ข้ามไปเนื้อหา

รูแบน อามอริม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รูแบน อามอริม
อามอริมในการคุมทีมสปอร์ติงลิสบอน เมื่อปี 2024
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม รูแบน ฟิลิเป มาร์เกส อโมริม[1]
วันเกิด (1985-01-27) 27 มกราคม ค.ศ. 1985 (39 ปี)[1]
สถานที่เกิด ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
ส่วนสูง 1.78 เมตร (5 ฟุต 10 นิ้ว)[2]
ตำแหน่ง กองกลาง
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (หัวหน้าผู้ฝึกสอน)
สโมสรเยาวชน
1998–2000 Clube Atlético Cultural
2000–2002 ไบฟีกา (ทีมเยาวชน)
2002–2003 Belenenses
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2003–2008 Belenenses 96 (4)
2008–2017 ไบฟีกา 95 (5)
2012–2013บรากา (ยืมตัว) 30 (4)
2015–2016อัลวักเราะฮ์ (ยืมตัว) 14 (2)
รวม 237 (15)
ทีมชาติ
2003 โปรตุเกสอายุไม่เกิน 18 ปี 3 (0)
2003–2004 โปรตุเกสอายุไม่เกิน 19 ปี 13 (0)
2004–2005 โปรตุเกสอายุไม่เกิน 20 ปี 13 (0)
2005–2008 โปรตุเกสอายุไม่เกิน 21 ปี 10 (0)
2010–2014 โปรตุเกส 14 (0)
จัดการทีม
2018–2019 กาชาปีอา
2019 บรากา เบ
2019–2020 บรากา
2020–2024 สปอร์ติงลิสบอน
2024– แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

รูแบน ฟิลิเป มาร์เกส อามอริม (โปรตุเกส: Ruben Filipe Marques Amorim; เกิด 27 มกราคม 1985) เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลอาชีพและอดีตผู้เล่น ปัจจุบันเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ในสมัยเป็นนักฟุตบอล อามอริมเล่นในตำแหน่งกองกลางเป็นหลัก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพของเขากับเบเลเนนส์ และไบฟีกา โดยเซ็นสัญญากับทีมหลังในปี 2008 และคว้าแชมป์เมเจอร์ 10 รายการ รวมถึงแชมป์ลีก 3 สมัย ตาซาดึปูร์ตูกัล 1 สมัย ลีกคัพ 5 สมัย และกันดิโด เด โอลิเวร่า ซูเปอร์คัพ 1 สมัย เขาติดทีมชาติโปรตุเกส เข้าร่วมฟุตบอลโลก 2 สมัย และลงเล่นรวม 14 นัด

หลังจากเลิกเล่นในปี 2017 เขาก็เริ่มอาชีพโค้ชกับคาซ่าเปีย ในปี 2018 ก่อนที่จะลาออกในปีเดียวกัน ท่ามกลางข้อพิพาทกับสหพันธ์ฟุตบอลโปรตุเกส (FPF) เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าโค้ชให้กับทีมบรากา บี ก่อนที่จะรับหน้าที่คุมทีมชุดใหญ่ ในเดือนธันวาคม 2019 และคว้าแชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2019–20

ในเดือนมีนาคม 2020 อามอริมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมสปอร์ติงลิสบอน ด้วยค่าตัวมูลค่า 10 ล้านยูโร  (8.65 ล้านปอนด์) กลายเป็นผู้จัดการทีมที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ เขาพาสโมสรคว้าแชมป์ได้ทั้งลีกคัพ และปรีไมราลีกา เป็นการยุติการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดมานานถึง 19 ปีของลิสบอน ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้จัดการทีมแห่งปีของปรีไมราลีกา ประจำฤดูกาล 2020–21 ต่อมาเขาพาทีมคว้าแชมป์ปรีไมราลีกาอีกครั้งในฤดูกาล 2023–24

ระดับสโมสร

[แก้]

เบเลเนนส์

[แก้]

อโมริมเกิดในลิสบอน เขาลงประเดิมสนามในปรีไมราลีกา เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2003 โดยลงเล่นหนึ่งนาทีให้กับเบเลเนนส์ สโมสรในบ้านเกิดของเขาในนัดที่เปิดบ้านชนะอัลแวร์กา 2–0[3] ตั้งแต่ฤดูกาล 2005–06 เป็นต้นมา เขาได้กลายเป็นผู้เล่นตัวจริงของทีม

ในฤดูกาล 2007–08 อามอริมลงสนามเป็นตัวจริง 28 จากทั้งหมด 29 นัดในลีก (ลงเล่น 2,491 นาที) และช่วยให้ทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 8

ไบฟีกา

[แก้]

ในช่วงปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 2008 อโมริมได้เซ็นสัญญาระยะเวลาสี่ปีกับไบฟีกาหลังจากสัญญาของเขากับเบเลเนนส์หมดลง[4] ในช่วงฤดูกาลแรก เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ โดยยิงประตูแรกได้เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ในเกมเยือนที่เอาชนะ Académica de Coimbra 2–0[5]

อย่างไรก็ตามการเข้ามาของผู้เล่นใหม่อย่างฆาบิ การ์ซิอา และรามีริส ทำให้อโมริมลงเล่นน้อยลงในฤดูกาล 2009–10 แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ลีกและลีกคัพ หลังจากที่ไม่ได้ลงสนามมานานห้าปี เมื่อมีสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์ เขาก็ได้กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งโดยผู้จัดการทีมฌอร์ฌึ ฌึซุช ในฤดูกาล 2010–11 อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2011 หลังจากเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าทั้งสองข้าง เขาก็ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลาหลายเดือน[6]

ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 2011 ขณะรับใช้ทีมชาติ อโมริมออกมาวิจารณ์ฌีซุซว่าไบฟีกาลงเล่นเกมส่วนใหญ่โดยไม่มีผู้เล่นโปรตุเกสแม้แต่คนเดียว[7] ในเดือนธันวาคม เขาปฏิเสธที่จะฝึกซ้อมกับผู้เล่นสำรอง – หลังจากวอร์มอัพเป็นเวลาหลายนาทีแต่ก็ไม่ได้ลงเล่น – หลังจากเกมกับริโออาฟเขาถูกดำเนินการทางวินัยโดยสโมสร[8][9] เมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2012 ได้มีการทำสัญญายืมตัวไปบรากาจนถึงเดือนมิถุนายนของปีถัดมา[10]

ในฤดูกาล 2013–14 อโมริมกลับมาที่อิชตาดียูดาลุช และลงเล่น 37 นัดในทุกรายการ ช่วยให้ทีมคว้าทริปเปิลแชมป์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในลีก เอฟเอคัพ และลีกคัพ[11] ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลถัดมา เขาได้ลงเล่นครบ 120 นาทีช่วยให้ทีมเอาชนะริโออาฟในซูเปอร์ตาซ่า คานดิโด เดอ โอลิเวร่า ส่งผลให้ทีมคว้าแชมป์ไปได้เป็นสมัยที่ 4 ในปี 2014[12] อย่างไรก็ตามในวันที่ 24 สิงหาคม เขาได้รับบาดเจ็บหนักขณะลงเล่นบนสนามหญ้าเทียมของเบาวิสตา[13] โดยในวันถัดมามีข่าวว่าเขาได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้า[14] เขาต้องพักรักษาตัวจนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เมื่อเขาลงเล่นเป็นตัวสำรอง ในเกมที่ทีมเปิดบ้านเอาชนะวิตอเรีย เด เซตูบัล 3–0 ในรอบรองชนะเลิศของลีกคัพ[15][16]

