รายชื่อตัวละครในมายลิตเติ้ลโพนี่ มิตรภาพอันแสนวิเศษ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

มายลิตเติ้ลโพนี่ มิตรภาพอันแสนวิเศษ (อังกฤษ: My Little Pony: Friendship Is Magic) เป็นการ์ตูนที่มีฐานจากกลุ่มของเล่นที่ผลิตโดยผู้ผลิตของเล่นสัญชาติอเมริกันและแฮสโบร โดยตัวละครและฉากถูกออกแบบโดยลอว์เรน ฟอสต์ ที่สร้างความลึกของตัวละครมากกว่า "ความเป็นผู้หญิง" ในซีรีส์รุ่นที่แล้ว ซีรีส์นี้เปิดตัวในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.2010 ในสหรัฐบนช่องฮับส์เน็ตเวิร์ค (Hub Network) ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นช่องดิสคัฟเวอรี แฟมิลี (Discovery Family) ในวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ.2014.

ทุก ๆ ซีซันของตอนหนึ่ง ได้เจาะลึกไปที่ตัวละครหนึ่งและตัวละครที่ถูกคัดเลือก ซึ่งรวมไปถึง "คิวตีมาร์กครูเซเดอร์ส", เหล่าเจ้าหญิงอัลลิคอร์น, วายร้ายที่กลับใจ เช่น ดิสคอร์ด, สตาร์ไลท์ กลิมเมอร์ ฯลฯ และในซีซันแปด ผู้นำที่เป็นพันธมิตรกับเอเควสเทรียได้ส่งตัวแทนห้าตัวจากอาณาจักรของตนไปศึกษากับทไวไลท์ โดยมีตัวละครย่อยประมาณ 200 ตัวที่เป็น "โพนีฉากหลัง" (background ponies)[1]

ตัวละครหลัก[แก้]

เมนซิก[แก้]

"เมนซิก" (Mane Six) เป็นกลุ่มของม้าทั้งหกตัว[2]ที่เป็นเพื่อนกัน และนำ "ธาตุแห่งความปรองดอง" ไปใช้[3] เพื่อทำลายภัยอันตรายที่กำลังทำลายอีเควสเทรีย. ส่วนสไปค์ เป็นตัวละครที่อยู่ช่วยเมนซิก

ม้าแต่ละตัวถูกออกแบบให้มีมุมมองทางมิตรภาพที่แตกต่างกัน ได้แก่—ความซื่อสัตย์ (แอปเปิลแจ็ก), ความเมตตา (ฟลัทเตอร์ชาย), เสียงหัวเราะ (พิงกีพาย), ความเอื้ออาทร (แรริตี) และความจงรักภักดี (เรนโบว์แดช)—ซึ่งอยู่ด้วยกันเพื่อสร้างธาตุที่หกคือ "เวทมนตร์" (ทไวไลท์ สปาร์เคิล).[4]

เจ้าหญิงทไวไลท์ สปาร์เคิล[แก้]

เจ้าหญิงทไวไลท์ สปาร์เคิล (Princess Twilight Sparkle) เป็นตัวเอกของซีรีส์[5] เธอเป็นยูนิคอร์นในสามซีซันแรก และเป็นยูนิคอร์นมีปีกที่เรียกว่า "อัลลิคอร์น" ในช่วงหลังซีซันสามเป็นต้นมา เธอเป็นม้าที่ฉลาดที่สุดในบรรดาเมนซิก

สไปค์[แก้]

สไปค์ (Spike)[6] เป็นมังกรวัยทารกสีม่วงที่มีกระดูกสันหลังสีเขียว เขาเป็นเด็กกำพร้าตอนอยู่ในไข่[7] และฟักโดยทไวไลท์ในวัยเด็กในช่วงสอบเข้า เขาจึงมีเธอเป็นทั้งพี่สาวบุญธรรมและ/หรือแม่[8][9]; เขารับบทเป็น "ผู้ช่วยอันดับหนึ่ง" ของทไวไลท์[6][10] เขาได้ปีกในซีซันแปด

