ลิซ ทรัสส์
ลิซ ทรัสส์ | |
---|---|
![]() ทรัสส์ใน ค.ศ. 2022 | |
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร | |
ดำรงตำแหน่ง 6 กันยายน ค.ศ. 2022 – 25 ตุลาคม ค.ศ. 2022 (1 เดือน 19 วัน) | |
กษัตริย์ | สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 |
รอง | เธเรส คอฟฟีย์ |
ก่อนหน้า | บอริส จอห์นสัน |
ถัดไป | ริชี ซูแน็ก |
หัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม | |
ดำรงตำแหน่ง 5 กันยายน ค.ศ. 2022 – 24 ตุลาคม ค.ศ. 2022 (1 เดือน 19 วัน) | |
ก่อนหน้า | บอริส จอห์นสัน |
ถัดไป | ริชี ซูแน็ก |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เครือจักรภพ และกิจการพัฒนา | |
ดำรงตำแหน่ง 15 กันยายน ค.ศ. 2021 – 6 กันยายน ค.ศ. 2022 (11 เดือน 22 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | บอริส จอห์นสัน |
ก่อนหน้า | ดอมินิก ราบ |
ถัดไป | เจมส์ เคลเวอร์ลี |
รัฐมนตรีสตรีและความเท่าเทียม | |
ดำรงตำแหน่ง 10 กันยายน ค.ศ. 2019 – 6 กันยายน ค.ศ. 2022 (2 ปี 11 เดือน 27 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | บอริส จอห์นสัน |
ก่อนหน้า | แอมเบอร์ รัดด์ |
ถัดไป | นาดิม ซาฮาวี |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศ | |
ดำรงตำแหน่ง 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 – 15 กันยายน ค.ศ. 2021 (2 ปี 1 เดือน 22 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | Harry Winser |
ก่อนหน้า | Jame the great |
ถัดไป | แอนน์-แมรี ทริวิเลียน |
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง | |
ดำรงตำแหน่ง 11 มิถุนายน ค.ศ. 2017 – 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 (2 ปี 1 เดือน 13 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | เทรีซา เมย์ |
ก่อนหน้า | เดวิด กอก |
ถัดไป | ริชี ซูแน็ก |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | |
ดำรงตำแหน่ง 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 – 11 มิถุนายน ค.ศ. 2017 (10 เดือน 28 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | เทรีซา เมย์ |
ก่อนหน้า | ไมเคิล โกฟ |
ถัดไป | เดวิด ลิดิงตัน |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหาร และกิจการชนบท | |
ดำรงตำแหน่ง 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 – 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 (1 ปี 11 เดือน 29 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | เดวิด คาเมรอน |
ก่อนหน้า | โอเวิน แพเทอร์สัน |
ถัดไป | แอนเดรีย ลีดซัม |
สมาชิกรัฐสภา เขตเซาท์เวสต์นอร์ฟอล์ก | |
เริ่มดำรงตำแหน่ง 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 (14 ปี 9 เดือน 7 วัน) | |
ก่อนหน้า | คริสโตเฟอร์ เฟรเซอร์ |
คะแนนเสียง | 26,195 (50.9%) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | แมรี เอลิซาเบธ ทรัสส์ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 ออกซเฟิร์ด สหราชอาณาจักร |
พรรคการเมือง | อนุรักษนิยม (ค.ศ. 1996 – ปัจจุบัน) |
การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | เสรีประชาธิปไตย (ก่อน ค.ศ. 1996) |
คู่สมรส | ฮิว โอเลียรี (สมรส 2000) |
บุตร | 2 คน |
การศึกษา | วิทยาลัยเมอร์ทัน ออกซเฟิร์ด (ศิลปศาสตรบัณฑิต) |
เว็บไซต์ | www |
