มาสเตอร์การ์ด
โลโกที่ใช้ตั้งแต่ ค.ศ. 2019 โดยสัญลักษณ์ปัจจุบันตั้งแต่ ค.ศ. 2016 โดยไม่มีอักษรสัญลักษณ์ "Mastercard" | |
| ประเภท | มหาชน |
|---|---|
การซื้อขาย |
|
| ISIN | US57636Q1040 |
| อุตสาหกรรม | บริการทางการเงิน |
| ก่อตั้ง | 1966 |
| สำนักงานใหญ่ | 2000 เพอร์เชสสตรีต เพอร์เชส รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ |
| พื้นที่ให้บริการ | ทั่วโลก |
| บุคลากรหลัก |
|
| ตราสินค้า | |
| บริการ | |
| รายได้ | |
รายได้จากการดำเนินงาน | |
รายได้สุทธิ | |
| สินทรัพย์ | |
| ส่วนของผู้ถือหุ้น | |
พนักงาน | 35,300 (2024) |
| เว็บไซต์ | mastercard |
| เชิงอรรถ / อ้างอิง [1][2] | |
มาสเตอร์การ์ด อิงก์ (อังกฤษ: Mastercard Inc.) (ใช้ชื่อ MasterCard ตั้งแต่ ค.ศ. 1979 ถึง 2016 และเปลี่ยนเป็น Mastercard ตั้งแต่ ค ศ. 2016 ถึง 2019) เป็นบริษัทบริการบัตรชำระเงินข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เพอร์เชส รัฐนิวยอร์ก[3] นำเสนอการประมวลผลธุรกรรมการชำระเงินที่หลากหลายและบริการที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินอื่น ๆ (เช่น การชำระเงินและการจองที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง) ธุรกิจหลักของบริษัททั่วโลกคือการประมวลผลการชำระเงินระหว่างธนาคารของร้านค้ากับธนาคารผู้ออกบัตรหรือเครดิตยูเนียนของผู้ซื้อที่ใช้บัตรเดบิต บัตรเครดิต และบัตรเติมเงินภายใต้ตรามาสเตอร์การ์ดเพื่อทำการซื้อสินค้า เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ ค.ศ. 2006
มาสเตอร์การ์ด (เดิมชื่อ อินเตอร์แบงก์ และต่อมาคือ มาสเตอร์ชาร์จ)[4] ถูกสร้างขึ้นจากการรวมตัวกันของธนาคารหลายแห่งและสมาคมบัตรธนาคารระดับภูมิภาค เพื่อตอบโต้แบงค์อเมริการ์ด (BankAmericard) ที่ออกโดยแบงก์ออฟอเมริกา ซึ่งต่อมากลายเป็นวีซาและยังคงเป็นคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของมาสเตอร์การ์ดมาจนถึงปัจจุบัน มาสเตอร์การ์ดพร้อมด้วยวีซาได้เผชิญหน้ากับคดีความต่อต้านการผูกขาดหลายคดี ก่อนการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชนนั้น มาสเตอร์การ์ดเวิลด์ไวด์ (Mastercard Worldwide) เป็นสหกรณ์ที่เป็นเจ้าของโดยสถาบันการเงินมากกว่า 25,000 แห่งที่ออกบัตรภายใต้ตราของบริษัท
ประวัติศาสตร์
[แก้]แม้ว่าแบงก์อเมริการ์ดที่เปิดตัวในเดือนกันยายน ค.ศ. 1958 จะประสบความล้มเหลวครั้งใหญ่[5] แต่ก็เริ่มทำกำไรได้ภายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1961[6] แบงก์ออฟอเมริกาจงใจเก็บข้อมูลนี้ไว้เป็นความลั และปล่อยให้ความเข้าใจในแง่ลบที่แพร่หลายในขณะนั้นคงอยู่เพื่อป้องกันคู่แข่ง[7] กลยุทธ์นี้สำเร็จจนกระทั่ง ค.ศ. 1966 ซึ่งเป็นช่วงที่กำไรของแบงก์อเมริการ์ดกลายเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะปกปิด[7] ตั้งแต่ ค.ศ.1960 ถึง 1966 มีบัตรเครดิตใหม่เปิดตัวในสหรัฐเพียง 10 ใบ แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 1966 ถึง 1968 มีการเปิดตัวบัตรเครดิตถึงประมาณ 440 ใบโดยธนาคารทั้งขนาดเล็กและใหญ่ทั่วประเทศ[7] ผู้มาใหม่เหล่านี้ได้รวมตัวกันอย่างรวดเร็วเป็นสมาคมบัตรธนาคารระดับภูมิภาค[8]