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2015 อโมริมได้ย้ายไปร่วมทีมอัล-วาคราห์ ในกาตาร์ด้วยสัญญายืมตัวระยะเวลา 1 ฤดูกาล[17] เมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2017 หลังจากที่ไม่ได้ลงเล่นมานานกว่าหนึ่งปี อาทิริมในวัยเพียง 32 ปีก็ได้ยกเลิกสัญญากับไบฟีกาและเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการ[18]

ระดับทีมชาติ

[แก้]
อามอริมเล่นให้กับโปรตุเกส ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013

อโมริมลงเล่นให้กับโปรตุเกส ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี 2007 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ จากนั้นทีมชาติโปรตุเกสก็พ่ายแพ้ให้กับอิตาลี ในการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปีถัดมา ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 23 ผู้เล่นชุดใหญ่สำหรับฟุตบอลโลก 2010[19][20] เขาก็มีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้เล่นสำรอง 6 คน[21] ในวันที่ 8 มิถุนายน เขาเข้ามาแทนที่นานีของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหลังจากได้รับบาดเจ็บที่กระดูกไหปลาร้า ซึ่งทำให้พลาดการแข่งขันรอบสุดท้ายที่แอฟริกาใต้[22] เขาลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในวันที่ 15 โดยลงเล่นในช่วงห้านาทีสุดท้ายของเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดเปิดสนามเจอกับไอวอรีโคสต์ (0–0) แทนที่ราอุล ไมแรลึช[23]

นอกจากนี้ อโมริมยังได้รับการเลือกจากเปาลู เบ็งตู ผู้จัดการทีมคนใหม่สำหรับฟุตบอลโลกปี 2014 อีกด้วย[24] เขาลงประเดิมสนามในทัวร์นาเมนต์ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายกับกานา โดยลงเล่นครบ 90 นาทีในเกมที่ชนะ 2–1 แต่ทีมของเขาตกรอบเพราะผลต่างประตูได้เสีย[25]

รูปแบบการเล่น

[แก้]

รูปแบบการเล่นของอโมริมคล้ายกับเพื่อนร่วมชาติอย่างตีอาโก โดยทั้งคู่เล่นตำแหน่งเดียวกันในตำแหน่งกองกลางตัวกลาง ทั้งเกมรับและเกมรุก เขาเล่นเป็นแบ็กขวา หรือปีกได้[26][27]

อาชีพผู้ฝึกสอน

[แก้]

อาชีพในช่วงเริ่มต้น

[แก้]

ไม่นานหลังจากเลิกเล่น อามอริมก็เข้าร่วมสมาคมฟุตบอลลิสบอนเพื่อรับใบอนุญาตเป็นผู้ฝึกสอน นอกจากนี้ เขายังเข้าเรียนหลักสูตรบัณฑิตศึกษา ในสาขาการศึกษาจิตพลศาสตร์และฝึกงานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายใต้การดูแลของโชเซ มูรีนโย ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในขณะนั้น[28][29]

อามอริมเริ่มทำงานเป็นผู้จัดการในฤดูกาล 2018–19 กับทีม Casa Pia ในดิวิชันสาม[30][31] หลังจากที่แพ้สองเกมแรก เขาจึงประกาศว่าถ้าแพ้เกมที่สามเขาจะลาออก ในการแข่งขันนัดถัดมา เขาเปลี่ยนระบบการเล่นและเล่นระบบหลังสามเป็นครั้งแรก ด้วยระบบใหม่นี้ทำให้ Casa Pia สามารถเดินหน้าสร้างผลงานไร้พ่ายได้ เขายังรู้สึกว่าเขาพบรูปแบบที่ทำให้เขาสามารถจัดการให้ทีมเล่นฟุตบอลตามที่เขาต้องการได้[32] ในเดือนมกราคม 2019 ทีมถูกหัก 6 แต้ม และเขาถูกห้ามคุมทีมเป็นเวลา 1 ปี หลังจากคุมทีมระหว่างการแข่งขันโดยที่ไม่มีใบอนุญาตผู้ฝึกสอน[33] แม้ว่าการแบนจะถูกยกเลิกในเวลาไม่นานหลังจากนั้น[34] แต่เขาก็ยื่นใบลาออกในเวลาต่อมา[35]

ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019 อามอริมตกลงที่จะกลับมาที่ไบฟีกาในฐานะผู้ฝึกสอนรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี[36] อย่างไรก็ตาม ในเดือนถัดมา หลังจากการประชุมที่สโมสร เขาลาออกจากงานนั้น[37]

บรากา

[แก้]

ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2019 อามอริมได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมสำรองของบรากาในลีกดิวิชัน 3 โดยชนะ 7 จาก 8 เกมที่คุมทีม[38] สามเดือนต่อมา เขาเข้ามาแทนที่รีการ์ดู ซา ปิงตูที่ถูกปลดออกโดยเข้ามาคุมทีมชุดใหญ่ด้วยสัญญาสองปีครึ่ง ขณะที่ มินโฮโตส อยู่อันดับที่ 8 ของลีกในช่วงเวลาที่เขาเข้ารับตำแหน่ง[39]

ในเกมแรกที่เขาคุมทีมเมื่อวันที่ 4 มกราคม เขาพาทีมเอาชนะ B SAD ไปได้ 7–1[40] และสามสัปดาห์ต่อมาก็คว้าแชมป์ลีกคัพในการเจอกับโปร์ตูจากประตูชัยในนาทีสุดท้ายของรีการ์ดู ออร์ตา ซึ่งเป็นแชมป์แรกของบรากาในรอบ 4 ปี[41] ในปรีไมราลีกาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ อามอริมพาบรากาเก็บชัยชนะในเกมเยือนไบฟีกาครั้งแรกในรอบ 65 ปี โดยฌูเวา ปัลยีญาทำประตูเดียวของเกม[42] เขาเสียแต้มแรกในลีกหลังจากบรากาเสมอกับกิล วิเซนเต้ 2–2 ในบ้าน[43] ในช่วงเวลานี้ เขาเก็บชัยชนะได้ 10 จาก 13 นัด โดยบรากาอยู่อันดับที่ 3 ของลีก เขาพาสโมสรแพ้เพียง 2 นัด ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2019–20 ที่พบกับเรนเจอส์โดยแพ้ 3–2 ในเลกแรกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ และแพ้ 0–1 ในเลกที่สองที่บ้านในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา[44]

สปอร์ติงลิสบอน

[แก้]

ฤดูกาล 2019–20: ฤดูกาลเปิดตัว

[แก้]

อามอริมเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมสปอร์ติงลิสบอนเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2020 หลังจากการปลดซิลาสโดยเซ็นสัญญาจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2023 พร้อมรับเงิน 20 ล้านยูโร [45] แม้จะมีประสบการณ์ในลีกสูงสุดเพียงสองเดือน แต่สปอร์ติงได้รับเงินเพียง 10 ล้านยูโร  สำหรับค่าตัวของเขาซึ่งเป็นค่าตัวย้ายทีมที่สูงเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์สำหรับผู้จัดการทีม[46]