แมรี เอลิซาเบธ ทรัสส์ (อังกฤษ: Mary Elizabeth Truss; เกิด 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1975) หรือนิยมเรียก ลิซ ทรัสส์ (Liz Truss) เป็นนักการเมืองชาวอังกฤษ ที่เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม และนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 2022 และสิ้นสุดในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2022 เธอได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาจากเขตเซาท์เวสต์นอร์ฟอล์กตั้งแต่ ค.ศ. 2010 และมีหน้าที่ตำแหน่งมากมายในคณะรัฐมนตรีภายใต้นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน, เทรีซา เมย์ และบอริส จอห์นสัน ทรัสส์ชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเมื่อ 5 กันยายน ค.ศ. 2022 เอาชนะริชี ซูแน็ก ถือเป็นสตรีคนที่สามในประวัติศาสตร์สหราชอาณาจักรที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี[1] ต่อจากมาร์กาเรต แทตเชอร์ และเทรีซา เมย์
ลิซ ทรัสส์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายในรัชสมัยของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และนายกรัฐมนตรีคนแรกในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2022 ลิซ ทรัสส์ได้ทำการแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าตนได้ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ทรัสส์เป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียงแค่ 50 วัน[2][3][4]
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]ลิซ ทรัสส์ หรือชื่อเต็มคือ แมรี เอลิซาเบธ ทรัสส์ เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม พ.ศ.2518 ที่เมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ[5] ครอบครัวของเขานั้นเป็นครอบครัวนักวิชาการที่พอมีฐานะ พ่อของเธอ จอห์น ทรัสส์ (John Truss) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่ทำงานในมหาวิทยาลัยลีดส์ ส่วนแม่ พริซิลา ทรัสส์ (Priscilla Truss) เป็นอาจารย์สอนพยาบาล และเป็นสมาชิกในคณะกรรมการต่อต้านนิวเคลียร์ด้วย[6]
ทรัสส์เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยเข้าศึกษาในแขนงของปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ โดยในระหว่างที่กำลังเรียนอยู่นั้นเธอก็ร่วมเคลื่อนไหวในเครือข่ายของพรรคเสรีประชาธิปไตย (สหราชอาณาจักร) โดยเคลื่อนไหวในแคมเปญทางการเมืองต่างๆ และเป็นนักเคลื่อนไหวคนสำคัญในมหาวิทยาลัย
หลังจบจากมหาวิทยาลัย ทรัสส์ได้เข้าทำงานในบริษัทเชลล์ และได้เลื่อนขั้นในเวลารวดเร็วจนเป็นหัวหน้าแผนกที่คุมด้านเศรษฐกิจของบริษัท[7] แต่อย่างไรนั้นระหว่างที่เธองานในบริษัทเชลล์เธอก็ยังมีแพชชั่นในการทำการเมือง และได้มีการทำความรู้จักกับนักการเมืองบางส่วนอยู่ตลอด ซึ่งในช่วงปี 2541-2543 ด้วยการผลักดันจากเพื่อนของเธอที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่มีชื่อว่า แจ็คกี้ โดว์ลี่ ไพรซ์ (Jackie Doyle-Price) ทำให้ทรัสส์ได้เข้ามามีที่นั่งในสมาคมคอนเซอร์เวทีฟในเขตเลวี่แชม เดปฟอร์ด ซึ่งในช่วงเริ่มต้นการทำงานของการเมืองของเธอ ทรัสส์ได้แสดงตัวที่จะลงสนามการเมืองท้องถิ่นในการเป็นสมาชิกสภาเมืองลอนดอนเขตกรีนิช แต่ในช่วงต้นเธอไม่ได้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งในเขตนี้
ชีวิตการเมือง
[แก้]เข้าสู่สภาครั้งแรก
[แก้]ทรัสส์ได้รับการเลือกตั้งเป็น สส.ครั้งแรกหลังการเลือกตั้งในปี 2553 ซึ่งมีเดวิด แคเมอรอนเป็นนายกรัฐมนตรี สภาในสมัยนี้ถูกมองว่าเป็น “ยุคทอง” ของสมาชิกสภาหลายคน เพราะเป็นสภาที่แจ้งเกิดให้กับ สส. หน้าใหม่หลายคน[8] ซึ่งรวมถึงทรัสส์ด้วย
ในช่วงสมัยแรกของการทำงานทรัสส์ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ทำงานอย่างหนัก ขยันลงพื้นที่ และประชาสัมพันธ์ ในขณะที่ในสภาก็พยายามขับเคลื่อนประเด็นทางด้านการศึกษา เช่น เธอพยายามนำเสนอว่าเด็กในอังกฤษในช่วงนั้นกำลังมีปัญหาทางการศึกษา เธออยากให้มีการเพิ่มการศึกษาในวิชาคณิตศาสตร์ให้มากขึ้น และหาแนวทางในการให้เด็กลดการใช้เครื่องคิดเลขหรืออุปกรณ์ทดแรงในการศึกษาคณิตศาสตร์ลงบ้าง[9][10] และแนะนำว่านักเรียนอังกฤษควรต้องสอบ GCSE สำหรับวิชาเฉพาะ 5 วิชา ด้วย[11]