แอปเปิลแจ็ก[แก้]

แอปเปิลแจ็ก (Applejack) เป็นม้าสีส้ม มีแผงขนสีน้ำตาล[11] เธอถูกออกแบบเป็น "สาวชาวไร่" (farm gal) ที่ใส่หมวกคาวบอย, ใช้บ่วงบาศ และพูดภาษาอังกฤษสำเนียงใต้[12] เธอทำงานเป็นชาวไร่แอปเปิลที่สวนสวีทแอปเปิลเอเคอร์ส (Sweet Apple Acres) ในโพนีวิลล์ (Ponyville) โดยใช้ความแข็งแรงของเธอเตะต้นไม้ให้แอปเปิลตกลงข้างล่าง. เธออาศัยอยู่กับย่าของเธอ แกรนนีสมิธ (Granny Smith), พี่ชายของเธอ บิกแมคอินทัช (Big McIntosh), น้องสาวของเธอ แอปเปิลบลูม (Apple Bloom) และสุนัขพันธ์คอลลี วิโนนา (Winona). รายงานจากฟอสต์ พ่อแม่ของเธอ – ไบรท์ แมค (Bright Mac; ให้เสียงโดย บิล นิวตัน) กับเพียร์ บัตเตอร์ (Pear Butter; ให้เสียงโดย เฟลิเซีย เดย์) นั้นตายไปแล้ว[13] เธอเป็นม้าที่ซื่อสัตย์, ไว้ใจได้ และเป็นม้าที่ "ติดดินที่สุด" ในบรรดาเมนซิก[12]

เรนโบว์แดช[แก้]

เรนโบว์แดช (Rainbow Dash)[14] เป็นเพกาซัสสีน้ำเงินมีแผงเป็นสีรุ้ง[15] มีเป้าหมายที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มวอนเดอร์โบลต์ (Wonderbolts)[16] แล้วมีหน้าที่จัดการกับสภาพอากาศรอบๆ โพนีวิลล์ มีสัตว์เลี้ยงที่เป็นเต่าบกชื่อว่าแท็งค์ (Tank) และอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมบนก้อนเมฆที่เรียกว่าคลาวโดมิเนียม (Cloudominium)[17]

พิงกีพาย[แก้]

พิงกีพาย (Pinkie Pie; ชื่อเต็ม พิงกามินา ไดแอน พาย (Pinkamena Diane Pie)) เป็นม้าสีชมพู ตั้งชื่อตามม้าในรุ่นแรก[18] เธอเป็นผู้บริหารปาร์ตีที่ชูการ์คิวบ์คอร์เนอร์ (Sugarcube Corner) ร้านขนมปัง และร้านขายลูกกวาด[19] เธอมีสัตว์เลี้ยงเป็นจระเข้ตีนเป็ดที่ไร้ฟันชื่อว่า กัมมี (Gummy) เธอเป็นต้นแบบของมุกตลกในซีรีส์นี้[20] และมุกที่ "แปลกแหวกแนว" มักจะมาจากเธอ[21][22] (มุกตลกต่างๆ เช่นแหกกำแพงที่สี่ (breaking the fourth wall) และ "มักปรากฏโดยบังเอิญในที่ที่คาดไม่ถึง",[23]

แรรีตี[แก้]

แรรีตีเป็นยูนิคอร์นสีขาวที่มีแผงขนสีม่วง[24] เธอเป็นทั้งแฟชันนิสตาและ ผู้ประกอบการที่พูดภาษาอังกฤษสำเนียงแอตแลนติกกลาง[25][26] เธอมีสัตว์เลี้ยงเป็นแมวเปอร์เซียชื่อว่า โอปอลเซนส์ (Opalescence) โดยมันมักถูกเรียกสั้นๆ ว่าโอปอล (Opal) ฟอสต์กล่าวว่าออดรีย์ เฮปเบิร์นเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างตัวละครนี้[27]