ในเกมแรกที่เขาคุมทีมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม เขาพาทีมคว้าชัยชนะในบ้าน 2–0 เหนือ Desportivo das Aves [47] ในเกมที่เหลือที่เขารับช่วงต่อ อามอริมชนะไป 6 และเสมอ 3 นัด แต่แพ้ให้กับไบฟีกาใน แดร์บีดึลิชบัว และโปร์ตูในช่วงปลายฤดูกาล โดยนำสปอร์ติงจบอันดับที่ 4 และผ่านเข้ารอบคัดเลือกรอบสามของยูโรปาลีก[48] แม้ว่าพวกเขาจะจบฤดูกาลในลีกได้ แต่อามอริมก็สามารถสร้างเอกลักษณ์ที่สโมสรขาดหายไปได้สำเร็จ แม้ว่าจะมีบรรยากาศที่เป็นพิษที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นรอบ ๆ สโมสรตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2018 หลังจากกลุ่มผู้สนับสนุนสโมสรประมาณ 50 คนได้โจมตีผู้เล่นและเจ้าหน้าที่อย่างโหดร้ายในบริเวณสถานที่ฝึกซ้อมของสโมสร[49]

ฤดูกาล 2020–21: สปอร์ติงคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 19 ปี

[แก้]
ทีมสปอร์ติงลิสบอนในเดือนเมษายน 2021

ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะฤดูร้อน เฌเรมี มาตีเยอ เลิกเล่นหลังได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าระหว่างการฝึกซ้อมและถูกแทนที่โดยซูแฮร์ เฟดดัล[50] โรดริโก บัตทาญา, มิเกล หลุยส์, ลูเซียโน บิเอตโต, เวนเดล และมาร์โกส อากุญญา ออกจากสโมสร อันโตนิโอ อาดัน ผู้รักษาประตูมากประสบการณ์เข้ามาเป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งคนใหม่ โดยมีการเซ็นสัญญาอื่น ๆ รวมถึงนูนู ซังตุช, บรูโน ตาบาตา, เปโดร ปอร์โร, ฌูเวา มารียู และฌูเวา ปัลยีญา ที่กลับมาจากการยืมตัวที่บรากา เมื่อจบตลาดซื้อขาย สปอร์ติงได้เซ็นสัญญากับเปดรู กงซัลวึช ซึ่งทำผลงานได้น่าประทับใจกับฟามาลิเคาในฤดูกาลก่อน นอกจากการเซ็นสัญญากับผู้เล่นใหม่แล้ว อามอริมยังเลื่อน Daniel Bragança, กงซาลู อีนาซียู, มาเตวช์ นูนึช, นูนู เม็งดึช และ Tiago Tomás ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่[50]

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2021 อามอริมคว้าแชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน โดยเอาชนะสโมสรเก่าของเขาได้ทั้งเขาและคาร์ลอส คาร์วัลฮัล ผู้จัดการทีมบรากา ต่างถูกส่งตัวขึ้นอัฒจันทร์เนื่องจากมีปากเสียงกัน[51] ในวันที่ 4 มีนาคม เขาได้ต่อสัญญาออกไปอีก 1 ปี โดยมีค่าฉีกสัญญาที่ดีขึ้นเป็น 30  ล้านยูโร[52] หลังจากสร้างสถิติด้วยการไม่แพ้ใครติดต่อกัน 32 นัด รวมถึงชนะบัวอาวิสตา 1–0 ในบ้านเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม เขาพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี โดยเปดรู กงซัลวึชจบฤดูกาลในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดของลีกด้วยผลงาน 23 ประตูและมีผู้เล่นสปอร์ติง 6 คนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทีมแห่งปีของปรีไมราลีกา [53] สปอร์ติ้งแพ้เพียงนัดเดียวในฤดูกาลนี้ โดยแพ้ต่อคู่แข่งอย่างไบฟีกา 4–3 ในแดร์บีดึลิชบัว เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม[54] เมื่อจบฤดูกาล อามอริมได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเดือนของปรีไมราลีกาในเดือนเมษายน และผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของปรีไมราลีกา[55]

ฤดูกาล 2021–22: ผลงานในถ้วยยุโรปและการลุ้นตำแหน่งแชมป์

[แก้]
อามอริมในช่วงการฝึกซ้อมของสปอร์ติงลิสบอน ในปี 2021

ในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์ครั้งที่สองของเขา อามอริมได้ระบุถึงพื้นที่แนวรับที่จำเป็นต้องปรับปรุงสำหรับทีม โดยตัวเลือกของเขามีน้อยกว่าคู่แข่งในประเทศของสปอร์ติงส่งผลให้รีการ์ดู เอสไกโอกลับสู่สโมสร ขณะที่มานูเอล อูการ์เต กองกลาง และรูแบน วินาเกร กองหลังก็ได้รับการเซ็นสัญญาเข้ามาด้วยเช่นกัน หลังจากเป็นผู้รักษาประตูสำรองให้กับอันโตนิโอ อาดัน ลุยส์ แม็กซิมิอาโนถูกขายให้กับทีมกรานาดาในลาลิกาของสเปน ซึ่งนำไปสู่การเซ็นสัญญาชูเอา เวอร์จิเนียเข้าสู่ทีม[56][57] เมื่อจบตลาดซื้อขาย แบ็คซ้ายตัวจริงอย่างนูนู เม็งดึช ถูกปล่อยยืมตัวไปให้กับปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง โดยมีปาโบล ซาราเบีย ย้ายสลับมาเล่นให้กับสปอร์ติง[58]

อามอริมเริ่มต้นฤดูกาลที่สองของเขากับสปอร์ติงด้วยการคว้าแชมป์ Supertaça Cândido de Oliveira เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2021 ในเกมที่เอาชนะบรากาสโมสรเก่าของเขา 2–1[59] หลังจากแพ้สองเกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สปอร์ติงก็ชนะอีกสามเกมถัดมา โดยเกมสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พวกเขาเอาชนะโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ 3–1 ในบ้าน ช่วยให้สโมสรผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2008–09[60][61] ในวันที่ 28 พฤศจิกายน อามอริมกลายเป็นผู้จัดการทีมที่ชนะ 50 เกมในปรีไมราลีกาได้เร็วที่สุดหลังจากชนะทอนเดลา 2–0 ในบ้าน[62] เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม เขานำทีมไปคว้าชัยชนะครั้งแรกที่อิชตาดียูดาลุชในรอบหกปี หลังจากเอาชนะไบฟีกา 3–1 ในแดร์บีดึลิชบัว[63]

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2022 อามอริมคว้าแชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่สามติดต่อกันด้วยชัยชนะ 2–1 เหนือไบฟีกา[64] สปอร์ติงถูกแมนเชสเตอร์ซิตีเขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายของแชมเปียนส์ลีกด้วยสกอร์รวม 5–0 ตกรอบเอฟเอคัพโปรตุเกสในรอบรองชนะเลิศโดยแพ้ให้กับโปร์ตู[65] และจบฤดูกาลด้วยคะแนน 85 แต้มเช่นเดียวกับฤดูกาลก่อน แต่ตามหลังโปร์ตูถึง 6 แต้ม[66]

ฤดูกาล 2022–23: ความผิดหวังในถ้วยยุโรปและในประเทศ

[แก้]