เหตุผลหนึ่งที่ธนาคารส่วนใหญ่เลือกจะรวมพลังกันเป็นเพราะในขณะนั้นมี 16 รัฐที่จำกัดความสามารถของธนาคารในการดำเนินการผ่านสาขา ในขณะที่ 15 รัฐห้ามการมีสาขาของธนาคารโดยสิ้นเชิงและกำหนดให้เป็นธนาคารอิสระ (unit banking)[9] ธนาคารอิสระสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้เพียงแห่งเดียว ทำให้มีขนาดเล็กมาก[9] การเข้าร่วมสมาคมบัตรธนาคารระดับภูมิภาคทำให้ธนาคารอิสระสามารถเพิ่มบัตรเครดิตเข้าไปในผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว และบรรลุการประหยัดจากขนาดโดยการจ้างภารกิจงานส่วนหลังที่น่าเบื่อ เช่น การบริการบัตร ไปยังสมาคม[8] สมาคมเหล่านี้ยังช่วยให้ธนาคารอิสระสามารถรวบรวมฐานลูกค้าและเครือข่ายร้านค้าของตนเพื่อทำให้บัตรเครดิตมีประโยชน์ต่อทั้งลูกค้าและร้านค้า บัตรเครดิตในช่วงแรก ๆ ล้มเหลวเพราะสามารถใช้ได้ในวงจำกัดรอบธนาคารผู้ออกบัตรของตนเท่านั้น[9]
ใน ค.ศ. 1966 คาร์ล เอช. ฮิงก์ รองประธานบริหารของธนาคารมารีนมิดแลนด์ (Marine Midland Bank) ได้เชิญตัวแทนจากธนาคารอื่น ๆ หลายแห่งมาประชุมกันที่บัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก[10][11] มารีนมิดแลนด์เพิ่งเปิดตัวบัตรธนาคารระดับภูมิภาคของตัวเองในตลาดนิวยอร์กตอนเหนือ หลังแบงก์ออฟอเมริกาปฏิเสธคำขอใบอนุญาตระดับภูมิภาคสำหรับแบงก์อเมริการ์ดโดยให้เหตุผลว่ามารีนมิดแลนด์มีขนาดใหญ่เกินไป[12] ผลจากการประชุมที่บัฟฟาโลคือธนาคารหลายแห่งและสมาคมบัตรธนาคารระดับภูมิภาคตกลงจะรวมตัวกันเป็นอินเตอร์แบงค์การ์ด อิงก์ (Interbankard, Inc.)[10][11] ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นสมาคมบัตรอินเตอร์แบงก์ (ICA)[8] ภายในสิ้น ค.ศ. 1967 ICA มีสมาชิก 150 รายและฮิงก์ได้เป็นประธานของ ICA [12] ในที่สุดแบงก์ออฟอเมริกาก็เข้าร่วมมาสเตอร์การ์ดเช่นกัน[12] (ในศตวรรษที่ 21 แบงก์ออฟอเมริกาได้ฟื้นตรามาสเตอร์การ์ดขึ้นมาใหม่ในฐานะบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด ซึ่งยังคงเป็นอยู่จนถึงปัจจุบัน
ตราอินเตอร์แบงก์ใน ค.ศ. 1966 เริ่มแรกประกอบด้วยเพียงตัวอักษร "i" พิมพ์เล็กขนาดเล็กที่ไม่โดดเด่นอยู่ในวงกลมที่มุมล่างขวาของด้านหน้าบัตรอินเตอร์แบงก์แต่ละใบ ส่วนการออกแบบบัตรที่เหลือเป็นสิทธิ์ของธนาคารผู้ออกบัตรแต่ละแห่ง[13] โลโกขนาดเล็กนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอต่อการสร้างการรับรู้ตราสินค้าทั่วประเทศเพื่อแข่งขันกับผู้ประเดิมอย่างแบงก์อเมริการ์ด[13] ใน ค.ศ. 1969 อินเตอร์แบงก์พัฒนาตราสินค้าระดับชาติใหม่ "Master Charge: The Interbank Card" โดยการรวมวงกลมสีเหลืองและสีส้มที่ซ้อนกันของสมาคมบัตรธนาคารรัฐตะวันตก (Western States Bankcard Association) เข้ากับชื่อ "มาสเตอร์ชาร์จ" ที่คิดค้นโดยธนาคารแห่งชาติแห่งแรกของหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี[13]
ในปีเดียวกันนั้น เฟิสต์เนชันแนลซิตี้แบงก์ได้เข้าร่วมอินเตอร์แบงก์และรวมบัตรเอฟรีติงการ์ด (Everything Card) ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเข้ากับมาสเตอร์ชาร์จ
ใน ค.ศ. 1968 ICA และยูโรการ์ด (Eurocard) เริ่มต้นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ซึ่งทำให้ ICA เข้าถึงตลาดยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ยูโรการ์ดได้รับการยอมรับในเครือข่าย ICA ระบบบัตรแอกเซส (Access) จากสหราชอาณาจักรได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตร ICA/ยูโรการ์ด ใน ค.ศ. 1972[14]

