รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู
อินโนเวีย โมโนเรล 300 ขณะทดลองเดินรถเสมือนจริงที่สถานีแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28
ข้อมูลทั่วไป
สถานะเปิดให้บริการ
เจ้าของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
ที่ตั้งนนทบุรีและกรุงเทพมหานคร
ปลายทาง
จำนวนสถานี30
เว็บไซต์www.mrta-pinkline.com nbm.co.th
การดำเนินงาน
รูปแบบรางเดี่ยว
ระบบรถไฟฟ้ามหานคร
ผู้ดำเนินงานบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด
(กลุ่มบีทีเอส)
(สัญญาสัมปทานโครงการสิ้นสุด พ.ศ. 2596)
ขบวนรถอัลสตอม อินโนเวีย โมโนเรล 300 (4 ตู้ต่อขบวน)
ประวัติ
เปิดเมื่อ7 มกราคม พ.ศ. 2567; 2 เดือนก่อน (2567-01-07)
ข้อมูลทางเทคนิค
ระยะทาง34.5 กิโลเมตร (21.4 ไมล์) (est.)
ลักษณะทางวิ่งทางยกระดับ
ระบบจ่ายไฟรางที่สาม
ความเร็ว80 km/h (50 mph)
แผนที่เส้นทาง

: เตาปูนคลองบางไผ่
ศูนย์ราชการนนทบุรี
(โครงการ)
แคราย
สนามบินน้ำ
สามัคคี
กรมชลประทาน
แยกปากเกร็ด
เลี่ยงเมืองปากเกร็ด
แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28
ศรีรัช
เมืองทองธานี
อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ทะเลสาบเมืองทองธานี
แจ้งวัฒนะ 14
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
โทรคมนาคมแห่งชาติ
หลักสี่
: กรุงเทพอภิวัฒน์รังสิต
ราชภัฏพระนคร
: เคหะฯคูคต
วัดพระศรีมหาธาตุ
รามอินทรา 3
ลาดปลาเค้า
รามอินทรา กม.4
มัยลาภ
(โครงการ): ท่าพระ
วัชรพล
รามอินทรา กม.6
คู้บอน
รามอินทรา กม.9
วงแหวนรามอินทรา
นพรัตน์
บางชัน
เศรษฐบุตรบำเพ็ญ
ตลาดมีนบุรี
: บางขุนนนท์ – แยกร่มเกล้า
มีนบุรี
ศูนย์ซ่อมบำรุง

รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู (แคราย–แจ้งวัฒนะ–รามอินทรา–มีนบุรี) (อังกฤษ: Metropolitan Rapid Transit Pink Line, MRT Pink Line) ซึ่งเรียกตามสีที่กำหนดในแผนแม่บทโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนรองในพื้นที่กรุงเทพมหานครฝั่งเหนือ ตลอดจนถึงพื้นที่ของจังหวัดนนทบุรี ดำเนินการโดยบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด โดยได้รับสัญญาสัมปทานจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ดำเนินการในรูปแบบรถไฟฟ้ายกระดับแบบรางเดี่ยวหรือโมโนเรล เริ่มก่อสร้างใน พ.ศ. 2559 ก่อนหยุดการก่อสร้างไประยะหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2563–2564 จนในที่สุดได้เปิดให้สาธารณชนทดลองใช้งานในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 และกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2567 โดยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 ในรูปแบบหุ้นส่วนมหาชน-เอกชน (Public Private Partnership: PPP) โดยให้รัฐบาลโดย รฟม. เป็นผู้ลงทุนจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดิน และการเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ในโครงการ และเอกชนเป็นผู้ลงทุนในงานโยธา ระบบรถไฟฟ้า ตลอดจนดำเนินระบบรถไฟฟ้าและกิจการจนครบสัญญา

เส้นทางสายนี้เกิดขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2537 โดยเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งมวลชนระบบรองที่ได้รับการบรรจุลงในแผนแม่บท แต่ในระยะแรกโครงการมีระยะทางรวมทั้งสิ้นเพียง 27 กิโลเมตร มีสถานีต้นทางอยู่ที่บริเวณแยกปากเกร็ด และได้ถูกนำออกไปเมื่อครั้งปรับปรุงแผนแม่บท พ.ศ. 2543 แต่ต่อมาได้มีนำกลับมาอีกครั้งใน พ.ศ. 2549 พร้อมขยายแนวเส้นทางมาตามแนวถนนติวานนท์ และย้ายต้นทางจากแยกปากเกร็ดมายังแยกแคราย เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรมที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี และใน พ.ศ. 2554 ได้มีการพิจารณายกระดับโครงการขึ้นมาเป็นรถไฟฟ้ารางหนัก เนื่องจากพิจารณาภาพรวมแล้วโครงการมีเส้นทางที่ยาวมาก และเหมาะสมกับความต้องการของประชาชนในเส้นทางดังกล่าว แต่แล้วสุดท้ายโครงการก็ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการในรูปแบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยวตลอดทั้งโครงการ เนื่องจากเหมาะสมกับพื้นที่มากกว่า