ความสำเร็จของสปอร์ติงนั้นดึงดูดสโมสรระดับชั้นนำในยุโรปให้มาสนใจนักเตะของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในช่วงซัมเมอร์นี้ ผู้เล่นหลักอย่างฌูเวา ปัลยีญา และมาเตวช์ นูนึชก็ย้ายออกไปอยู่กับทีมในพรีเมียร์ลีกอย่างฟูลัม และวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ตามลำดับ และนูนู เม็งดึช ก็ย้ายไปอยู่กับปารีแซ็ง-แฌร์แม็งแบบถาวร หลังจากยืมตัวมาเป็นเวลา 1 ปี แต่อามอริมก็ปรับทีมได้ แม้ว่าจะเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้ยากลำบาก รวมถึงการเสมอกับบรากา 3–3 และแพ้ติดต่อกัน 2 นัดให้กับโปร์ตู (3–0) และชาวึช (2–0) โดยทีมรั้งอยู่ในอันดับที่ 13 ของตาราง[67][68] อ้างถึงการจากไปของทั้งนูนึชและปัลยีญา เขาอ้างว่า "เขาล้มเหลวในการวางแผน [ช่วงตลาดซื้อขายในช่วงซัมเมอร์] และต้องให้ความสนใจในตอนนี้ ในตลาดนี้ จำเป็นต้องแน่ใจว่า [สปอร์ติ้ง] จะไปในทิศทางใด ไม่ใช่คิดว่า [สปอร์ติ้ง] จะต้องบันทึกทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในแผนหนึ่งปีตอนนี้" [69]

ฟอร์มในลีกของพวกเขาก็ดี และในวันที่ 7 กันยายน สปอร์ติงก็คว้าชัยชนะในเยอรมนีได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โดยเอาชนะไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท แชมป์ยูโรปาลีกฤดูกาลที่ผ่านมา 3–0 ในรอบแบ่งกลุ่มนัดแรกของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2022–23[70] ตามมาด้วยชัยชนะเหนือทอตนัมฮอตสเปอร์ในบ้านในเกมนัดถัดมา[71] เกมนัดถัดมามีข้อผิดพลาดจากอันโตนิโอ อาดันและ Ricardo Esgaio ซึ่งทำให้พวกเขาแพ้ให้กับ มาร์แซย์ 4–1 และ 2–0 ตามลำดับ โดย Esgaio โดนโจมตีจากแฟนบอลสโมสรจำนวนมาก ซึ่งทำให้อามอริมออกมาปกป้องเขาโดยกล่าวว่า: "เขาไม่ใช่ผู้เล่นคนโปรดของแฟน ๆ แต่เขาเป็นผู้เล่นคนหนึ่งของผม ตราบใดที่ผมยังอยู่ที่นี่ ผมจะปกป้องเขาให้มากที่สุด เขาจะไม่มีวันถูกผู้จัดการทีมทอดทิ้ง และตราบใดที่ผมยังอยู่ที่นี่ คุณก็ทำอะไรกับ Esgaio ไม่ได้" [72][73] ความพ่ายแพ้ทั้ง 2 นัดนั้นตามมาด้วยการตกรอบ 3 ของ Taça de Portugal อย่างเหนือความคาดหมายให้กับ Varzim ซึ่งเป็นทีมจากลีกา 3 หลังจากแพ้ไปอย่างหวุดหวิด 1–0[74] หลังจากที่แพ้ 2–1 ในบ้านให้กับไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ทเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน สปอร์ติงก็จบอันดับที่ 3 ในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งทำให้พวกเขาตกลงไปเล่นรอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่ายูโรปาลีก[75]

แม้ว่าในลีกผลงานจะไม่ดีแต่อามอริมก็พาสปอร์ติงเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพเป็นครั้งที่สามติดต่อกันและครั้งที่สี่ติดต่อกันของอามอริม โดยแพ้โปร์ตูซึ่งคว้าแชมป์นี้เป็นสมัยแรก 2–0 ที่เมืองไลรีอา[76] ไม่นานหลังจากนั้น สโมสรยังได้ประกาศข่าวการย้ายทีมของเปโดร ปอร์โรไปยังทอตนัมฮอตสเปอร์ในวันที่ 31 มกราคม 2023 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของช่วงตลาดซื้อขายนักเตะฤดูหนาว[77] ในยูโรปาลีก อามอริมพาสปอร์ติงเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศหลังจากชนะจุดโทษเหนืออาร์เซนอล ซึ่งเป็นเต็งหนึ่งได้อย่างเหนือความคาดหมาย หลังจากเสมอด้วยสกอร์รวม 3–3 ที่ลอนดอน[78] พวกเขาตกรอบในรอบรองชนะเลิศ หลังจากแพ้ให้กับยูเวนตุสด้วยสกอร์รวม 2–1 ในบ้าน[79] หลังจากเสมอกับไบฟีกา 2–2 ในบ้านในปรีไมราลีกา แม้จะนำไปก่อน 2-0 ในครึ่งแรกทำให้สปอร์ติงพลาดโควตาแชมเปียนส์ลีก และได้สิทธิ์ไปเล่นยูโรปาลีกแทนหลังจบอันดับ 4 หลังจากล้มเหลวในการผ่านเข้ารอบแชมเปียนส์ลีก เขายอมรับว่าตำแหน่งของเขามีความเสี่ยง แม้ว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประธานสโมสรซึ่งยกย่องให้เขาเป็น "หนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดในโลก" โดยอ้างถึงการวางแผนฤดูกาลที่ไม่ดี โดยเฉพาะการเสียมาเตวช์ นูนึชไปให้กับวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เป้าหมายของทีมล้มเหลว[80]

ฤดูกาล 2023–24: แชมป์ลีกสมัยที่สอง

[แก้]

ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ปี 2023 สปอร์ติงได้ทำลายสถิติการซื้อขายนักเตะของสโมสรด้วยการเซ็นสัญญากับวิคตอร์ ยอเกเรสกองหน้าของคอเวนทรีซิตีด้วยค่าตัว 20 ล้านยูโร [81][82] เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม สปอร์ติงเปิดตัวฤดูกาล 2023–24 ด้วยชัยชนะ 3–2 ในลีกที่บ้านต่อวิเซล่า โดยยอเกเรสที่มีค่าตัวเป็นสถิติของสปอร์ติงทำได้สองประตู[83] ทีมของอามอริมแพ้ให้กับไบฟีกาในศึกแดร์บีดึลิชบัวด้วยประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บสองลูกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน หลังจากที่สปอร์ติงขึ้นนำ 1–0 ในช่วงพักครึ่งจากประตูของวิคตอร์ ยอเกเรส แม้ว่าทีมเยือนจะเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนเกือบตลอดทั้งครึ่งหลังก็ตาม[84][85] แต่ในวันที่ 18 ธันวาคม สปอร์ติงของอาโมริมเอาชนะโปร์ตูที่สนามกีฬาฌูแซ อัลวาลาดึ ด้วยสกอร์ 2–0 โดยได้ประตูจากยอเกเรส และเปดรู กงซัลวึช สิ้นสุดการไร้ชัยชนะแปดเกมติดต่อกันของสปอร์ติงกับโปร์ตูในปรีไมราลีกา[86] ชัยชนะครั้งนี้ยังส่งผลให้สปอร์ติงแซงหน้าคู่แข่งอย่างไบฟีกาขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกด้วย[87]