ใน ค.ศ. 1979 Master Charge: The Interbank Card ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น MasterCard[14] ตั้งแต่ ค.ศ. 1980 บริษัทได้เปิดตัวบัตรใหม่พร้อมโลโกที่ปรับปรุงใหม่ บัตรยังคงใช้สัญลักษณ์วงกลมสีแดงและสีเหลืองที่ซ้อนกันซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกใน ค.ศ. 1969 และการออกแบบบัตรต่อ ๆ มาก็ยังคงใช้สัญลักษณ์นี้[15]
ใน ค.ศ. 1983 มาสเตอร์การ์ดอินเตอร์เนชันแนล อิงก์ (Mastercard International Inc.) กลายเป็นธนาคารแห่งแรกที่ใช้โฮโลแกรมเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความปลอดภัยบัตร[16] บริษัทได้เข้าซื้อเครือข่ายเอทีเอ็มเซอร์รัส (Cirrus) ใน ค.ศ. 1985[17]
ใน ค.ศ. 1997 มาสเตอร์การ์ดได้เข้าครอบครองบัตรแอกเซส ตราแอกเซสจึงถูกยกเลิกไป[ต้องการอ้างอิง] ใน ค.ศ. 2002 มาสเตอร์การ์ดอินเตอร์เนชันแนลได้รวมกิจการกับยูโรเพย์อินเตอร์เนชันแนล (Europay International) สมาคมผู้ออกบัตรเครดิตขนาดใหญ่อีกแห่งที่ยูโรการ์ดได้กลายเป็นส่วนหนึ่งใน ค.ศ. 1992[18] มาเตอร์การ์ดกลายเป็นบริษัทของเดลาแวร์คอร์ปอเรชัน (Delaware corporation) เนื่องจากการควบรวมกิจการ และเป็นการเตรียมการสำหรับการ IPO[19]
บริษัทซึ่งเคยถูกจัดตั้งขึ้นในลักษณะสหกรณ์ของธนาคาร ได้เสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน (IPO) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 โดยขายหุ้น 95.5 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 39 ดอลลาร์[20] หุ้นของบริษัทมีการซื้อขายใน NYSE ภายใต้สัญลักษณ์ MA โดยมีมูลค่าตามราคาตลาด 434 พันล้านดอลลาร์ ณ เดือนเมษายน ค.ศ. 2024[21] ข้อตกลงนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อรักษาคุณค่าของตราและลดต้นทุนด้านระเบียบให้เหลือน้อยที่สุด[19]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 มาสเตอร์การ์ดเวิลด์ไวด์ (Mastercard Worldwide) ตามที่ได้ถูกเปลี่ยนชื่อ ได้ขยายการให้บริการอีคอมเมิร์ซด้วยการเข้าซื้อกิจการดาตาแคช (DataCash) ผู้ให้บริการประมวลผลการชำระเงินและการจัดการการฉ้อโกง/ความเสี่ยงจากสหราชอาณาจักร[22][23] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2012 มาสเตอร์การ์ดประกาศขยายโครงการชำระเงินแบบไร้สัมผัสผ่านมือถือ โดยครอบคลุมตลาดต่าง ๆ ทั่วตะวันออกกลาง[24]
ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2014 มาสเตอร์การ์ดเข้าซื้อกิจการพินพอยต์ (Pinpoint) บริษัทจัดการโปรแกรมสะสมคะแนนชั้นนำของออสเตรเลียในจำนวนเงินที่ไม่เปิดเผย[25] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2017 มาสเตอร์การ์ดเข้าซื้อกิจการไบรเทเรียน (Brighterion) บริษัทที่มีทรัพย์สินทางปัญญาในด้านปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง[26] ไบรเทเรียนถือสิทธิบัตรหลายฉบับ[27]
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 มาสเตอร์การ์ดสร้างเครื่องคำนวณที่รวบรวมข้อมูลและวัดปริมาณการปล่อยแก๊สคาร์บอนของลูกค้าเพื่อช่วยให้พวกเขาทราบว่ามีส่วนทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนและภาวะโลกร้อนมากน้อยเพียงใด[28]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 ภายหลังการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย มาสเตอร์การ์ดประกาศว่าจะระงับการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในประเทศรัสเซีย[29]
วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2023 รัฐบาลจีนอนุมัติใบอนุญาตการหักบัญชีบัตรธนาคารในประเทศสำหรับการร่วมทุนที่มาสเตอร์การ์ดจัดตั้งขึ้นในประเทศจีน[30] ณ วันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 บริษัทร่วมทุนสามารถออกบัตรธนาคารมาสเตอร์การ์ดที่ใช้เงินหยวนจีนในการชำระเงินได้[31]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2024 มาสเตอร์การ์ดเข้าซื้อกิจการบริษัทด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เร็กคอร์ดฟิวเจอร์ (Recorded Future) ในราคา 2.65 พันล้านดอลลาร์[32]
บัตรโลหะไบโอเมตริก
[แก้]ในช่วงกลาง ค.ศ. 2025 มาสเตอร์การ์ดได้ทำให้การเปิดตัวบัตรเครดิตโลหะที่เปิดใช้งานไบโอเมตริกซึ่งสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม IDEX Pay เป็นไปอย่างเป็นทางการ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 บริษัทผู้ผลิตสัญชาติเกาหลีใต้ KONA I ได้รับหนังสืออนุมัติจากมาสเตอร์การ์ดให้ผลิตทั้งบัตรไบโอเมตริกพลาสติก (PVC) และบัตรโลหะ[33] บัตรเหล่านี้ฝังเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือไว้ภายในชิปที่ปลอดภัยของบัตร ทำให้สามารถยืนยันตัวตนผู้ถือบัตรได้โดยตรงบนบัตร สำหรับธุรกรรม EMV ในร้านค้าที่ไม่ต้องใส่ PIN พร้อมทั้งรับประกันว่าข้อมูลไบโอเมตริกจะไม่เคยถูกส่งออกจากบัตร[34]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2025 Eastern Bank PLC (EBL) ในประเทศบังกลาเทศ ร่วมกับมาสเตอร์การ์ด ได้เปิดตัวบัตรเครดิตโลหะไบโอเมตริกที่ออกในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกของโลก ภายใต้ระดับบัตร "World Elite" การเปิดตัวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ในธากา โดยมี IDEX Biometrics, KONA I, และ Infineon Technologies เป็นผู้สนับสนุนร่วม[35][36] บัตรดังกล่าวอนุญาตให้ใช้การยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือสำหรับธุรกรรม EMV รองรับการชำระเงินทั้งแบบสัมผัสและไร้สัมผัส และออกให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม Priceless Specials ของมาสเตอร์การ์ด[37][38]
คำถามที่พบบ่อยทั่วโลกของมาสเตอร์การ์ดระบุว่าบัตรชำระเงินไบโอเมตริกได้ถูกออกไปแล้วในกว่า 70 ตลาด สามารถทำงานร่วมกับเครื่องรับบัตร EMV และตู้ ATM มาตรฐานได้ ไม่จำเป็นต้องมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ และรองรับชุดอุปกรณ์สำหรับผู้ใช้ในการลงทะเบียนข้อมูลเอง[39]
การเงิน
[แก้]| ภูมิภาค | ยอดขายเป็นพันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ | ส่วนแบ่ง |
|---|---|---|
| เอเชียแปซิฟิก, ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา | 15.8 | 56.1% |
| อเมริกา | 12,4 | 43.9% |
| ปี | รายได้ (ล้านดอลลาร์สหรัฐ) |
รายได้จากการดำเนินงาน (ล้านดอลลาร์สหรัฐ) |
ราคาหุ้น (ล้านดอลลาร์สหรัฐ) |
พนักงาน[43] |
|---|---|---|---|---|
| 2005 | 2,938 | 393 | ||
| 2006 | 3,326 | 229 | 6.20 | |
| 2007 | 4,068 | 1,108 | 13.65 | |