ปัจจุบันมีระยะทางรวม 34.5 กิโลเมตร มีแนวเส้นทางเริ่มต้นที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรีซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม จากนั้นวิ่งขึ้นไปทางแยกปากเกร็ด แล้วเบี่ยงไปทางทิศตะวันออก ผ่านสถานีเมืองทองธานี แนวเส้นทางจะถูกแยกออกเป็นสองสาย โดยถือเป็นระบบขนส่งมวลชนทางรางสายแรกในประเทศไทยที่มีเส้นทางสายสาขา (branch line) ให้บริการ สายหนึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกตามแนวถนนแจ้งวัฒนะและถนนรามอินทราจนถึงสถานีตลาดมีนบุรี แนวเส้นทางจะเบี่ยงลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อไปสิ้นสุดเส้นทางที่สถานีมีนบุรีซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายสีส้ม อีกสายหนึ่งจะวิ่งย้อนกลับไปทางแยกปากเกร็ด ก่อนเบี่ยงเข้าสู่ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 เพื่อเข้าสู่พื้นที่ใจกลางเมืองทองธานีอันเป็นชุมชนหนาแน่น และสิ้นสุดเส้นทางที่สถานีทะเลสาบเมืองทองธานีบริเวณภายในศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเส้นอื่น ๆ จำนวน 4 สถานี ได้แก่ สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี เชื่อมต่อกับสายฉลองรัชธรรม สถานีหลักสี่ เชื่อมต่อกับสายธานีรัถยา สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ เชื่อมต่อกับสายสุขุมวิท และสถานีมีนบุรี เชื่อมต่อกับสายสีส้ม

ภาพรวม[แก้]

รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูเป็นระบบรถไฟฟ้าที่มีโครงสร้างเป็นทางยกระดับเหนือพื้นดินตลอดโครงการ ดำเนินการโดย บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด บริษัทร่วมค้าของกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ที่มี บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ได้รับสัมปทานโครงการในการร่วมทุนก่อสร้างและดำเนินการเชิงพาณิชย์ หรือ PPP-Net Cost ภายในกรอบระยะเวลา 33 ปี 3 เดือน จากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มีแนวเส้นทางพาดผ่านพื้นที่กรุงเทพมหานครฝั่งเหนือเป็นส่วนใหญ่ ตลอดจนพื้นที่บางส่วนของจังหวัดนนทบุรี เริ่มต้นเส้นทางจากบริเวณแยกแครายซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม วิ่งไปทางทิศตะวันออกแล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นเหนือตามแนวถนนติวานนท์จนถึงบริเวณแยกปากเกร็ด แนวเส้นทางจะมุ่งไปทางทิศตะวันออกตามแนวถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อผ่านทางพิเศษศรีรัช แนวเส้นทางจะแยกออกเป็นสองสาย โดยสายหลักจะมุ่งหน้าต่อเพื่อเข้าเขตกรุงเทพมหานครหลังพ้นแยกคลองประปา เมื่อพ้นวงเวียนหลักสี่ที่เป็นสถานีร่วมกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท แนวเส้นทางจะยังคงมุ่งไปทางทิศตะวันออกตามแนวถนนรามอินทรา และถนนสีหบุรานุกิจจนถึงตลาดมีนบุรี แล้วเส้นทางจะเบี่ยงขวาลงไปหาถนนรามคำแหง เพื่อสิ้นสุดที่แยกรามคำแหง-ร่มเกล้า อันเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายสีส้ม รวมระยะทาง 36 กิโลเมตร และอีกสายหนึ่งจะวิ่งย้อนกลับขึ้นไปทางปากเกร็ดก่อนเข้าสู่ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 หรือซอยเข้าศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองทองธานีอันเป็นที่ตั้งของศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี รวมระยะทาง 3 กิโลเมตร

พื้นที่ที่เส้นทางระบบขนส่งมวลชนผ่าน[แก้]

ตำบล/แขวง อำเภอ/เขต จังหวัด
บางกระสอ, ท่าทราย เมืองนนทบุรี นนทบุรี
บางตลาด, ปากเกร็ด, คลองเกลือ, บ้านใหม่ ปากเกร็ด
ทุ่งสองห้อง, ตลาดบางเขน หลักสี่ กรุงเทพมหานคร
อนุสาวรีย์, ท่าแร้ง บางเขน
รามอินทรา, คันนายาว คันนายาว
มีนบุรี มีนบุรี

แนวเส้นทาง[แก้]