อามอริมพาสปอร์ติงคว้าชัยชนะในปรีไมราลีกาด้วยสกอร์ห่างมากที่สุดตั้งแต่ปี 2018 หลังจากถล่ม คาซ่า เปีย 8–0 ซึ่งเป็นชัยชนะนัดที่สองของฤดูกาล โดยเป็นสกอร์เดียวกันกับที่ยิงใส่ดูมิเอนเซ่ในตาซาดึปูร์ตูกัลในช่วงต้นฤดูกาล[88] ในช่วงหลายเดือนต่อมา อามอริมตกเป็นข่าวอย่างหนักว่าจะเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสรลิเวอร์พูลต่อจากเยือร์เกิน คล็อพ ผู้จัดการทีมที่ทำหน้าที่มายาวนาน และเมื่อชาบี อาลอนโซ อดีตนักเตะขวัญใจของลิเวอร์พูลประกาศว่าเขาจะอยู่กับไบเออร์ เลเวอร์คูเซนต่อไป ทำให้อาทิริมได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน[89][90][91] ในวันที่ 2 เมษายน 2024 อามอริมนำสปอร์ติงเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของ Taça de Portugal โดยเสมอกับไบฟีกา 2–2 ส่งผลให้ชนะด้วยสกอร์รวม 4–3 และสปอร์ติงสามารถเอาชนะในบ้านด้วยสกอร์ 2–1 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในลีกในอีกสี่วันต่อมา ทำให้พวกเขายังเป็นจ่าฝูงต่อไป[92]

ไม่นานหลังจากนั้น อามอริมก็เดินทางไปลอนดอนเพื่อเจรจากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ดเพื่อเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่ในฤดูกาลหน้า แทนที่เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันที่เตรียมจะลาออก อย่างไรก็ตาม อามอริมปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว และก่อนเกมลีกที่สำคัญกับโปร์ตู เขาได้ออกมาขอโทษต่อสาธารณชนสำหรับการเดินทางดังกล่าวโดยถือว่าเป็นความผิดพลาดและเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม การแข่งขันกับโปร์ตูเมื่อวันที่ 29 เมษายน จบลงด้วยผลเสมอ 2–2 โดยสปอร์ติงตามหลัง 2 ประตูในครึ่งแรก และวิคเตอร์ ยอเกเรส ยิงได้ 2 ประตูในนาทีที่ 87 และ 88[93] เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม สปอร์ติงลิสบอนสามารถคว้าแชมป์ปรีไมราลีกาสมัยที่ 20 ได้สำเร็จทางทฤษฎี และแชมป์สมัยที่สองภายใต้การคุมทีมของอามอริม หลังจากที่ไบฟีกาพ่ายต่อฟามาลิเกา[94] หลังจากนั้น ในระหว่างการฉลองแชมป์ของสโมสร อามอริมยืนยันว่าเขาจะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมสปอร์ติงต่อไปในฤดูกาลหน้า[93] ใน Taça de Portugal รอบชิงชนะเลิศเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม สปอร์ติงพ่ายโปร์ตู 2–1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ[95]

ฤดูกาล 2024–25: ฤดูกาลสุดท้ายกับลิสบอน

[แก้]

อามอริมได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นเล็กน้อยสำหรับฤดูกาลใหม่โดยให้ทีมของเขาครองบอลได้มากกว่าและเน้นการกดดันสูงเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับรูปแบบซึ่งใช้ในฤดูกาลก่อน ๆ[96] ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์กัปตันทีมอย่างเซบัสเตียน โกอาเตสก็ได้ออกจากทีมไป โดยสปอร์ติงได้เซ็นสัญญากับเซโน เดอบัสต์ ปราการหลังตัวกลางเพื่อมาแทนที่เขา นอกจากนี้ อาโมริมยังได้เลื่อนเยโอวานี เควนดา ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่โดยให้เขาเล่นในตำแหน่งแบ็กขวา แม้ว่าเขาจะเป็นปีกขวาโดยธรรมชาติก็ตาม และมอร์เติน ยูลแมน ก็ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ด้วยเช่นกัน สปอร์ติงยังได้นำคอนราด ฮาร์เดอร์ เข้ามาเพื่อพัฒนาฝีเท้าภายใต้การคุมทีมของอามอริม และทำหน้าที่เป็นกองหน้าสำรองให้กับวิกเตอร์ ยอเกเรส[97][98][99]

ในเกมแรกของฤดูกาลใหม่ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม สปอร์ติงพ่ายให้กับโปร์ตูด้วยสกอร์ 4–3 ใน ซูเปอร์ตาซ่า คานดิโด เด โอลิเวียรา 2024 แม้ว่าทีมจะนำอยู่สามประตูก็ตาม[100] หลังจากนั้น เขาเก็บชัยชนะได้ถึง 9 เกมในปรีไมราลีกา โดยที่สปอร์ติงยังเป็นผู้นำในเรื่องจำนวนประตูที่ทำได้มากที่สุดและเสียประตูน้อยที่สุดอีกด้วย[101] ในแชมเปียนส์ลีก สปอร์ติงเริ่มต้นเส้นทางด้วยการไม่แพ้ใคร โดยชนะ 2 นัดและเสมอ 1 นัด[102] ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้รับการกล่าวถึงว่าอาจเข้ามาแทนที่แป็ป กวาร์ดิออลาที่แมนเชสเตอร์ซิตี เมื่อฮูโก วิอานา ผู้อำนวยการกีฬาของสปอร์ติง เข้ามาแทนที่ซิกิ เบกิริสไตน์ในตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาของซิตี[96][103]

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

[แก้]

ในวันที่ 29 ตุลาคม หลังจากการปลดเอริก เติน ฮัค ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดออกจากตำแหน่ง สปอร์ติงยืนยันว่าทีมปีศาจแดงเตรียมที่จะจ่ายเงินค่าฉีกสัญญา 10 ล้านยูโรให้กับอามอริม  หลังจากพาสปอร์ติงเอาชนะนาซิอองนาล 3–1 ใน รอบก่อนรองชนะเลิศของตาซา ดา ลีกา[104] เขาได้กล่าวถึงความสนใจของยูไนเต็ดโดยกล่าวว่า "มันเป็นการเจรจาระหว่างสองสโมสร มันไม่เคยง่ายเลย แม้จะมีเงื่อนไข [ปล่อยตัว] พวกเขาต้องคุยกัน เราจะได้รับความชัดเจนหลังเกม [กับ เอสเตรลา ดา อมาโดรา ] มันจะชัดเจน ดังนั้นมันเหลืออีกวันเดียว และหลังเกมในวันพรุ่งนี้ เราจะมีการตัดสินใจ" [105][106]