ฟลัตเตอร์ชาย[แก้]

ฟลัตเตอร์ชาย (Fluttershy) เป็นเพกาซัสสีเหลือง มีแผงขนสีชมพู[28] เธอมีความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์กับสัตว์ต่างๆ. เธออาศํยอยู่ในกระท่อมกลางทุ่งหญ้าอันเงียบสงบในโพนีวิลล์ ซึ่งเป็นที่ที่เธอดูแลสัตว์ป่า เช่น สัตว์เลี้ยงของเธอที่เป็นกระต่ายที่มีชื่อว่า แอนเจิล บันนี (Angel Bunny)[29][30]

ตัวละครรอง[แก้]

ราชวงศ์[แก้]

เจ้าหญิงเซเลสเทีย[แก้]

เจ้าหญิงเซเลสเทีย (Princess Celestia) เป็นอัลลิคอร์นสีขาวที่มีแผงขนกับหางหลากสีที่เคลื่อนไหว และเป็นผู้ปกครองอีเควสเทรีย[31] เธอเป็นกษัตริย์ที่ปกครองอีเควสเทรียยาวนานที่สุด โดยเธอปกครองไป 1,000 ปีเพราะอัลลิคอร์นมักแก่ช้า[32] เธอมีหน้าที่ทั้งนำดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าและลงในตอนเย็น และเป็นที่ปรึกษาของทไวไลท์ สปาร์เคิล[33] โดยฟอสต์ตั้งใจให้ตำแหน่งเธอเป็นราชินี แต่ต้องเปลี่ยนเป็นเจ้าหญิง เพราะทางแฮสโบรคิดไว้ว่า "เด็กหญิงส่วนใหญ่คิดว่าราชินีมักชั่วร้าย [...] และเจ้าหญิงมักใจดี"[34]

เจ้าหญิงลูนา[แก้]

เจ้าหญิงลูนา (Princess Luna) เป็นอัลลิคอร์นสีน้ำเงินเช้ม ซึ่งเป็นน้องสาวของเจ้าหญิงเซเลสเทีย ตัวละครถูกออกแบบและผลิตโดยLynne Naylor.[35] เธอเป็นผู้ร่วมปกครองกับเซเลสเทีย โดยเธอใช้เวทมนตร์ของเธอควบคุมดวงจันทร์ และทำหน้าที่ในเวลากลางคืน.ตอนแรกเธอกลายเป็นไนท์แมร์มูน (Nightmare Moon) เพราะเธออิจฉาพี่สาวของเธอ[36] จนถูกเนรเทศไปที่ดวงจันทร์โดยเซเลสเทีย เธอกลับมาอีกครั้งหลังถูกเนรเทศไป 1,000 ปี เพื่อทำให้โลกเป็นกลางคืนตลอดกาล แต่ถูกพวกเมนซิกปราบลง[37]

เจ้าหญิงเคแดนซ์, ไชนิงอาร์เมอร์ และเฟลอรีฮาร์ท[แก้]