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทวงศึกษาธิการ (2555-2557)
[แก้]ผลงานในสภาเรื่องประเด็นทางการศึกษา ทำให้เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรี ทรัสส์จึงได้เข้าไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในปี 2555 ภายใต้การบริหารของมิเชล โกฟ (Michael Gove) เจ้ากระทรวงในขณะนั้น โดยในฐานะรัฐมนตรีช่วยทรัสส์ได้เสนอทำโครงการในการแก้ระเบียบเพื่อทำให้การดูแลเด็กของพี่เลี้ยงเด็กจากที่กำหนดขั้นต่ำเอาไว้ไม่เกิน 3 คน เป็นไม่เกิน 4 คน ซึ่งทรัสส์มองว่าการแก้ระเบียบนี้จะสามารถลดค่าใช้จ่ายของการให้เงินพี่เลี้ยงดูแลเด็กของหน่วยงานรัฐบาล[12][13] หรือตลอดจนลูกจ้างที่เป็นคนดูแลเด็กปกติได้ อย่างไรก็ตามแผนการนี้ของเธอโดนต้านจากสื่อสิ่งพิมพ์สายอนุรักษ์นิยมจำนวนมาก ตลอดจนแม้แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเองอย่าง นิค เคริค (Nick Clegg) หัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (สหราชอาณาจักร)[14] ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เหตุการณ์นี้นำไปสู่รอยขัดแย้งของรัฐบาล รวมทั้งยังเป็นการทำให้ทรัสส์เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม (2557-2559)
[แก้]การปรับคณะรัฐมนตรีของคาแมลอน ในปี 2557 ทำให้ทรัสส์ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมฯ (Secretary of State for Environment, Food and Rural Affairs) พร้อมกันนั้นก็เป็นอธิบดีกรมกิจการสิ่งแวดล้อม อาหาร และกิจการชนบท (Defra) โดยตำแหน่ง ซึ่งตอนที่เธอเข้ามาทำงานในกระทรวงแห่งนี้ กระทรวงแห่งนี้กำลังเจอกับมรสุมของเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นมากมาย
ทรัสส์พยายามที่จะทำงานเพื่อปรับภาพลักษณ์ เธอพยายามรับประกันให้คนอังกฤษเชื้อมั่นในกิจการของรัฐบาลในประเด็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมและอาหาร หลังจากความอื้อฉาวในการบริหารผิดพลาดครั้งก่อนๆ พร้อมกันนั้นก็พยายามทำโครงการใหม่ๆออกมา เช่น การวางแผนระยะยาวเพื่อรับมือการลดลงของประชากรผึ้ง การอนุมติการยกเลิกข้อห้ามการใช้สารกำจัดศัตรูพืชของสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตามภายใต้การทำงานของเธอ เธเอถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้จริงจังกับการทำงานในกระทรวงนี้ และมองเพียงว่าเธอพยายามใช้องค์กรในกระทรวงนี้เป็นบันไดในการไต่เต้าไปยังตำแหน่งที่สูงกว่าในอนาคต[15] สิ่งเหล่านี้ยังลากยาวไปจนถึงการถูกล้อเลียนและวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชน เมื่อเธอพูดผ่านสื่อกลับไปกลับมา ไม่แน่นอนทางด้านนโยบายด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและลอร์ดชานเซลเลอร์
[แก้]ในเดือนกรกฎาคม 2559 ทรัสส์ได้รับการแต่งตั้งให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเป็นลอร์ดชานเซลเลอร์ ผู้ดูแลการตั้งหัวหน้าศาลทั้งหมดของอังกฤษ ในรัฐบาลของเทเรซาร์ เมย์ ซึ่งการตั้งเธอของเมย์ให้เป็นลอร์ดชานเซลเลอร์ ได้กลายเป็นสิ่งที่นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ทั้งจากประชาชนและคนในพรรคคอนเซอเวทีฟด้วยกันเอง เพราะเธอนั้นไม่มีประสบการณ์ในด้านกฎหมาย และในขณะเดียวกันก็เป็นที่กังวลว่า “เธอจะคัดค้านการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีในบางประเด็นที่ต้องตัดสินใจในฐานะผู้เป็นใหญ่เหนือศาลทั้งหมดได้ไหม” แน่นอนว่าทรัสส์และผู้สนับสนุนก็ออกมาตอบโต้ในประเด็นเหล่านี้ โดยกล่าวว่าทรัสส์นั้นเป็นประสบการณ์เพียงพอ โดยกรณีสำคัญที่ทำให้เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก คือ ท่าทีที่ช้าและนิ่งเฉยของเธอในกรณีที่ผู้พิพากษาศาลสูงสามคนถูกทั้งสื่อและนักการเมืองโจมตีว่าเป็น “ศัตรูของประชาชน” จากการการตัดสินคัดค้านว่า การกระทำของรัฐบาลที่จะนำสหราชอาณาจักรออกจาก EU ตามมาตรา 50 ของสหภาพยุโรปนั้น ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่นับวันจะทวีคูณของทรัสส์ ส่งผลทำให้เมย์ในฐานะนายกรัฐมนตรีโยกเธอไปทำงานในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังแทน ซึ่งการกระทำนี้ค่อนข้างที่จะทำให้เธอหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาเธอจะพยายามสร้างคะแนนนิยมให้กับตัวเองผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเธอเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังจวบจนเทเรซาร์ เมย์ ลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562
ภายใต้รัฐบาลของจอห์นสัน
[แก้]ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่เทเรซาร์ เมย์ลงจากตำแหน่ง ทรัสส์ก็พยายามแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ และการเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป อย่างไรก็ตามเมื่อพบว่าความนิยมของเธอนั้นไม่สามารถเอาชนะบอริส จอห์นสันที่เสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีได้ ทรัสส์จึงได้ถอนตัวจากการชิงตำแหน่งและออกตัวสนับสนุนจอห์นสันแทน ซึ่งผลในคราวนั้นจอห์นสันได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ และได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อมาของสหราชอาณาจักร
หลังจากที่จอห์นสันขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทรัสส์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในระหว่างดำรงตำแหน่งเธอก็ได้เดินสายพบผู้นำประเทศต่างๆ และได้พยายามพูดคุยเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างอังกฤษกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอเมริกา
ผลงานการทำงานของเธอ ทำให้ทรัสส์ถูกขยับขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในปี 2564 ซึ่งในระหว่างที่เธอเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศนั้น สิ่งหนึ่งที่เธอให้ความสนใจมากคือการเพิ่มจำนวนทหารของรัสเซียในชายแดนรัสเซีย-ยูเครน[16] ในช่วงต้นปี 2565 ความตึงเครียดในครั้งนี้ทำให้เธอได้เดินทางไปยังมอสโกเพื่อเข้าหารือกับรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก ลาฟรอฟ อย่างไรก็ตามการประชุมหารือในครั้งนี้ประสบความล้มเหลว เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร[17][18][19] 5 วันหลังจากนั้น ทรัสส์ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า “...สงครามกำลังจะถูกนำกลับมาในยุโรป”[20] แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อรัสเซียตัดสินใจรุกรานยูเครนในเช้าตรู่ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565

ทันทีหลังจากรัสเซียเปิดฉากการรุกราน ทรัสส์ได้ตอบโต้ด้วยการเปิดมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย รวมทั้งกล้าที่จะกดดันให้ผู้นำชาติ G7 อื่นๆ ใช้มาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน ซึ่งทรัสส์ก็ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า มาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่ารัสเซียจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงหรือถอนทหารออกจากดินแดนยูเครน ท่าทีของทรัสส์ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศในครั้งนี้ได้รับคำชื่นชมจากจอห์นสันมาก โดยนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า “..ในขณะที่รัฐบาลอื่นกำลังสับสน ทรัสส์มีสมาธิยอดเยี่ยมและตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด”[21]
อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปี 2565 สถานะของนายกรัฐมนตรีอย่างบอริส จอห์นสันอยู่ในภาวะที่เปราะบางเป็นอย่างมาก จอห์นสันโดนโจมตีจากเรื่องอื้อฉาวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนมาตรการล็อกดาวน์ หรือการปกปิดเรื่องอื้อฉาวทางเพศของคริส พินเชอร์ วิปรัฐบาลจากพรรคคอนเซอเวทีฟ ทรัสส์เป็นอีกหนึ่งคนที่กดดันให้จอห์นสันแสดงความรับผิดชอบ จนนำไปสู่การลาออกของจอห์นสันในวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 หลังการลาออกในครั้งนี้ ทรัสส์ได้เปิดตัวเป็นหนึ่งในแคนดิเดตเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ และนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของสหราชอาณาจักร
วันที่ 10 กรกฎาคม ทรัสส์เปิดตัวเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการ โดยเธอชูนโยบายการลดภาษี โดยจะยกเลิกการขึ้นภาษีนิติบุคคลที่กำลังเป็นประเด็น เพิ่มอัตราค่าประกันสังคม และมีแผนระยะยาวในการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ รวมทั้งกล่าวว่า จะสู้ในการเลือกตั้งในฐานะสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม เพื่อรัฐบาลของพรรคอนุรักษ์นิยม”
ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟในครั้งนี้ ทรัสส์เป็นตัวเต็งสำคัญของการเลือก จนในที่สุดก็ไปเข้าชิงกับริชี ซูแน็ก ในการเลือกครั้งนี้ สำหรับสมาชิกสภาพรรคคอนเซเวทีฟ ลงคะแนนเลือกทรัสส์ 113 คน พ่าย ชูแน็กที่มีคนเลือก 137 คน แต่ในสัดส่วนของสมาชิกพรรคทั่วไป ทรัสส์ได้คะแนน 81,326 คะแนน ชนะซูแน็กที่ได้เพียง 60,399 เมื่อรวมคะแนนและคิดเป็นเปอร์เซ็น ทรัสส์ได้คะแนนรวมไปร้อยละ 57.4 คะแนน ส่วนชูแน็กได้แค่ ร้อยละ 42.6 ทำให้ทรัสส์ชนะการเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ และนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรคนถัดไป
นายกรัฐมนตรี
[แก้]วันที่ 6 กันยายน 2565 ลิซ ทรัสส์ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขณะทรงประทับอยู่ที่ปราสาทแบลมอรัล ให้เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับแต่งตั้งเหล่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของเธอ[22][23][24] คนสำคัญคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทรัสส์ได้ตั้งคนสนิทของเธอ ควาซี กวาร์เต็ง เป็นรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตามสองวันหลังจากเธอรับตำแหน่ง สหราชอาณาจักรก็ต้องพบกับข่าวความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 สวรรคต ทรัสส์ได้รับแจ้งอาการของพระราชินีตั้งแต่ช่วงเช้าว่าพระองค์อาจจะทรงอยู่ได้อีกไม่กี่ชั่วโมง[22] หลังรับแจ้งเธอก็รีบจัดแจงเตรียมพร้อม และออกแถลงการณ์จากบ้านเลขที่ 10 ถนนดาว์นิง หลังจากที่สำนักพระราชวังออกประกาศการสวรรคตของสมเด็จพระราชินี
ปัญหาเรื่องการออกงบประมาณแผ่นดินฉบับย่อ
[แก้]ปัญหาค่าใช้จ่ายครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอันเป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นปัญหาใหญ่ที่ทรัสส์พยายามหาทางแก้ไข ประการแรกทรัสส์ได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่ออุดค่าใช้จ่ายเหล่านั้น เช่น การประกันราคาพลังงาน การเปลี่ยนระบบจัดเก็บภาษีใหม่ อย่างไรก็ตามมาตรการเหล่านั้นนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างวงกว้าง แต่ทั้งหมดก็ถูกแช่แข็งไปชั่วขณะภายหลังการสวรรคตของพระราชินี