| 2008 | 4,992 | −534 | 20.33 | |
| 2009 | 5,099 | 2,260 | 17.99 | 5,100 |
| 2010 | 5,539 | 2,752 | 22.01 | 5,600 |
| 2011 | 6,714 | 2,713 | 28.73 | 6,700 |
| 2012 | 7,391 | 3,937 | 41.58 | 7,500 |
| 2013 | 8,312 | 4,503 | 59.34 | 8,200 |
| 2014 | 9,441 | 5,106 | 75.33 | 10,300 |
| 2015 | 9,667 | 5,078 | 90.62 | 11,300 |
| 2016 | 10,776 | 5,761 | 94.50 | 11,900 |
| 2017 | 12,497 | 6,622 | 126.54 | 13,400 |
| 2018 | 14,950 | 7,282 | 186.16 | 14,800 |
| 2019 | 16,883 | 9,664 | 300.74 | 18,600 |
| 2020 | 15,301 | 8,081 | 370.00 | 21,000 |
| 2021 | 18,884 | 10,082 | 354.83 | 24,000 |
| 2022 | 22,237 | 12,264 | 347.73 | 29,900 |
| 2023 | 25,098 | 14,008 | 422.17 | 33,400 |
| 2024 | 28,167 | 15,582 | 524.23 | 35,300 |
ณ ค.ศ. 2024 มาสเตอร์การ์ดถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 164 ในรายชื่อฟอร์จูน 500 ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐวัดจากรายได้[44]
อำนาจทางการตลาด
[แก้]การดำเนินงานเครือข่ายประมวลผลการชำระเงินนั้นนำมาซึ่งความเสี่ยงของการมีพฤติกรรมที่ต่อต้านการแข่งขันเพราะมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (กล่าวคือ ลูกค้าและธนาคารของลูกค้าและร้านค้าและธนาคารของร้านค้า)[19]
มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่ต้องเผชิญกับคดีต่อต้านการผูกขาดมากมายทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ[45]
สหรัฐ
[แก้]มาสเตอร์การฺด พร้อมด้วยวีซา มีส่วนร่วมในการกีดกันอเมริกันเอ็กซ์เพรสอย่างเป็นระบบและทำควบคู่กันไปในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 มาสเตอร์การ์ดใช้ข้อกำหนดสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (exclusivity clauses) ในสัญญาและบัญชีดำ เพื่อป้องกันไม่ให้ธนาคารทำธุรกิจกับอเมริกันเอ็กซ์เพรส ข้อกำหนดกีดกันดังกล่าวและหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรอื่น ๆ ถูกใช้โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐในการดำเนินการทางกฎระเบียบต่อมาสเตอร์การ์ดและวีซา[46] ดิสคัฟเวอร์ (Discover) ก็ได้ฟ้องร้องมาสเตอร์การ์ดในประเด็นที่คล้ายกัน[45]
ทั้งมาสเตอร์การ์ดและวีซาได้จ่ายค่าเสียหายไปประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นผลมาจาคดีในศาลแบบกลุ่ม (class-action lawsuit) ที่ยื่นฟ้องในเดือนมกราคม ค.ศ. 1996 ในข้อหาการตรึงราคาค่าธรรมเนียมการรูดบัตรเดบิต[47] การดำเนินคดีดังกล่าวอ้างถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกหลายแห่งในฐานะโจทก์ รวมถึง วอลมาร์ต, เซียส์, โรบักแอนด์โค และเซฟเวย์[48]
ใน ค.ศ. 1996 ร้านค้าสี่ล้านแห่งได้ฟ้องร้องมาสเตอร์การ์ดในศาลรัฐบาลกลางข้อหาบังคับให้พวกเขายอมรับบัตรเดบิตหากต้องการรับบัตรเครดิตและเพิ่มค่าธรรมเนียมการรูดบัตรเครดิตขึ้นอย่างมาก คดีนี้ได้ข้อยุติด้วยการจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 2003 ซึ่งนับเป็นคำตัดสินให้ชดใช้ค่าเสียหายในคดีต่อต้านการผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์[45]
