำคัญทางการค้า จะพบ (+)-ลิโมนีน หรือที่เรียกว่า d-ลิโมนีน ซึ่งเป็น (R)-อิแนนทิโอเมอร์[1] การผลิต (+)-ลิโมนีนในเชิงพาณิชย์จากผลไม้สกุลส้มมีสองวิธีหลัก คือการแยกด้วยแรงหนีศูนย์กลางและการกลั่นด้วยไอน้ำ
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 3 4 5 "D-Limonene". PubChem, US National Library of Medicine. 11 May 2024. สืบค้นเมื่อ 18 May 2024.
- ↑ Fahlbusch, Karl-Georg; Hammerschmidt, Franz-Josef; Panten, Johannes; และคณะ (2003). "Flavors and Fragrances". Ullmann's Encyclopedia of Industrial Chemistry. doi:10.1002/14356007.a11_141. ISBN 978-3-527-30673-2.
- ↑ "Molecule of the Week Archive: Limonene" (ภาษาอังกฤษ). American Chemical Society. 1 November 2021. สืบค้นเมื่อ 5 November 2021.
- ↑ "limonene". merriam-webster.com. Merriam-Webster. 22 September 2023. สืบค้นเมื่อ 23 September 2023.