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประกาศว่าพวกเขาได้แต่งตั้งอามอริมด้วยสัญญาที่มีผลจนถึงปี 2027 และเขาจะเริ่มงานที่สโมสรในวันที่ 11 พฤศจิกายน[107][108]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 "2014 FIFA World Cup Brazil: List of Players: Portugal" (PDF). Fédération Internationale de Football Association (FIFA). 14 July 2014. p. 27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 February 2020.
  2. "Rúben Amorim". worldfootball.net (ภาษาอังกฤษ). 2021-03-04. สืบค้นเมื่อ 2024-09-06.
  3. "Belenenses frente ao Alverca" [Belenenses against Alverca]. Record (ภาษาโปรตุเกส). 15 December 2003. สืบค้นเมื่อ 8 January 2018.
  4. "Ruben Amorim. Ai Jesus que lá vou eu" [Ruben Amorim. Oh Jesus here I go]. i (ภาษาโปรตุเกส). 29 December 2011. สืบค้นเมื่อ 8 January 2018.
  5. "Benfica vence (0–2) a Académica" [Benfica beat (0–2) Académica]. Jornal de Notícias (ภาษาโปรตุเกส). 23 November 2008. สืบค้นเมื่อ 8 January 2018.
  6. "Knee surgery robs Benfica of Rúben Amorim". UEFA. 19 January 2011. สืบค้นเมื่อ 24 April 2011.
  7. "Ruben Amorim: "Fico feliz por Paulo Bento não pensar como Jesus"" [Ruben Amorim: "I'm happy Paulo Bento does not think as Jesus"]. Record (ภาษาโปรตุเกส). 3 October 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-12. สืบค้นเมื่อ 29 January 2018.
  8. "Benfica: Ruben Amorim é caso disciplinar" [Benfica: Ruben Amorim a disciplinary case] (ภาษาโปรตุเกส). Maisfutebol. 28 December 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-30. สืบค้นเมื่อ 4 January 2012.
  9. "Benfica. Rúben Amorim de novo ausente do treino depois de incidente disciplinar" [Benfica. Rúben Amorim again absent from training following disciplinary incident]. i (ภาษาโปรตุเกส). 28 December 2011. สืบค้นเมื่อ 4 January 2012.
  10. "Yannick Djalo signs for Benfica". PortuGOAL. 31 January 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-11. สืบค้นเมื่อ 5 February 2012.
  11. "Benfica lift cup to seal historic treble". UEFA. 18 May 2014. สืบค้นเมื่อ 23 February 2015.
  12. "Benfica vence SuperTaça nos penalties" [Benfica win SuperCup on penalties] (ภาษาโปรตุเกส). UEFA. 11 August 2014. สืบค้นเมื่อ 2 January 2016.
  13. Alvarenga, Vítor Hugo; Cunha, Pedro Jorge (24 August 2014). "Benfica: Ruben Amorim com entorse no joelho direito" [Benfica: Ruben Amorim with right knee sprain] (ภาษาโปรตุเกส). Maisfutebol. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-30. สืบค้นเมื่อ 23 February 2015.
  14. "Ruben Amorim com rotura total do ligamento cruzado" [Ruben Amorim with total rupture of the anterior cruciate ligament]. Observador (ภาษาโปรตุเกส). 25 August 2014. สืบค้นเมื่อ 23 February 2015.
  15. "Benfica e V. Setúbal pensam na final da Taça da Liga" [Benfica and V. Setúbal thinking of League Cup final] (ภาษาโปรตุเกส). Rádio e Televisão de Portugal. 10 February 2015. สืบค้นเมื่อ 2 January 2016.
  16. "Benfica vence Vitória de Setúbal e garante final da Taça da Liga" [Benfica defeat Vitória de Setúbal and confirm League Cup final] (ภาษาโปรตุเกส). TSF. 11 February 2015. สืบค้นเมื่อ 2 January 2016.
  17. "Ruben Amorim emprestado ao Al-Wakrah" [Rúben Amorim on loan to Al-Wakrah] (ภาษาโปรตุเกส). S.L. Benfica. 14 August 2015. สืบค้นเมื่อ 15 August 2015.
  18. Sanches, João (4 April 2017). "Rúben Amorim rescinde com o Benfica e coloca ponto final na carreira" [Rúben Amorim rescinds with Benfica and ends career]. O Jogo (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 5 April 2017.
  19. "Convocados revelados" [Squad revealed] (ภาษาโปรตุเกส). Portuguese Football Federation. 10 May 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2011. สืบค้นเมื่อ 11 May 2010.
  20. "Pepe in Portugal squad". FIFA. 10 May 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2010. สืบค้นเมื่อ 11 May 2010.
  21. "Release list of up to 30 players" (PDF). FIFA. 13 May 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 1 June 2010. สืบค้นเมื่อ 14 May 2010.
  22. "World Cup 2010: Portugal's Nani out of World Cup". BBC Sport. 8 June 2010. สืบค้นเมื่อ 8 June 2010.
  23. "Ivory Coast outplays Portugal, but earns scoreless draw in opener". ESPN Soccernet. 15 June 2010. สืบค้นเมื่อ 25 April 2014.
  24. "Portugal World Cup 2014 squad". The Daily Telegraph. 2 June 2014. สืบค้นเมื่อ 26 June 2014.
  25. "2014 FIFA World Cup Brazil™: Portugal-Ghana - FIFA.com". web.archive.org. 2014-06-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-06-28. สืบค้นเมื่อ 2024-10-30.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  26. ""Rúben Amorim não é o substituto ideal de Matic"" ["Rúben Amorim is not Matic's ideal replacement"] (ภาษาโปรตุเกส). Rádio Renascença. 27 January 2014. สืบค้นเมื่อ 5 April 2017.
  27. "Perfil: Ruben Amorim" [Profile: Ruben Amorim] (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). Diário de Notícias. 8 June 2010. สืบค้นเมื่อ 25 November 2023.
  28. Martin, Richard (29 October 2024). "Why Man Utd want Ruben Amorim: The 'poet' who had an internship with Jose Mourinho and turned Portuguese football on its head can give Red Devils the shake-up they need". Goal.com.
  29. Cabral, Mariana (18 November 2017). "Ruben Amorim: "Assinei pelo Benfica com o coração. Naquela altura, ia ganhar mais num clube alemão do que alguma vez ganhei no Benfica"" [Ruben Amorim: "I signed for Benfica with my heart. At that time, I was going to earn more at a German club than more I ever did at Benfica"]. Expresso (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 29 January 2018.
  30. "Campeonato de Portugal: um mercado cheio de novidades" [Portuguese Championship: a market full of novelties]. O Jogo (ภาษาโปรตุเกส). 10 July 2018. สืบค้นเมื่อ 10 December 2018.
  31. "Rúben Dias foi ver o irmão jogar sob as ordens do ex-benfiquista Ruben Amorim" [Rúben Dias went to see his brother play under former Benfica man Ruben Amorim]. Record (ภาษาโปรตุเกส). 21 October 2018. สืบค้นเมื่อ 10 December 2018.
  32. Cryer, Andy (29 October 2024). "A student of Mourinho - is 'crowd pleaser' Amorim right for Man Utd?". BBC.
  33. Ferreira, Luís Pedro (13 January 2019). "Casa Pia perde seis pontos por Rúben Amorim dar indicações" [Casa Pia lose six pontos after Rúben Amorim gave instructions] (ภาษาโปรตุเกส). Maisfutebol. สืบค้นเมื่อ 22 January 2019.
  34. "TAD decreta suspensão dos castigos a Casa Pia e Rúben Amorim" [CAS decrees suspensions of bans on Casa Pia and Rúben Amorim] (ภาษาโปรตุเกส). Maisfutebol. 18 January 2019. สืบค้นเมื่อ 22 January 2019.