เจ้าหญิงเคแดนซ์ (Princess Cadance; ชื่อเต็ม: มี อะมอเร คาเดนซา (Mi Amore Cadenza)) กับเจ้าชายไชนิงอาร์เมอร์ (Prince Shining Armor) เป็นพี่สะใภ้กับพี่ชายของทไวไลท์ สปาร์เคิล. เคแดนซ์เป็นหลานสาวที่เจ้าหญิงเซเลสเทียทรงรับเลี้ยง และเป็นพี่เลี้ยงเด็กของทไวไลท์ในวัยเด็ก[39] ตอนแรกเธอเป็นเพกาซัส[40] เธอแต่งงานกับไชนิงอาร์เมอร์ หัวหน้ายามหลวงแห่งแคนเทอร์ลอต (Canterlot's royal guard)[39] ในตอนต้นของซีซันที่สาม เซเลสเทียให้เธอกับไชนิงอาร์เมอร์ปกครองคริสทัลเอมไพร์ (Crystal Empire) ซึ่งเป็นที่ที่เหล่าคริสทัลโพนี (Crystal Ponies) อาศัยอยู่[41] ในตอนต้นซีซันหก เธอมีลูกอัลลิคอร์นชื่อว่า เฟลอร์รี ฮาร์ท (Flurry Heart) ทั้งเซเลสเทียกับลูนากล่าวว่า "การถือกำเนิดอัลลิคอร์น เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีในเอเควสเทรียมาก่อน"

คิวตีมาร์กครูเซเดอร์ส[แก้]

คิวตีมาร์กครูเซเดอร์ส (Cutie Mark Crusaders) เป็นกลุ่มของม้าน้อยทั้งสามตัวที่ร่วมมือกันตามหา "คิวตีมาร์ก" (cutie marks)[42] โดยทำได้สำเร็จในตอน "Crusaders of the Lost Mark"

  • แอปเปิลบลูม (Apple Bloom; ให้เสียงโดย มิเชลล์ ครีเบอร์) – ลูกม้าเพศเมียสีเหลืองที่มีแผงขนสีแดง และใส่โบว์สีชมพู เธอเป็นน้องสาวของแอปเปิลแจ็ก กับบิกแมคอินทัช[43]
  • สคูทาลู (Scootaloo; ให้เสียงโดย เมเดอลีน ปีเตอร์ส) – ลูกเพกาซัสเพศเมียสีส้มที่มีแผงขนสีม่วง ถึงแม้ว่าเธอจะบินไม่ได้ แต่เธอใช้ปีกในการเล่นสกูตเตอร์ เธออาศัยอยู่กับป้าฮอลิเดย์และป้าลอฟตี (Aunt Holiday and Auntie Lofty; ให้เสียงโดย Jackie Blackmore และ Saffron Henderson) ซึ่งไมเคิล โวเกล (Michael Vogel) ยืนยันว่าพวกเธอเป็นคู่เลสเบียนที่แต่งงานแล้ว[44][45][46]
  • สวีตตีเบลล์ (Sweetie Belle; ให้เสียงโดย แคลร์ คอร์เล็ตต์, เสียงร้องในซีซ๊น 1–3 โดย มิเชลล์ ครีเบอร์)[47] – ลูกยูนิคอร์นสีขาวที่มีแผงขนสีลาเวนเดอร์กับแถบสีชมพู เธออยากเป็นแฟชันดีไซเนอร์ตามอย่างแรรีตี พี่สาวของเธอ[43]

สมาชิกกิตติมศักดิ์[แก้]

  • แบบส์ ซีด (Babs Seed; ให้เสียงโดยบรินนา ดรัมมอนด์ (Brynna Drummond)) – เป็นลูกพี่ลูกน้องแอปเปิลจากเมนฮัตตัน (Manehattan)[43]
  • แก็บบี (Gabby; ให้เสียงโดยอีริน แมทธิวส์ (Erin Mathews)) – เป็นกริฟฟอนเพศเมียที่เป็นมิตรจากเมืองกริฟฟอนสโตน (Griffonstone)

เพื่อน/มิตร[แก้]

ดิสคอร์ด[แก้]