วันที่ 23 กันยายน รัฐสภาเวสต์มินส์เตอร์กลับมาพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง กวาร์เต็งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศแผนงบประมาณฉบับย่อเพื่ออนุมัติงบประมาณบางส่วน ที่มีการตัดทอนและลดภาษีหลายอย่างอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมทั้งยังเป็นแผนที่จะกู้เงินมาช่วยเหลือประชาชนซึ่งกวาร์เต็งและทรัสส์มองว่าจะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีตลาดและนักลงทุนไม่ได้เห็นไปในทิศทางเดียวกัน ภายหลังแผนฉบับนี้ออกสู่สาธารณชน ค่าเงินปอนด์ก็ร่วงตกลงอย่างมากจนต่ำกว่าค่าเงินดอลล่าร์[25] ก่อนที่เรื่องนี้จะกลายเป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับ สส.จากทั้งพรรคฝ่าค้านและพรรครัฐบาลด้วยกันเอง
ในเวลาไม่นานทรัสส์ก็เผชิญกับปัญหาทางการเมือง แรงกดดันมหาศาลทำให้ทรัสส์ต้องปลดกวาร์เต็งออกจากตำแหน่ง แต่อย่างไรก็ตามแค่นั้นมันไม่เพียงพอ ความขัดแย้งในสมาชิกรัฐสภาที่คุกรุ่นอยู่ตั้งแต่การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคปะทุขึ้นออกมา สส.พรรคคอนเซอเวทีฟบางคนเรียกร้องให้ทรัสส์ลาออกและวิพากษ์วิจารณ์ถึงความอ่อนแอของทรัสส์ในฐานะนายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลานี้คะแนนความนิยมของเธอตกลงอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคมผลสำรวจความนิยมให้เธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีคะแนนความนิยมต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์
ภายในสภาเองก็เกิดความวุ่นวาย ความไม่ลงรอยกันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซูเอลลา แบรเวอร์มัน นำไปสู่การลาออกของเธอจากตำแหน่ง การลาออกในครั้งนั้นส่งผลกระเพื่อมไปยังพรรคคอนเซอเวทีฟ สมาชิกสภาบางส่วนพยายามใช้การโหวตญัตติในสภาผู้แทนเป็นที่แสดงถึงความไม่ไว้วางใจที่มีต่อนายกรัฐมนตรี[26]
ความวุ่นวายในวันที่ 19 ตุลาคม แม้ว่าจะจบลงด้วยดี เมื่อสมาชิกสภาคนอื่นโหวตตามมติของพรรคได้ แต่สำหรับทรัสส์ เธอไม่สามารถกู้สถานการณ์ที่วิกฤติภายในได้ สุดท้ายเป็นเวลาสั้นๆก่อนเที่ยงของวันที่ 20 ตุลาคม ทรัสส์ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม การลาออกของทรัสส์ส่งผลทำให้เธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ ไปโดยปริยาย เพราะเธอเป็นนายกได้เพียงแค่ 45 วัน เท่านั้น
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "New prime minister: Liz Truss or Rishi Sunak to be announced as Tory leader". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2022-09-05.
- ↑ "'Be bold': Liz Truss lays down gauntlet to Rishi Sunak in final speech as UK prime minister". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2022-10-25. สืบค้นเมื่อ 2022-10-25.
- ↑ "Liz Truss resigns, Rishi Sunak to become U.K. prime minister". Washington Post (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ 2022-10-25.
- ↑ "ด่วน! ลิซ ทรัสส์ ประกาศลาออกนายกรัฐมนตรีอังกฤษ". Thai PBS. 20 October 2022. สืบค้นเมื่อ 25 October 2022.
- ↑ Cole & Heale 2022, p. 5.
- ↑ "Profile: Elizabeth Truss". The Sunday Times; Asthana 2012.
- ↑ Parker & Hughes 2022.
- ↑ Jones, Norton & Kelly 2014, p. 215.
- ↑ Coughlan 2012.
- ↑ McGurran 2011.
- ↑ Cole & Heale 2022, pp. 74–75.
- ↑ Cole & Heale 2022, pp. 91–92.
- ↑ Wintour & Malik 2013.
- ↑ Cole & Heale 2022, p. 94.
- ↑ Seldon & Egerton 2024, p. 210.
- ↑ Cole & Heale 2022, p. 219.
- ↑ Philp, Parfitt & Waterfield 2022.
- ↑ Payne 2022, p. 84.
- ↑ Cole & Heale 2022, p. 230.
- ↑ Grierson 2022b.
- ↑ Cole & Heale 2022, pp. 231–232.
- ↑ 22.0 22.1 Woodcock 2022b.
- ↑ Middleton 2023, p. 9.
- ↑ Allen 2023, p. 36.
- ↑ "Pound hits record low after tax cut plans". BBC News.
- ↑ Woodcock 2022a; Walker & Grierson 2022; "MPs allege bullying during chaotic fracking vote". BBC News; Brown 2022; Whannel & Mason 2022.