  35. "Rúben Amorim demite-se de treinador do Casa Pia na sequência de castigos da FPF" [Rúben Amorim resigns as manager of Casa Pia in the aftermath of PFF bans] (ภาษาโปรตุเกส). Sábado. 22 January 2019. สืบค้นเมื่อ 22 January 2019.
  36. "Rúben Amorim de regresso ao Benfica para treinar os sub-23" [Rúben Amorim returns to Benfica to coach the under-23s]. Diário de Notícias (ภาษาโปรตุเกส). 20 May 2019. สืบค้นเมื่อ 22 May 2019.
  37. "Reunião com Rúben Amorim teve desfecho inesperado" [Meeting with Rúben Amorim had unexpected outcome]. A Bola (ภาษาโปรตุเกส). 19 June 2019. สืบค้นเมื่อ 19 June 2019.
  38. "OFICIAL: Rúben Amorim é o treinador do Sp. Braga B" [OFFICIAL: Rúben Amorim is the manager of Sp. Braga B] (ภาษาโปรตุเกส). Maisfutebol. 16 September 2019. สืบค้นเมื่อ 30 September 2019.
  39. "Rúben Amorim substitui Sá Pinto como treinador do Sporting de Braga" [Rúben Amorim replaces Sá Pinto as manager of Sporting de Braga]. Jornal de Notícias (ภาษาโปรตุเกส). 23 December 2019. สืบค้นเมื่อ 23 December 2019.
  40. "Sporting de Braga esmaga Belenenses SAD em estreia de sonho para Rúben Amorim" [Sporting de Braga crush Belenenses SAD in dream debut for Rúben Amorim] (ภาษาโปรตุเกส). TSF. 4 January 2020. สืบค้นเมื่อ 6 January 2020.
  41. Cole, Richard (25 January 2020). "Late Ricardo Horta strike wins the Taça da Liga for Braga". PortuGOAL. สืบค้นเมื่อ 27 January 2020.
  42. "Golo de João Palhinha quebra jejum de 65 anos frente ao Benfica" [João Palhinha goal breaks 65-year fast against Benfica]. Jornal de Notícias (ภาษาโปรตุเกส). 15 February 2020. สืบค้นเมื่อ 15 September 2020.
  43. "Liga NOS - Jornada 20 - SC Braga vs Gil Vicente FC".
  44. "Alma do Rangers vira jogo e quebra invencibilidade do Braga" [Rangers' soul turns game around and breaks Braga's invincibility]. Diário de Notícias (ภาษาโปรตุเกส). 20 February 2020.
  45. Krithinas, Sérgio; Almeida Gonçalves, Vítor; Pinto, Vítor (4 March 2020). "Rúben Amorim no Sporting até 2023" [Rúben Amorim in Sporting until 2023]. Record (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 5 March 2020.
  46. "Rúben Amorim é o 3.º técnico mais caro do mundo, ficando atrás de outro português" [Rúben Amorim is the 3rd most expensive manager in the world, behind another Portuguese] (ภาษาโปรตุเกส). SAPO. 5 March 2020. สืบค้นเมื่อ 9 December 2020.
  47. "Rúben Amorim após estreia no Sporting: jogo "estranho", a mais-valia de Wendel e elogios a Chico" [Rúben Amorim after his debut at Sporting: "strange" game, Wendel's added value and praise for Chico]. Record (ภาษาโปรตุเกส). 8 March 2020. สืบค้นเมื่อ 8 March 2020.
  48. "Sporting acaba em quarto lugar após derrota com Benfica". SOL. 26 July 2020. สืบค้นเมื่อ 26 July 2020.
  49. "Ruben Amorim: Sporting's saviour". Marca. 11 May 2021. สืบค้นเมื่อ 11 May 2021.
  50. 50.0 50.1 "Tactical Analysis: Rúben Amorim's Sporting". Breaking the Lines. 9 April 2021. สืบค้นเมื่อ 9 April 2021.
  51. Ribeiro, Patrick (23 January 2021). "Sporting battle their way to League Cup glory with victory over Braga". PortuGOAL. สืบค้นเมื่อ 24 January 2021.
  52. "Rúben Amorim renews contract with Sporting until June 2024". Jornal Económico. 4 March 2021. สืบค้นเมื่อ 8 March 2021.
  53. "Sporting é campeão de Portugal ao fim de 19 anos" [Sporting are champions of Portugal after 19 years] (ภาษาโปรตุเกส). UEFA. 11 May 2021. สืบค้นเมื่อ 11 May 2021.
  54. Fernandes, Mariana. "Benfica wins Sporting Clube de Portugal and forces Lions to their first defeat in the Championship (4-3) - how it happened". Observer (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 16 May 2021.[ลิงก์เสีย]
  55. "João Palhinha, do Sporting, no melhor onze da última edição da I Liga" [João Palhinha, of Sporting, in the All-Star XI of I League's last edition] (ภาษาโปรตุเกส). TSF. 8 June 2021. สืบค้นเมื่อ 19 October 2021.
  56. Cejudo, José Ignacio (15 August 2021). "El Granada ata el fichaje de Luís Maximiano, ya en la ciudad" [Granada complete signing of Luís Maximiano, already in the city]. Ideal (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 17 August 2021.
  57. "João Virgínia joins Sporting CP on loan". Sporting CP. 25 August 2021. สืบค้นเมื่อ 1 September 2021.
  58. "Pablo Sarabia é leão" [Pablo Sarabia is a lion] (ภาษาโปรตุเกส). Sporting CP. 1 September 2021. สืบค้นเมื่อ 1 September 2021.
  59. "Sporting vence Braga de virada e conquista Supertaça de Portugal" [Sporting beat Braga with comeback and win Portuguese Supercup] (ภาษาโปรตุเกส). Globo Esporte. 31 July 2021. สืบค้นเมื่อ 21 October 2021.
  60. "Sporting beats Besiktas again and fights for the second spot in Group C" (ภาษาโปรตุเกส). Globo. สืบค้นเมื่อ 4 November 2011.
  61. Vasa, Marco (24 November 2021). "Sporting aprendeu a ser feliz na Champions" [Sporting learned to be happy in the Champions League]. Público (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 24 November 2021.
  62. "Rúben Amorim atinge triunfo 50 na Liga" [Rúben Amorim reaches 50th triumph in Liga]. Record (ภาษาโปรตุเกส). 28 November 2021. สืบค้นเมื่อ 28 November 2021.
  63. Fernandes, Mariana (4 December 2021). "Ao fim de seis anos, o Benfica perdeu com o Sporting na Luz. André Almeida diz que equipa "vai dar a volta"" [After five years, Benfica lost to Sporting in the Luz. André Almeida says that team "will bounce back"]. Observador (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 7 January 2022.
  64. Ribeiro, Patrick (29 January 2022). "Sporting defend their Taça da Liga title in second-half turnaround versus Benfica". PortuGOAL. สืบค้นเมื่อ 15 February 2022.
  65. Almeida, Isabel (21 April 2022). "FC Porto elimina Sporting e garante 32.ª final da Taça de Portugal" [FC Porto eliminate Sporting and guarantee 32nd Portuguese Cup final]. Diário de Noticías. สืบค้นเมื่อ 26 May 2022.
  66. "Liga: Sporting terminou com os mesmos pontos, mas não chegou" [Liga: Sporting ended with the same points, but didn't come first] (ภาษาโปรตุเกส). Mais Futebol. 17 May 2022. สืบค้นเมื่อ 28 May 2022.
  67. "Wolves complete record Nunes move". Wolverhampton Wanderers FC. 17 August 2022. สืบค้นเมื่อ 17 August 2022.
  68. "Joao Palhinha: Fulham confirm £20m signing of midfielder from Sporting Lisbon on five-year contract". Sky Sports. 4 July 2022. สืบค้นเมื่อ 4 July 2022.
  69. "Ruben Amorim garante que Sporting "está bem e recomenda-se"". 26 August 2022.
  70. "Sporting beat Eintracht Frankfurt 3-0 to break German hoodoo". portugoal.net.