จอห์น เดอ แลนซี (ถ่ายในงานBronyCon ค.ศ2012) ผู้ให้เสียงดิสคอร์ด

ดิสคอร์ด (Discord) เป็นวิญญาณแห่งความโกลาหลและความแตกแยกที่ปรากฏตัวครั้งแรกในตอน "เดอะรีเทิร์นออฟฮาร์โมนี" (The Return of Harmony)[48] เขาเป็นa "ดราโคนิควุส" (draconequus; /drəˈkɒnɛkwʌs/ จากภาษาลาตินแปลว่า "มังกร" กับ "ม้า") ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผสมกันระหว่างหัวม้า กับสัตว์ชนิดต่างๆ.[49][50] ในอดีต เซเลสเทียกับลูนาทรงลงโทษเขาโดยการถูกสาปเป็นรูปปั้นหิน และในซีซันสองเขาถูกปลดปล่อยแล้วโดนพวกเมนซิกสาปกลายเป็นรูปปั้นหินอีกครั้ง จนถึงซีซันสามตอนต้น เขาถูกปลดปล่อยอีกครั้งโดยเซเลสเทีย โดยพระองค์ทรงตระหนักว่าเขาควรที่จะเป็นคนดีอีกครั้ง ซึ่งต่อมามันได้ผล[49]

บิกแมคอินทัช[แก้]

บิกแมคอินทัช (Big McIntosh; มักเรียกกันว่า บิกแมค (Big Mac)) เป็นม้าตัวใหญ่ที่เป็นพี่ชายของแอปเปิลแจ็คและแอปเปิลบลูม เขาเป็นม้าที่ไม่ค่อยพูดมากและมักตอบว่า "ใช่" (eeyup) และ "ไม่" (nope)[51]

แกรนนีสมิธ[แก้]

แกรนนีสมิธ (Granny Smith) เป็นม้าวัยชราที่เป็นย่าของแอปเปิลแจ็ค, แอปเปิลบลูม และบิกแมคอินทัช เธอเป็นหนึ่งในผู้ก่อรากถิ่นฐานรุ่นแรกของโพนีวิลล์[51]

สตาร์ไลท์ กลิมเมอร์[แก้]

สตาร์ไลท์ กลิมเมอร์ (Starlight Glimmer) เป็นยูนิคอร์นที่ปรากฏตัวครั้งแรกในตอน "เดอะคิวตีแมป" (The Cutie Map). ในตอนนั้นเธอต้องการสร้าง "สังคมที่เท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์" โดยการลบคิวตีมาร์ก เพราะเธอคิดว่ามันจะนำพามาซึ่งความแตกแยกระหว่างเพื่อน.[52] และปรากฏตัวอีกครั้งในตอน "เดอะคิวตีรี-มาร์ก" (The Cutie Re-Mark) เพื่อแก้แค้นให้กับเมนซิกโดยการย้อนเวลาไปหาอดีต และขัดขวางไม่ให้มิตรภาพเกิดขึ้นโดยการหยุดเรนโบว์แดชไม่ให้ทำท่าโซนิค เรนบูมได้ หลังจากที่เธอได้รู้ถึงผลอันน่าหวาดกลัวที่จะส่งผลถึงปัจจุบัน สตาร์ไลท์จึงยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตและเริ่มคบเพื่อน ในซีซันหก เธอกลายเป็นลูกศิษย์ของทไวไลท์ สปาร์เคิล และในซีซันแปด เอธกลายเป็นผู้ให้คำปรึกษาในโรงเรียนแห่งมิตรภาพ. มิลเลอร์กล่าวว่า รูปแบบของสตาร์ไลท์นั้นถูกเลือกให้เป็น "ตัวละครก่อนทไวไลท์" (proto-Twilight character)[52] ในตอนแรก เธอมีชื่อว่า "ออโรรา กลิมเมอร์" (Aurora Glimmer) ซึ่งเธอถูกเปลี่ยนชื่อเพราะเป็นชื่อที่สงวนลิขสิทธิ์ของบริษัทวอลต์ดิสนีย์ในชื่อตัวละคร "ออโรรา".[53]

ยังซิก[แก้]

"ยังซิก" (Young Six[54]) เป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตหกตัวที่เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งมิตรภาพ (School of Friendship) ที่ดำเนินการโดยเมนซิก:

