รัฐบัญญัติบาย–โดล
![]() | |
---|---|
ชื่อในภาษาปาก | รัฐบัญญัติการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายสิทธิบัตรและรัฐบาลกลาง |
ผู้ตรา | 96th United States Congress |
วันเริ่มใช้ | 12 ธันวาคม 1980 |
การเรียก | |
กฎหมายมหาชน | 96-517 |
ประชุมกฎหมาย | 94 Stat. 3015 |
การประมวล | |
รัฐบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติม | |
ลักษณะที่แก้ไขเพิ่มเติม | 35 U.S.C.: สิทธิบัตร |
มาตราในประมวลกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติม | แม่แบบ:Usc-title-chap § 301 |
| |
การแก้ไขเพิ่มเติมที่เป็นสาระสำคัญ | |
คดีที่เกี่ยวข้องของศาลสูงสุด | |
Stanford University v. Roche Molecular Systems, Inc., 563 U.S. 776 (2011) |
รัฐบัญญัติบาย–โดล (อังกฤษ: Bayh–Dole Act) หรือ รัฐบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า (อังกฤษ: Patent and Trademark Law Amendments Act) (Pub. L. 96-517, 12 ธันวาคม 1980) เป็นกฎหมายสหรัฐที่ว่าด้วยสิ่งประดิษฐ์จากการวิจัยที่รัฐบาลกลางเป็นผู้สนับสนุนทุน รัฐบัญญัติดังกล่าวได้ชื่อตามสมาชิกวุฒิสภาสองคนที่เป็นผู้สนับสนุน มีมติเห็นชอบกฎหมายดังกล่าวในปี 1980 และประมวลไว้ใน 94 Stat. 3015 และใน 35 U.S.C. § 200–212[1] และนำไปปฏิบัติโดย 37 C.F.R. 401 สำหรับความตกลงการจัดหาทุนของรัฐบาลกลางกับผู้รับเหมา[2] และ 37 C.F.R 404 สำหรับใบอนุญาตสิ่งประดิษฐ์ที่รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของ[3]
การเปลี่ยนแปลงสำคัญของรัฐบัญญัตินี้ได้แก่วิธีดำเนินการซึ่งผู้รับเหมารัฐบาลกลางซึ่งได้รับความเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางสามารถคงกรรมสิทธิ์ต่อไปได้ ก่อนหน้านั้น ข้อบังคับวิธีดำเนินการของรัฐบาลกลาง (Federal Procurement Regulation) กำหนดการใช้วรรคสิทธิในสิทธิบัตรซึ่งในบางกรณีกำหนดให้ผู้รับเหมาของรัฐบาลกลางหรือนักประดิษฐ์ของผู้รับเหมามอบสิ่งประดิษฐ์ที่ผลิตภายใต้สัญญาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลกลาง ยกเว้นหน่วยงานที่สนับสนุนทุนกำหนดว่าเมื่อปล่อยให้ผู้รับเหมาหรือนักประดิษฐ์ยังคงสิทธิหลักหรือสิทธิ์แต่ผู้เดียวจะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะมากกว่า[4] สถาบันสุขภาพแห่งชาติ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติและกระทรวงพาณิชย์นำโครงการไปปฏิบัติซึ่งอนุญาตให้องค์การไม่แสวงผลกำไรคงสิทธิในสิ่งประดิษฐ์เมื่อแจ้งความโดยไม่ต้องขอการพิจารณากำหนดของหน่วยงาน[5] ในทางกลับกัน บาย–โดลอนุญาตให้องค์การไม่แสวงผลกำไรและผู้รับเหมาบริษัทธุรกิจขนาดย่อมคงกรรมสิทธิ์ของสิ่งประดิษฐ์ที่ผลิตภายใต้สัญญาและสิ่งประดิษฐ์ที่ได้มา หากสิ่งประดิษฐ์นั้นได้เปิดเผยในเวลาอันสมควร และผู้รับเหมาเลือกคงกรรมสิทธิ์ของสิ่งประดิษฐ์นั้นต่อไป[6]
การเปลี่ยนแปลงสำคัญประการที่สอง คือ รัฐบัญญัตินี้ให้อำนาจหน่วยงานของรัฐบาลกลางให้ใบอนุญาตแต่ผู้เดียวแก่สิ่งประดิษฐ์ที่รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของ[7]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "35 U.S. Code Chapter 18 - PATENT RIGHTS IN INVENTIONS MADE WITH FEDERAL ASSISTANCE". cornell.edu.
- ↑ "37 CFR Part 401 - RIGHTS TO INVENTIONS MADE BY NONPROFIT ORGANIZATIONS AND SMALL BUSINESS FIRMS UNDER GOVERNMENT GRANTS, CONTRACTS, AND COOPERATIVE AGREEMENTS". cornell.edu.
- ↑ "37 CFR Part 404 - LICENSING OF GOVERNMENT-OWNED INVENTIONS". LII / Legal Information Institute (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2019-10-23.
- ↑ Subcommittee on Domestic and International Scientific Planning and Analysis of the Committee on Science and Technology U.S. House of Representatives (1976). Background Materials on Government Patent Policies: The Ownership of Inventions Resulting From Federally Funded Research and Development. Washington DC: U.S. Government Printing Office. pp. 29–49.
- ↑ Latker, Norman (January 5, 1978). "The Patent Policy of the Department of Health, Education, and Welfare" (PDF). IP Mall. สืบค้นเมื่อ October 22, 2019.
- ↑ "U.S. Code § 202. Disposition of rights". Legal Information Institute. สืบค้นเมื่อ October 22, 2019.
- ↑ Latker, Norman (2000-09-24). "Brief History of Federal Technology Transfer" (PDF). IPMall. สืบค้นเมื่อ 2019-10-22.