จุดต้นทางของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม ที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ถนนรัตนาธิเบศร์ แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านแยกแครายเข้าสู่ถนนติวานนท์ แนวเส้นทางจะวิ่งไปตามเกาะกลางถนนติวานนท์จนถึงแยกปากเกร็ดแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งมีโครงการก่อสร้างสายแยกเข้าศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานีด้วย ผ่านทางแยกต่างระดับแจ้งวัฒนะ โดยลอดใต้จุดเชื่อมต่อระหว่างทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษอุดรรัถยา ข้ามคลองประปาเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ผ่านศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้มที่สถานีหลักสี่ลอดใต้ทางยกระดับอุตราภิมุข และเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท ที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ บริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ จากนั้นแนวเส้นทางจะวิ่งไปตามถนนรามอินทรา ผ่านข้ามทางพิเศษฉลองรัชบริเวณแยกวัชรพล ข้ามทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 หรือวงแหวนรอบนอกตะวันออกจนถึงทางแยกเมืองมีนแล้ววิ่งเข้าสู่เขตมีนบุรี ตามแนวถนนสีหบุรานุกิจ จนถึงสะพานข้ามคลองสามวา ก็จะเลี้ยวขวาข้ามคลองแสนแสบ และข้ามถนนรามคำแหงมาสิ้นสุดสถานีปลายทางที่บริเวณใกล้แยกรามคำแหง-ร่มเกล้า ซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้ามหานคร สายสีส้ม โดยในอนาคตมีแผนศึกษาส่วนต่อขยายจากมีนบุรีไปยังย่านลาดกระบัง และเชื่อมต่อการเดินทางสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยใช้แนวถนนร่มเกล้า

แผนที่เส้นทาง

แผนที่

รายชื่อสถานี[แก้]

ชื่อและสีของสถานี รหัสสถานี จุดเปลี่ยนเส้นทาง วันที่เปิดให้บริการ ที่ตั้ง
เส้นทางหลัก ศูนย์ราชการนนทบุรี-มีนบุรี
ศูนย์ราชการนนทบุรี PK01 สายสีม่วง สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี
สายสีน้ำตาล สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (โครงการ)
7 มกราคม พ.ศ. 2567 นนทบุรี
แคราย PK02
สนามบินน้ำ PK03
สามัคคี PK04
กรมชลประทาน PK05
แยกปากเกร็ด PK06  เรือด่วนเจ้าพระยา  ท่าเรือปากเกร็ด
เลี่ยงเมืองปากเกร็ด PK07
แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 PK08
ศรีรัช PK09
เมืองทองธานี PK10 สายแยกเมืองทองธานี-อิมแพ็ค
แจ้งวัฒนะ 14 PK11 กรุงเทพมหานคร
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ PK12
โทรคมนาคมแห่งชาติ PK13
หลักสี่ PK14 สายสีแดงเข้ม สถานีหลักสี่
ราชภัฏพระนคร PK15
วัดพระศรีมหาธาตุ PK16 สายสุขุมวิท (สถานีร่วม)
รามอินทรา 3 PK17
ลาดปลาเค้า PK18
รามอินทรา กม. 4 PK19
มัยลาภ PK20
วัชรพล PK21 สายสีเทา สถานีวัชรพล (โครงการ)
รามอินทรา กม. 6 PK22
คู้บอน PK23
รามอินทรา กม. 9 PK24
วงแหวนรามอินทรา PK25
นพรัตน์ PK26
บางชัน PK27
เศรษฐบุตรบำเพ็ญ PK28
ตลาดมีนบุรี PK29
มีนบุรี PK30 สายสีส้ม สถานีมีนบุรี (กำลังก่อสร้าง)
เส้นทางแยก เมืองทองธานี-อิมแพ็ค
เมืองทองธานี PK10 สายหลักศูนย์ราชการนนทบุรี-มีนบุรี พ.ศ. 2568 นนทบุรี
อิมแพ็ค เมืองทองธานี MT01
ทะเลสาบเมืองทองธานี MT02

การเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น[แก้]

รหัสสถานี สถานีรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู เชื่อมต่อกับ หมายเหตุ
PK01 สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี สายสีม่วง สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี

สายสีน้ำตาล สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี

เชื่อมต่อด้วยสกายวอล์กจากสถานีของสายสีม่วงมายังสถานีสายสีชมพูซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าเอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ งามวงศ์วาน-แคราย
ในอนาคตยังมีแผนเชื่อมต่อกับอาคารเอนกประสงค์ที่เป็นที่ตั้งของสถานีสายสีน้ำตาล
PK14 สถานีหลักสี่ สายสีแดงเข้ม สถานีหลักสี่ เชื่อมต่อด้วยสะพานลอยข้ามถนนวิภาวดีรังสิต
PK16 สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ สายสุขุมวิท สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นสถานีร่วมกับระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส
PK21 สถานีวัชรพล สายสีเทา สถานีวัชรพล
PK30 สถานีมีนบุรี สายสีส้ม สถานีมีนบุรี

เส้นทางคมนาคมทางน้ำ[แก้]

ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปยังเรือโดยสารต่างๆ ได้ที่สถานีดังต่อไปนี้

ทางเดินเข้าอาคาร[แก้]

ในบางสถานีผู้โดยสารสามารถเดินจากสถานีไปยังอาคารต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงได้ดังนี้

รูปแบบของโครงการ[แก้]