  • สโมลเดอร์ (Smolder; ให้เสียงโดยแชนนอน ชาน-เคนท์) เป็นมังกรที่มีนิสัยอวดดีและชอบแข่งขัน และแอบชอบของน่ารัก ได้แก่ เสื้อ, เครื่องสำอาง และปาร์ตีน้ำชา
  • โอเซลลัส (Ocellus; ให้เสียงโดยเดวิน ดาลตัน) เป็นแชนเจอลิงที่ขี้อายและชอบเรียนรู้ เธอสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นได้
  • ซิลเวอร์สตรีม (Silverstream; ให้เสียงโดยลอว์เรน แจ็กสัน) เป็นหลานสาวของราชินีโนโว (Queen Novo) ที่ตื่นตัวและสามารถแปลงร่างเป็นทั้งฮิปโปกริฟฟ์และซีโพนี เธอมีนิสัยเหมือนกับเจ้าหญิงสกายสตาร์ (Princess Skystar) ลูกพี่ลูกน้องของเธอในด้านบุคลิกภาพ
  • โยนา (Yona; ให้เสียงโดยแคทรีนา แซลิสบิวรี) เป็นจามรีที่เป็นมิตรและซุ่มซ่าม. เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุด
  • แกลลัส (Gallus; ให้เสียงโดย Gavin Langelo) เป็นกริฟฟอนที่ชอบพูดเสียดสี เขามีอาการกลัวพื้นที่แคบ (claustrophobic) และเป็นกริฟฟอนกำพร้า.
  • แซนด์บาร์ (Sandbar; ให้เสียงโดยวินเซนต์ ทัง) เป็นม้าโพนี่ที่ชอบ "พูดความจริง"

หมายเหตุ[แก้]

  1. Libman provides Pinkie Pie's singing voice for some songs.

อ้างอิง[แก้]