  71. "Tottenham stunned by late Sporting Lisbon goals in Champions League defeat". Pa Sport Staff. Yahoo News. 13 September 2022. สืบค้นเมื่อ 13 September 2022.
  72. "Erros de Adán e Franco Israel custaram derrota do Sporting frente ao Marselha". cmjornal.pt.
  73. "Amorim defende Esgaio: «Não é dos jogadores preferidos dos adeptos, mas é dos meus. Enquanto eu aqui estiver...»". record.pt.
  74. "Varzim elimina Sporting da Taça (e a culpa não foi de Esgaio)".
  75. "Sporting deixa escapar milhões da Champions e cai para Liga Europa". November 2022.
  76. Cortez, Rodrigo (28 January 2023). "Sérgio Conceição e a da Taça da Liga: "Não faz sentido desvalorizar troféus"" [Sérgio Conceição and the League Cup win: "It makes no sense to devalue trophies"]. O Jogo (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 29 January 2023.
  77. "Porro signs from Sporting". Tottenham Hotspur F.C. 31 January 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 January 2023. สืบค้นเมื่อ 31 January 2023.
  78. "LSporting stun Arsenal with epic performance in London". PurtuGoal. 16 March 2022. สืบค้นเมื่อ 17 March 2023.
  79. "Juventus - Sporting CP 1-0: Gatti e Perin decisivi". UEFA.com (ภาษาอิตาลี). 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 13 April 2023.
  80. "Rúben Amorim: «Pus o lugar à disposição»". record.pt.
  81. "Gyokeres no Sporting: a cláusula de rescisão e todos os valores do negócio" [Gyokeres to Sporting: the release clause and all the values of the deal] (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). O Jogo. 13 July 2023. สืบค้นเมื่อ 13 July 2023.
  82. "Coventry striker Gyokeres joins Sporting Lisbon". BBC Sport.
  83. "Sporting salvage three late points after Gyökeres stars in glowing debut". OneFootball. 13 August 2023.
  84. "Two stoppage-time goals give Benfica dramatic 2-1 Lisbon derby win over Sporting". portugoal.net. สืบค้นเมื่อ 24 December 2023.
  85. Roseiro, Bruno (12 November 2023). "João Neves, um gigante dois em um que vê soluções e esconde problemas (a crónica do Benfica-Sporting)" [João Neves, a two-for-one giant that sees solutions and hides problems (Benfica-Sporting chronicle)]. Observador (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). สืบค้นเมื่อ 13 November 2023.
  86. "Sporting 2-0 FC Porto :: Liga Portugal Betclic 2023/24 :: Ficha do Jogo :: zerozero.pt". zerozero.pt (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 24 December 2023.
  87. "Sporting vence FC Porto e passa o Natal na frente. Gyokeres brilhou, Pepe foi expulso" [Sporting beats FC Porto and spends Christmas ahead. Gyokeres shined, Pepe was sent off]. SAPO Desporto (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). 18 December 2023. สืบค้นเมื่อ 19 December 2023.
  88. "Sporting 8-0 Casa Pia: Um atropelo histórico para perdoar a Taça da Liga". A Bola (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). 29 January 2024. สืบค้นเมื่อ 29 January 2024.
  89. "Ruben Amorim to Liverpool? The 'anti-Mourinho' working wonders at Sporting CP that Bruno Fernandes doesn't want to leave Portugal!". Goal.com. 29 January 2024. สืบค้นเมื่อ 2 April 2024.
  90. "Ruben Amorim to Liverpool? Why Sporting coach who took team to first title in 19 years is so in demand". Sky Sports. 2 April 2024. สืบค้นเมื่อ 2 April 2024.
  91. "Ruben Amorim 'Would Consider' Being Liverpool's Next Manager". GiveMeSport. 30 March 2024. สืบค้นเมื่อ 2 April 2024.
  92. Fernandes, Mariana (6 April 2024). "Sporting vence Benfica com dois golos de Catamo e aumenta vantagem na liderança do Campeonato (2-1) - como aconteceu". Observador (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). สืบค้นเมื่อ 7 April 2024.
  93. 93.0 93.1 "Ruben Amorim fica no Sporting". A Bola (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). 7 May 2024. สืบค้นเมื่อ 2 June 2024.
  94. "Sporting sagra-se campeão nacional após derrota do Benfica em Famalicão" [Sporting become national champions after Benfica's defeat in Famalicão]. Record (ภาษาโปรตุเกส). 5 May 2024. สืบค้นเมื่อ 5 May 2024.
  95. "Taça de Portugal. Sérgio Conceição é o terceiro treinador a vencer quatro finais" [Portugal Cup. Sérgio Conceição is the third manager to win four finals] (ภาษาโปรตุเกส). Rádio e Televisão de Portugal. 26 May 2024. สืบค้นเมื่อ 27 May 2024.
  96. 96.0 96.1 "How Manchester United could line up under Ruben Amorim: Tactics, players and possible transfers" (ภาษาโปรตุเกส). The Sporting News. 29 October 2024. สืบค้นเมื่อ 29 October 2024.
  97. "Hjulmand é o novo capitão do Sporting". record.pt. Record. 7 July 2024. สืบค้นเมื่อ 4 September 2024.
  98. "Brighton ameaça Sporting na corrida por Conrad Harder". A Bola (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). 29 August 2024. สืบค้นเมื่อ 25 September 2024.
  99. "Atenção, Sporting: Nordsjaelland aceita oferta do Brighton por Harder". A Bola (ภาษาโปรตุเกสแบบยุโรป). 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 25 September 2024.
  100. "Porto pull off stunning comeback to beat Sporting in seven-goal Super Taça thriller". PortuGOAL. 4 August 2024. สืบค้นเมื่อ 4 August 2024.
  101. "Manchester United approach Sporting for Ruben Amorim after sacking Ten Hag". Sky Sports. 28 October 2024. สืบค้นเมื่อ 29 October 2024.
  102. "Gyökeres mostrou-se à Europa e Debast fez as pazes com as bancadas". Diário de Notícias (ภาษาโปรตุเกส). 17 September 2024. สืบค้นเมื่อ 18 September 2024.
  103. "What are Ruben Amorim's tactics? Man United fans can expect 'spectacular' style of play from potential new manager". United in Focus. 29 October 2024. สืบค้นเมื่อ 29 October 2024.
  104. "Gyökeres à lei da bomba: sabe há quanto tempo o Sporting não marcava de livre?". zerozero.pt (ภาษาโปรตุเกส). สืบค้นเมื่อ 30 October 2024.
  105. "Ruben Amorim: Manchester United target says 'decision made' over future plans - 'Soap opera coming to an end'". EuroSport. สืบค้นเมื่อ 31 October 2024.
  106. "Jose Mourinho's private 15-word text message to Ruben Amorim speaks volumes". Manchester Evening News. สืบค้นเมื่อ 30 October 2024.
  107. "Man Utd appoint Ruben Amorim as new head coach". ManUtd.com. Manchester United. 1 November 2024. สืบค้นเมื่อ 1 November 2024.
  108. Jackson, Jamie (1 November 2024). "Manchester United announce Rúben Amorim's appointment as head coach". The Guardian. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 1 November 2024.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]