รถไฟฟ้ารางเดี่ยว แบบวางคร่อมราง 2 ทางวิ่ง
  • เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว แบบวางคร่อมราง (straddle-beam monorail)
  • ทางวิ่ง ยกระดับที่ความสูง 17-20 เมตร โดยเฉลี่ยตลอดทั้งโครงการ ยกเว้นช่วงสถานีศรีรัช สถานีหลักสี่ สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ และสถานีมีนบุรียกสูง 5 เมตร และช่วงข้ามทางพิเศษฉลองรัชยกสูง 27 เมตร ซึ่งเป็นระดับความสูงที่สูงสุดของโครงการ
  • คานรองรับทางวิ่ง (Guideway Beam) เป็นคอนกรีตหล่อสำเร็จ ควบคู่กับการใช้เหล็กหล่อในบางช่วง มีความกว้าง 69 เซนติเมตร สูง 2 เมตร มีรางที่ 3 ตีขนานไปกับรางวิ่งสำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับตัวรถ

ศูนย์ซ่อมบำรุงและศูนย์ควบคุมการเดินรถ[แก้]

โครงการมีศูนย์ซ่อมบำรุงและศูนย์ควบคุมการเดินรถอยู่บริเวณถนนร่มเกล้า ใกล้กับแยกรามคำแหง-ร่มเกล้า ในพื้นที่เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีมีนบุรี

สิ่งอำนวยความสะดวก[แก้]

มีอาคารจอดแล้วจร (park and ride) ที่สถานีปลายทาง (มีนบุรี) ซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม สามารถจอดรถได้สูงสุด 3,000 คัน

สถานี[แก้]

สถานีตลาดมีนบุรี

มีสถานีทั้งหมด 32 สถานี เป็นสถานียกระดับทั้งหมด

รูปแบบสถานี

ตัวสถานีมีความยาว 150 เมตร ออกแบบให้รองรับขบวนรถไฟฟ้าได้สูงสุด 7 ตู้ต่อหนึ่งขบวน โดยมีรูปแบบชานชาลาถึงสี่รูปแบบในโครงการเดียว ดังต่อไปนี้

ตัวสถานีออกแบบให้มีประตูกั้นชานชาลาแบบครึ่งความสูงทุกสถานี หลบเลี่ยงสาธารณูปโภคทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงออกแบบให้รักษาสภาพผิวจราจรบนถนนให้ได้มากที่สุด และมีเสายึดสถานีอยู่บริเวณเกาะกลางถนน และบริเวณพื้นที่ว่างในบางสถานี

ขบวนรถไฟฟ้า[แก้]

รถไฟฟ้าโมโนเรล รุ่น อัลสตอม อินโนเวีย โมโนเรล 300 หมายเลข PM12

รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู เลือกใช้รถไฟฟ้ารุ่น อินโนเวีย โมโนเรล 300 จากอัลสตอม (บอมบาร์ดิเอร์ เดิม) ผลิตโดยซีอาร์อาร์ซี ผู่เจิ้น อัลสตอม ทรานสปอร์เทชัน ซิสเท็ม (CRRC-PATS) ในมณฑลอานฮุย ประเทศจีน ขนาดกว้าง 3.147 เมตร ยาว 11.8-13.2 เมตร สูง 4.06 เมตร (เมื่อคร่อมรางทั้งหมด) จุผู้โดยสารสูงสุด 356 คนต่อตู้ (คำนวณจากอัตราความหนาแน่นที่ 4 คน/ตารางเมตร) มีทั้งหมด 30 ขบวน 120 ตู้ รับไฟฟ้ากระแสตรง 750 โวลท์ จากรางที่ 3 ที่ติดตั้งด้านข้างคานรองรับทางวิ่งเพื่อป้อนระบบขับเคลื่อนรถ ตัวยางล้อใช้ยางรุ่น เอ็กซ์ เมโทร จากมิชลิน ประเทศไทย ติดตั้งระบบระบบปรับอากาศและสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 15,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ในอนาคตสามารถเพิ่มจำนวนตู้โดยสารเป็น 7 ตู้ต่อขบวน สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 28,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ขบวนรถสามารถขับเคลื่อนจากจุดจอดแต่ละสถานีได้เองโดยไม่ต้องใช้คนควบคุมหรือสั่งการ

ระบบในการเดินรถ[แก้]

ในการเดินรถไฟฟ้าได้นำระบบอาณัติสัญญาณ CITYFLO 650 ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการควบคุมการเดินรถโดยอัตโนมัติ เพื่อให้การบริการมีประสิทธิภาพ, สะดวกรวดเร็ว, ปลอดภัยสูงสุด และรองรับการเดินรถไฟฟ้าแบบไม่ใช่คนควบคุมขบวนรถ (Driverless Operation)

การให้บริการ[แก้]

การดำเนินการ[แก้]

รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูใช้วิธีการมอบสัมปทานทั้งโครงการให้เป็นของเอกชนรายเดียวที่เสนอขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลต่ำที่สุด โดยสัมปทานเป็นของ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (Northern Bangkok Monorail; NBM) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนโดยกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เดิม) ระยะเวลาสัมปทาน 33 ปี 3 เดือน แบ่งเป็นระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน (39 เดือน) และดำเนินการงานเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง 30 ปี โดยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบคือ ซิโน-ไทย เป็นผู้ดำเนินการงานโยธาทั้งหมดของโครงการ รวมถึงเป็นผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการก่อสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรลจากอัลสตอม และได้จดสิทธิบัตรเป็นของบริษัทฯ ใน พ.ศ. 2562 ราช กรุ๊ป เป็นผู้สนับสนุนการติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในโครงการ และบีทีเอส กรุ๊ป เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในโครงการสูงสุด เป็นผู้ติดตั้งงานระบบที่เกี่ยวข้อง และเป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียว โดยเอ็นบีเอ็มใช้วิธีการว่าจ้างให้ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี เป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าทั้งระบบตลอดอายุสัญญา ในส่วนของการพัฒนาและบริหารพื้นที่บนสถานีและป้ายโฆษณาบนสถานีและบนตัวรถ เป็นกรรมสิทธิ์ของ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) ตลอดอายุสัญญาสัมปทานเช่นกัน

การให้บริการปกติ[แก้]

รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู เปิดให้บริการเดินรถในแต่ละสถานีไม่เท่ากัน โดยเริ่มเดินรถขบวนแรกในเวลา 05.30 น. จากสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี และสถานีมีนบุรี แต่เปิดทำการห้องจำหน่ายบัตรโดยสารในเวลา 06.00 - 24.00 น. (ปิดรับชำระด้วยบัตรเครดิตเวลา 22.00 น.) โดยมีความถี่การเดินรถปกติที่ 10 นาที/ขบวน และ 5 นาที/ขบวนในช่วงเวลาเร่งด่วน ในส่วนของเวลาปิดให้บริการตามปกติ รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู จะมีขบวนรถไฟฟ้าวิ่งรับส่งผู้โดยสารจนถึงเวลา 00.45 น.

อัตราค่าโดยสาร[แก้]

เครื่องจำหน่ายบัตรโดยสารอัตโนมัติ

รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ใช้ระบบเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติเช่นเดียวกับรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยจะจัดเก็บค่าโดยสารตามระยะทางที่เดินทางจริงตั้งแต่สถานีเริ่มต้นที่ผู้โดยสารเข้าระบบ (สถานีที่ 0) จนถึงสถานีปลายทาง ซึ่งผู้โดยสารจะมีระยะเวลาอยู่ในระบบได้ไม่เกิน 120 นาที หากเกินจากเวลาที่กำหนดจะต้องชำระค่าปรับเป็นอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรลเรียกเก็บในขณะนั้น อนึ่งอัตราค่าโดยสารที่ประกาศเรียกเก็บมีอายุ 2 ปีนับจากวันที่ 7 มกราคมของปีที่มีประกาศปรับอัตราค่าโดยสารเป็นลายลักษณ์อักษรจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จนถึงวันที่ 6 มกราคมในอีก 2 ปีถัดมา หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงจาก รฟม. โดยรอบการปรับค่าโดยสารเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2567 นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล เรียกเก็บอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 15-45 บาท

กรณีเดินทางจากรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ไปเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) และสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) ภายใต้เงื่อนไขบัตรโดยสารแบบ EMV ใบเดียวกัน ผู้โดยสารจะได้รับการยกเว้นค่าแรกเข้าระบบ และจ่ายอัตราค่าโดยสารเพิ่มตามระยะทาง โดยที่ผู้โดยสารที่เดินทางจากสายสีชมพูไปสายสีม่วง จะได้รับการยกเว้นค่าแรกเข้าของสายสีม่วง 14 บาท และผู้โดยสารที่เดินทางจากสายม่วงไปสายสีชมพู จะได้รับการยกเว้นค่าแรกเข้าของสายสีชมพู 15 บาท และเมื่อรวมกับค่าแรกเข้าของสายสีน้ำเงิน 14 บาท ผู้โดยสารจะได้รับการยกเว้นค่าแรกเข้าสูงสุด 29 บาท ทั้งนี้ผู้โดยสารจะต้องชำระค่าโดยสารเต็มจำนวนทั้งสองระบบ และระบบของ รฟม. จะคืนเงินเข้าบัตรเครดิต/เดบิตให้ภายใน 3 วันทำการ โดยผู้โดยสารต้องแตะบัตรเข้าระบบอีกระบบหนึ่งภายในระยะเวลา 30 นาที นับจากเวลาที่แตะออกจากระบบ มิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์การเชื่อมต่อระบบในการเดินทางครั้งนั้น