ทั่วไป
  • Snider, Brandon T. (2013). The Elements of Harmony: My Little Pony: Friendship Is Magic: The Official Guidebook. New York: Little, Brown and Company. ISBN 978-0-316-24754-2.
  • Begin, Mary Jane (2015). My Little Pony: The Art of Equestria. New York: Abrams. ISBN 978-1-4197-1577-8.
เฉพาะ
  1. Begin (2015), p. 75
  2. Begin (2015), p. 47
  3. Begin (2015), p. 80
  4. Snider (2013), p. 80
  5. Faust, Lauren (November 29, 2013). "[Lauren Faust on Twilight's inspiration]". Twitter. (Self-published). สืบค้นเมื่อ November 10, 2015.
  6. 6.0 6.1 Snider (2013), p. 19
  7. Season 8 Episode 24 "Father Knows Beast": "I was orphaned as an egg and Twilight raised me. So these ponies are more than my friends, they're my family."
  8. "Raising Spike 1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-30. สืบค้นเมื่อ 2019-11-29.
  9. "Raising Spike 2". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-30. สืบค้นเมื่อ 2019-11-29.
  10. Begin (2015), p. 76
  11. Faust, Lauren (November 29, 2013). "[Lauren Faust on Applejack's inspiration]". Twitter. (Self-published). สืบค้นเมื่อ November 11, 2015.
  12. 12.0 12.1 Snider (2013), p. 23
  13. "Sethisto" (June 8, 2013). "Lauren Faust Ponychan Q&A Compiled". Equestria Daily. สืบค้นเมื่อ November 8, 2015.
  14. Begin (2015), p. 54
  15. Faust, Lauren (November 29, 2013). "[Lauren Faust on Rainbow Dash's inspiration]". Twitter. (Self-published). สืบค้นเมื่อ October 14, 2015.
  16. Begin (2015), p. 183
  17. Begin (2015), p. 56
  18. Faust, Lauren (November 29, 2013). "[Lauren Faust on Pinkie Pie's inspiration]". Twitter. (Self-published). สืบค้นเมื่อ November 5, 2015.
  19. Begin (2015), p. 73
  20. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ EoH-PP
  21. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ AoE182
  22. "Tekaramity" (September 16, 2011). "Exclusive Season 1 Retrospective Interview with Lauren Faust". Equestria Daily. สืบค้นเมื่อ November 8, 2015.
  23. Snider (2013), p. 76–77
  24. Faust, Lauren (November 29, 2013). "[Lauren Faust on Rarity's inspiration]". Twitter. (Self-published). สืบค้นเมื่อ November 11, 2015.
  25. Snider (2013), p. 22
  26. Begin (2015), p. 181
  27. "Sethisto" (May 27, 2013). "Lauren Faust Answers a Bunch of Questions". Equestria Daily. สืบค้นเมื่อ November 13, 2015.
  28. Faust, Lauren (November 29, 2013). "[Lauren Faust on Fluttershy's inspiration]". Twitter. (Self-published). สืบค้นเมื่อ November 13, 2015.
  29. Snider (2013), p. 24
  30. Snider (2013), p. 47
  31. Begin (2015), p. 79
  32. Rogers, Amy Keating (2014). My Little Pony: Friendship Is Magic: The Journal of the Two Sisters: The Official Chronicles of Princesses Celestia and Luna. Boston, New York: Little, Brown and Company. ISBN 978-0-316-28224-6.
  33. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ms faust
  34. Beck, Koa (February 15, 2012). "'Oh, My Hair Looks Beautiful!' and Other Crap Girls Can Learn from My Little Pony Princess Celestia". Mommyish. สืบค้นเมื่อ November 10, 2015.[ลิงก์เสีย]
  35. Snider (2013), p. 36
  36. Heather Nuhfer (w), Amy Mebberson (a). "Nightmare Rarity" My Little Pony: Friendship Is Magic v2, 5 (March 27, 2013), IDW Publishing, ISBN 978-1-61377-760-2
  37. Begin (2015), p. 81
  38. Heldman, Breanne L. (January 28, 2016). "'My Little Pony: Friendship Is Magic': First Look at Baby Flurry Heart Will Warm Your Soul". Yahoo!. สืบค้นเมื่อ January 28, 2016.
  39. 39.0 39.1 Snider (2013), p. 27
  40. Berrow, G. M. (2013). My Little Pony: Twilight Sparkle and the Crystal Heart Spell. Little, Brown and Company. ISBN 978-0-316-24755-9.
  41. Snider (2013), p. 71
  42. VanDerWerff, Todd (April 29, 2011). "My Little Pony Friendship Is Magic". The A.V. Club. สืบค้นเมื่อ April 30, 2011.
  43. 43.0 43.1 43.2 Snider (2013), p. 38–39
  44. https://twitter.com/mktoon/status/918280280376561664
  45. https://www.equestriadaily.com/2017/10/scootaloos-lesbian-aunt-confirmed-by.html
  46. https://www.equestriadaily.com/2017/10/scootaloo-lives-with-her-lesbian-aunts.html
  47. Corlett, Ian James (May 5, 2013). "[Ian James Corlett on Sweetie Belle's singing voice]". Twitter. (Self-published). สืบค้นเมื่อ June 25, 2013.
  48. Begin (2015), p. 98
  49. 49.0 49.1 Snider (2013), p. 54
  50. Begin (2015), p. 31–32
  51. 51.0 51.1 Snider (2013), p. 28
  52. 52.0 52.1 Begin (2015), p. 108
  53. "Sethisto" (March 25, 2016). "Starlight Glimmer was Originally Aurora Glimmer". Equestria Daily. สืบค้นเมื่อ March 19, 2016.
  54. @TheBiggestJim (March 25, 2018). "We refer to them as the "Young Six" internally" (ทวีต). สืบค้นเมื่อ March 27, 2018 – โดยทาง ทวิตเตอร์.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]