ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 1994
รายการ | ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 1993–94 | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||
วันที่ | 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1994 | ||||||
สนาม | สนามกีฬาโอลิมปิก, เอเธนส์ | ||||||
ผู้ตัดสิน | ฟิลิป ดอน (อังกฤษ) | ||||||
ผู้ชม | 70,000 | ||||||
ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 1994 เป็นการแข่งขันระหว่างสโมสรเอซี มิลานของอิตาลี และสโมสรบาร์เซโลนาของสเปนโดยแข่งขันเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1994 ที่ สนามกีฬาโอลิมปิกในกรุงเอเธนส์ประเทศกรีซ
หลังจากคว้าแชมป์ลาลิกาได้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน บาร์เซโลนาก็เป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี การเตรียมตัวของมิลานก่อนรอบชิงชนะเลิศเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงเนื่องจากนักเตะที่บาดเจ็บหรือโดนโทษแบนและปัญหาอื่น ๆ มาร์โก ฟัน บัสเติน กองหน้าในตำนานของมิลาน และจันลุยจี เลนตินี ดาวรุ่งที่น่าจับตามองค่าตัว 13 ล้านยูโร (เป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกในขณะนั้น) ต่างก็ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ฟรันโก บาเรซี และอาเลสซันโดร กอสตากูร์ตา สองกองหลังต่างก็ติดโทษแบน กฎระเบียบของยูฟ่าในขณะนั้นจำกัดให้แต่ละทีมส่งผู้เล่นต่างชาติลงสนามได้สูงสุด 3 คน ทำให้ฟาบีโอ กาเปลโล กุนซือของมิลานในตอนนั้นต้องตัดชื่อฟลอริน ราดูซิอู, ฌ็อง-ปีแยร์ ปาแป็ง และไบรอัน เลาโตรปออกไป ทางฝั่งของบาร์เซโลนา กฎดังกล่าวทำให้โค้ชโยฮัน ไกรฟฟ์ เลือกที่จะไม่ส่งมีเคล เลาโตรปลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งทำให้กาเปลโลต้องออกมากล่าวหลังเกมว่า "เลาโตรปเป็นคนที่ผมกลัว แต่ไกรฟฟ์กลับไม่ส่งเขาลงสนาม และนั่นคือความผิดพลาดของเขา"[1] เลาโตรปย้ายออกจากบาร์เซโลนาไปอยู่กับคู่แข่งตลอดกาลอย่างเรอัลมาดริดเมื่อจบฤดูกาล
มิลานเล่นด้วยชุดเยือนสีขาวล้วน ซึ่งโดยปกติพวกเขาจะใช้ในรอบชิงชนะเลิศของ ยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ขณะที่บาร์เซโลนาเล่นด้วยชุดเหย้าสีแดงและน้ำเงิน มิลานครองเกมได้ในช่วงต้นเกม และได้รับประตูขึ้นนำเมื่อเดยัน ซาวิเชวิชวิ่งมาทางด้านขวาแล้วจ่ายบอลให้กับดานิเอเล มัสซาโร ยิงเข้าไปตุงตาข่าย มาสซาโรทำประตูที่สองได้สำเร็จก่อนหมดครึ่งแรก ทำให้สกอร์เป็น 2–0 จากการโซโล่ของโรแบร์โต โดนาโดนีไปทางปีกซ้าย[2]
ในนาทีที่ 47 ซาวิเชวิชใช้ประโยชน์จากข้อผิดพลาดในแนวรับของมิเกล อันเฆล นาดาล ด้วยการชิปบอลข้ามหัวอันโดนี ซูบีซาร์เรตา ผู้รักษาประตูเป็นประตูที่สาม แปดนาทีต่อมา หลังจากซาวิเชวิชยิงชนเสาและแนวรับของบาร์เซโลน่าเคลียร์บอลไม่ขาด มาร์เซล เดอไซญี กองกลางของมิลานก็หลุกกับดักล้ำหน้าเข้าไปยิงประตูเป็น 4–0 ก่อนจบลงด้วยสกอร์นี้[3] เดอไซญีกลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่คว้าแชมป์ได้ 2 ปีติดต่อกันกับอีกสโมสรหลังจากคว้าแชมป์กับมาร์แซย์ในปี ค.ศ. 1993[4]
ทีม
[แก้]ในตารางต่อไปนี้ รอบชิงชนะเลิศจนถึงปี 1992 อยู่ในยุคของการแข่งขันฟุตบอลยูโรเปียนคัพ ส่วนปี 1993 อยู่ในยุคของการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ทีม | การปรากฏตัวในรอบชิงชนะเลิศครั้งก่อน (ตัวหนาหมายถึงผู้ชนะ) |
---|---|
![]() |
6 (1958, 1963, 1969, 1989, 1990, 1993 ) |
![]() |
3 (1961, 1986, 1992 ) |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Ortego, Enrique (20 May 1994). "La lección táctica de Fabio Capello, cura de humildad para Johan Cruyff" [Fabio Capello's tactical lesson, humbling for Johan Cruyff]. ABC (ภาษาสเปน). Seville. p. 92. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 January 2025. สืบค้นเมื่อ 8 January 2025.
- ↑ Leach, Conrad (31 May 2016). "Golden Goal: Daniele Massaro for Milan v Barcelona (1994)". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 12 May 2020.
- ↑ Thomas, Russell (13 December 2007). "Milan style - how the Guardian saw the 1994 final". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 1 May 2020.
- ↑ Smyth, Rob (13 May 2020). "Milan v Barcelona 1994 Champions League final: as it happened". Guardian. สืบค้นเมื่อ 14 May 2020.