ในส่วนของการเดินทางจากรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ไปเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส (สายสีเขียว) ผู้โดยสารสามารถออกบัตรโดยสารเที่ยวเดียวจากสถานีในสายสีชมพูหรือจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หรือใช้บัตรแรบบิทในการเดินทาง จะสามารถเชื่อมต่อระหว่าง 2 ระบบได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากระบบที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ โดยผู้โดยสารต้องชำระค่าโดยสารของทั้งสองระบบเต็มจำนวน กล่าวคือค่าโดยสารของสายสีชมพูรวมกับค่าโดยสารของรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่หากผู้โดยสารเดินทางด้วยบัตร EMV Contactless จากรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู จะต้องออกจากระบบที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุก่อนแล้วใช้บัตรแรบบิทหรือบัตรโดยสารเที่ยวเดียวของรถไฟฟ้าบีทีเอสเข้าระบบที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุอีกครั้งเพื่อเดินทางต่อ[1] หากผู้โดยสารไม่แตะบัตรออกจากระบบก่อน ผู้โดยสารจะถูกปรับในกรณีเดียวกันกับการอยู่ในระบบเกิน 120 นาที คือจะถูกหักค่าโดยสารในรูปแบบค่าปรับ คืออัตราค่าโดยสารสูงสุดที่นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรลเรียกเก็บในขณะนั้น รวมกับค่าโดยสารนับจากสถานีที่แตะเข้าระบบจนถึงสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ อย่างไรก็ตามผู้โดยสารยังคงสามารถชำระค่าโดยสารในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสเต็มจำนวน (นับจากสถานีวัดพระศรีมหาธาตุจนถึงสถานีปลายทาง) ได้ที่สถานีปลายทางโดยไม่เสียค่าปรับเพิ่มเติม

ทั้งนี้ นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล และ รฟม. มีนโยบายลดค่าโดยสารให้กับผู้ถือบัตรโดยสารแรบบิทแบบเติมเงิน ประเภทผู้สูงอายุ โดยลดค่าโดยสาร 50% จากอัตราปกติที่นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรลเรียกเก็บ กล่าวคือผู้ถือบัตรประเภทผู้สูงอายุจะเรียกเก็บอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 8-23 บาท คิดตามจริงตั้งแต่สถานีที่ 0 รวมกับระยะทางที่เดินทางจริง รวมถึงยังมีนโยบายสนับสนุนค่าโดยสารให้กับผู้รับสิทธิ์สวัสดิการแห่งรัฐ โดยผู้ได้รับสิทธิ์สามารถยื่นบัตรประชาชนเพื่อออกบัตรโดยสารได้ที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสาร ทั้งนี้ต้องไม่เกินงบค่าโดยสารสูงสุด 500 บาท/เดือน หากเกิน นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จะออกบัตรโดยสารที่มีมูลค่าต่ำสุด (15 บาท) ให้ผู้โดยสารแตะเข้าระบบ และผู้โดยสารต้องชำระส่วนต่างเพิ่ม ณ สถานีปลายทาง และไม่สามารถใช้สิทธิ์เชื่อมต่อระบบเพื่อรับสิทธิ์การยกเว้นค่าแรกเข้าในระบบที่สองได้

ผู้พิการ[แก้]

การออกตั๋วโดยสารให้ผู้พิการ จะต้องออกตั๋วกระดาษ โดยเจ้าพนักงานของรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ต้องเซ็นกำกับที่ตั๋วทุกครั้งและอาจต้องแสดงตั๋วกับพนักงานรักษาความปลอดภัยก่อนออกจากสถานีต้นทาง เมื่อถึงที่หมายจะมีเจ้าพนักงานหรือพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยรับผู้โดยสารบริเวณชานชาลาเพื่ออำนวยความสะดวกในการพาไปยังทางออกที่ต้องการ และมีเจ้าพนักงานมีอำนาจในการเปิดหรือปิดประตูรับตั๋วบริเวณทางออกซึ่งต้องเป็นเจ้าพนักงานของรถรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูเท่านั้น

การช่วยเหลือคนที่มีความต้องการพิเศษ[แก้]

เจ้าพนักงานของรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยมีความเต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้มีความพิการ อาทิการจูงผู้พิการทางสายตาไปยังสถานี การให้บริการติดตามผู้โดยสารที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น การสนับสนุนสะพานเชื่อมชานชาลา สำหรับผู้โดยสารที่ใช้รถเข็น รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสำหรับรถเข็น การนำพาผู้โดยสารไปยังที่นั่งสำรองพิเศษภายในขบวนรถ หรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีโดยให้พนักงานเดินทางไปด้วย เช่นผู้โดยสารที่เดินทางครั้งแรก ฯลฯ เพียงแจ้งให้เจ้าพนักงานที่สถานีทราบเท่านั้น

นอกจากนี้ รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ยังอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำสุนัขที่ได้รับการฝึกสำหรับนำทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าได้โดยไม่ถือเป็นการขัดต่อกฎการให้บริการฯ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยผู้โดยสารต้องแจ้งความประสงค์ให้เจ้าพนักงานที่สถานีรับทราบเพื่ออำนวยความสะดวกเป็นกรณีพิเศษ

อาคารจอดแล้วจร[แก้]

รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู มีบริการอาคารจอดรถและจุดจอดรถจักรยานยนต์ 1 แห่ง ได้แก่อาคารจอดรถบริเวณถนนรามคำแหง ให้บริการโดยบีทีเอสซี ผู้ที่ใช้บริการจะได้รับบัตรจอดรถซึ่งผู้โดยสารจะต้องแตะบันทึกส่วนลดที่สถานีมีนบุรี จากนั้นผู้โดยสารจะต้องนำบัตรมาคืนที่จุดคืนบัตรจอดรถอัตโนมัติ พร้อมชำระค่าจอดรถและรับรถคืนภายในเวลาที่กำหนด กล่าวคือเฉพาะเวลา 05.00-01.00 น. เท่านั้น แต่หากลืมแตะบัตรจะคิดในราคาเท่ากับผู้ไม่ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู คือ 20 บาทต่อชั่วโมง การจอดรถนานเกินช่วงเวลาดังกล่าวจะมีอัตราโทษปรับตามเกณฑ์ที่กำหนดในขณะนั้นๆ ปัจจุบันคือ 400 บาท รวมกับค่าจอดรถของวันที่มารับรถ เนื่องจากไม่รับฝากรถข้ามคืน อนึ่ง ผู้โดยสารสามารถใช้บัตรแรบบิทแตะเข้าอาคารจอดแล้วจรสถานีมีนบุรีได้โดยไม่ต้องออกบัตรจอดรถ และสามารถใช้บัตรแรบบิทใบเดิม ชำระค่าจอดรถและนำรถออกจากอาคารจอดแล้วจรได้ทันที ทั้งนี้หากผู้โดยสารทำบัตรจอดรถหาย หรือทำบัตรแรบบิทที่ใช้เข้าจอดรถหาย จะต้องชำระค่าปรับในการนำรถออกจากอาคาร 400 บาท หากจอดรถค้างคืนด้วย จะต้องชำระเพียงค่าจอดรถค้างคืนตามอัตราที่บีทีเอสซีกำหนด

นอกจากอาคารจอดแล้วจร รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูยังมีพื้นที่จอดรถสำหรับการจอดรถรายวันให้ที่สถานีหลักสี่ บริเวณสถานีรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง และพื้นที่จอดรถเอกชนให้บริการตามสถานีต่าง ๆ อีกด้วย

บริการอื่น ๆ[แก้]

  • ร้านค้า มีบริการร้านค้าขนาดย่อม ให้บริการโดยซุปเปอร์ เทอร์เทิลทุกสถานี ซึ่งรวมทั้งร้านค้าบริการ ร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต "เทอร์เทิล" กับร้านยา "เซฟดรัก" และร้านกาแฟ "เทอร์เทิล คอฟฟี" บริเวณชั้น Concourse และตู้จำหน่ายสินค้าบริเวณชานชาลา โดยรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูได้มีการอนุโลมให้ผู้โดยสารสามารถรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่ซื้อจากร้านค้าภายในสถานีภายในบริเวณพื้นที่ตรวจบัตรโดยสารแล้วรวมถึงพื้นที่ชานชาลาได้ แต่ไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มที่ยังรับประทานไม่เสร็จเข้าสู่ขบวนรถไฟฟ้า จนกว่าจะจัดเก็บให้มิดชิดก่อนเข้าสู่ขบวนรถไฟฟ้า
  • ตู้ถอนเงิน มีบริการตู้ถอนเงินในทุกสถานีจากหลากหลายธนาคาร
  • โทรศัพท์ โครงการได้ร่วมมือกับ เอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ เอช ในการวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สาย และวางเสาสัญญาณ 3จี 4จี และ 5จี ในสถานีและตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการลูกค้าของแต่ละเครือข่าย

ส่วนต่อขยาย[แก้]

รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูมีแผนต่อขยายสายทางจากสถานีเมืองทองธานี เป็นสายแยกเข้าสู่เมืองทองธานีในชื่อ "อิมแพ็คลิงก์" ซึ่งเป็นข้อเสนอพิเศษจากกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ โดยเส้นทางจะเริ่มจากสถานีเมืองทองธานี วิ่งเข้าสู่ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 (ซอยเข้าศูนย์ประชุมอิมแพ็ค) ใต้ทางพิเศษอุดรรัถยา ไปจนสุดพื้นที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระยะทาง 3.7 กิโลเมตร มีสถานีทั้งสิ้น 2 สถานี คือ สถานีอิมแพ็ค เมืองทองธานี และสถานีทะเลสาบเมืองทองธานี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2567

นอกจากนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ยังได้ทำการศึกษาเส้นทางเดินรถเพิ่มเติมอีก 2 ส่วนเพื่อเสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. บรรจุลงในแผนแม่บทโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่สอง (M-Map Phase 2) โดยเส้นทางส่วนต่อขยายที่ได้ศึกษา ส่วนแรกจะต่อขยายจากปลายสายทางบริเวณภายในศูนย์ซ่อมบำรุงออกมายังถนนร่มเกล้าตามแบบที่กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ได้สร้างเตรียมไว้ให้ แล้วมุ่งหน้าต่อบนถนนร่มเกล้า ตัดผ่านถนนเจ้าคุณทหาร ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ - ชลบุรี) ถนนลาดกระบัง เข้าสู่ถนนสุวรรณภูมิ 2 และสิ้นสุดที่อาคารรถโดยสาร (Bus Terminal) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะทาง 8.7 กิโลเมตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเพื่อให้ผู้โดยสารจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครตอนเหนือได้อย่างรวดเร็ว และส่วนที่ 2 จะเป็นส่วนต่อขยายของสายแยกอิมแพ็คลิงก์ จากปลายทางบริเวณสถานีทะเลสาบเมืองทองธานี ไปตามแนวซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 เพื่อสิ้นสุดที่ปากทางถนนติวานนท์ ระยะทาง 2.1 กิโลเมตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพูเข้าสู่ถนนติวานนท์ ตลอดจนภายในบริเวณซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนที่ประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น

อุบัติเหตุ[แก้]

เหตุรางนำไฟฟ้าถล่ม[แก้]

เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ได้รับแจ้งมีเหตุรางเหล็กของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ตกหล่นลงมาโดนรถยนต์เสียหายจำนวน 3 คันและมีเสาไฟฟ้าแรงสูงหักอีก 1 ต้น เหตุเกิดหน้าตลาดกรมชลประทาน ถนนติวานนท์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงไปตรวจสอบ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าและเจ้าหน้าที่ของรถไฟฟ้าเข้าตรวจสอบ[2][3] ต่อมา นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล แถลงถึงผลการตรวจสอบพบว่ารางดังกล่าวเป็นรางนำไฟฟ้า (Conductor rail) หลุดร่วงลงมาเป็นระยะทางรวม 4.3 กิโลเมตร ตั้งแต่สถานีแครายถึงสถานีสามัคคี พบน็อตกับคลิปล็อกหลุดตามระยะทางเป็นจำนวนมาก และพบคราบเขม่าควันที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหนึ่งจุด สาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากอุบัติเหตุโดยประมาทเลินเล่อของผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการ (บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน)) ที่ใช้รถเครนถอนเหล็กเข็มพืด (Sheet pile) ความยาวประมาณ 10 เมตรบริเวณปากซอยติวานนท์ 34 แล้วหัวเครนไปเกี่ยวเข้ากับรางนำไฟฟ้าพอดี จนทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร และรางนำไฟฟ้าตกระดับ ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวบริษัทได้นำรถไฟฟ้าเปล่าวิ่งทดสอบประจำวัน แรงสั่นสะเทือนจึงส่งผลให้รางนำไฟฟ้าหลุดร่วงลงมา และด้วยความที่เป็นช่วงสับราง (Guide switch) ที่ใช้รางยาวพิเศษท่อนละ 12 เมตร จึงส่งผลให้รางนำไฟฟ้าตั้งแต่ช่วงสถานีแครายจนถึงสถานีสามัคคีหลุดร่วงลงมา และขบวนรถไฟฟ้าเสียหาย 1 ขบวนบริเวณขาแปรงรับไฟฟ้าและล้อนำราง

เบื้องต้น นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล คาดว่าการซ่อมแซมจะเกิดขึ้นได้หลังปีใหม่ เนื่องจากอะไหล่สำรองที่เตรียมไว้มีไม่พอประกอบกับติดช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ ทำให้การซ่อมบำรุงไม่สามารถดำเนินการได้ในทันที และเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้เป็นช่วงทดลองให้บริการ นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล และ รฟม. ได้ตกลงที่จะเลื่อนการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์และการเก็บค่าโดยสารจากเดิมในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2567 โดยจัดเก็บค่าโดยสารเฉพาะช่วงกรมชลประทาน-มีนบุรี ในอัตราพิเศษลด 15% จากอัตราปกติ (เริ่มต้น 13 บาท สูงสุด 38 บาท) ส่วนช่วงศูนย์ราชการนนทบุรี-กรมชลประทานจะยังไม่จัดเก็บค่าโดยสารจนกว่าการซ่อมบำรุงจะเสร็จสิ้น (ยกเว้นการเข้า-ออกสถานีกรมชลประทานสถานีเดียว ผู้โดยสารต้องชำระค่าผ่านระบบ 13 บาท) ทั้งนี้ รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ได้ปรับรูปแบบการให้บริการแบ่งเป็นสองช่วง ได้แก่ช่วงสถานีมีนบุรี-สถานีกรมชลประทาน ให้บริการตามปกติทั้ง 2 ชานชาลา ความถี่ 10 นาที/ขบวน นอกช่วงเวลาเร่งด่วน และ 5 นาที/ขบวน ในช่วงเวลาเร่งด่วน และช่วงสถานีกรมชลประทาน-สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ให้บริการแบบ Shuttle Train โดยใช้เพียงชานชาลาเดียว ความถี่ 20 นาที/ขบวน[4]

กระทรวงคมนาคม รฟม. และ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล ได้ร่วมตรวจความพร้อมการให้บริการหลังซ่อมแซมรางนำกระแสไฟฟ้า โดยได้ข้อสรุปสำหรับการเปิดบริการครบทั้ง 30 สถานี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป[5]

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]