ใน ค.ศ. 1998 กระทรวงยุติธรรมได้ฟ้องร้องมาสเตอร์การ์ดเกี่ยวกับกฎที่ห้ามธนาคารผู้ออกบัตรของตนทำธุรกิจกับอเมริกันเอ็กซ์เพรสหรือดิสคัฟเวอร์ กระทรวงยุติธรรมเป็นฝ่ายชนะคดีใน ค.ศ. 2001 และคำตัดสินนั้นก็ยังคงอยู่แม้มีการอุทธรณ์ อเมริกันเอ็กซ์เพรสก็ได้ยื่นฟ้องด้วยเช่นกัน[45]
วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2001 มาสเตอร์การ์ดอินเตอร์เนชันแนล อิงก์ ถูกฟ้องร้องในข้อหาละเมิดรัฐบัญญัติการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและหลอกลวงของรัฐฟลอริดา[49]
วันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004 มาสเตอร์การืด อิงก์ ได้จ่ายค่าเสียหายให้แก่อเมริกันเอ็กซ์เพรส ด้วยพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันที่ขัดขวางไม่ให้อเมริกันเอ็กซ์เพรสสามารถออกบัตรผ่านธนาคารในสหรัฐได้[50] และได้จ่ายเงิน 1.8 พันล้านดอลลาร์เพื่อเป็นการยอมความ[51]
การตรึงค่าธรรมเนียมการรูดบัตรและการห้ามส่วนลดร้านค้า
[แก้]วันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางมีคำสั่งอนุมัติเบื้องต้นต่อข้อเสนอการยอมความในคดีในศาลแบบกลุ่ม[52] ที่ยื่นฟ้องใน ค.ศ. 2005 โดยร้านค้าและสมาคมการค้าต่าง ๆ ต่อมาสเตอร์การ์ดและวีซา คดีดังกล่าวถูกยื่นฟ้องเพราะข้อกล่าวหาเรื่องพฤติกรรมการตรึงราคาที่มาสเตอร์การ์ดและวีซานำมาใช้ ประมาณหนึ่งในสี่ของโจทก์ในกลุ่มที่ระบุชื่อได้ตัดสินใจจะไม่เข้าร่วมในข้อตกลงยอมความนี้ ผู้คัดค้านได้คัดค้านต่อข้อกำหนดที่จะห้ามการฟ้องร้องในอนาคตและป้องกันไม่ให้ร้านค้าเลือกจะไม่เข้าร่วมในส่วนสำคัญของข้อเสนอการยอมความ[53]
โจทก์กล่าวหาว่าวีซาและมาสเตอร์การ์ดได้ทำการตรึงค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคาร (interchange fees) หรือที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมการรูดบัตร (swipe fees) ซึ่งเรียกเก็บจากร้านค้าเพื่อแลกกับสิทธิในการรับบัตรชำระเงิน ในคำฟ้อง โจทก์ยังกล่าวหาว่าจำเลยได้แทรกแซงอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อขัดขวางไม่ให้ร้านค้าสนับสนุนให้ลูกค้าใช้วิธีการชำระเงินที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่น บัตรที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า เงินสด และเช็ค[53]
ข้อตกลงยอมความมูลค่า 6.24 พันล้านดอลลาร์ได้รับการอนุมัติเบื้องต้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019[54] ข้อตกลงยอมความมูลค่า 5.54 พันล้านดอลลาร์ได้รับการอนุมัติใน ค.ศ. 2019 ร้านค้าบางแห่งได้ยื่นอุทธรณ์ต่อข้อตกลงนี้และได้รับการพิจารณา คดียังคงดำเนินอยู่ ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2022[55]
ข้อตกลงยอมความคดีต่อต้านการผูกขาดกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ
[แก้]ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 มาสเตอร์การ์ดและวีซาได้บรรลุข้อตกลงยอมความกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐในคดีต่อต้านการผูกขาดอีกคดีหนึ่ง บริษัททั้งสองตกลงอนุญาตให้ร้านค้าที่แสดงโลโกของตนสามารถปฏิเสธบัตรบางประเภทได้ (เนื่องจากค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคารที่แตกต่างกัน) หรือเสนอส่วนลดให้กับผู้บริโภคสำหรับการใช้บัตรที่มีต้นทุนถูกกว่า[56]
ผู้ให้บริการเอทีเอ็ม
[แก้]มาสเตอร์การ์ด พร้อมด้วยวีซา ถูกฟ้องร้องในคดีแบบกลุ่มโดยผู้ให้บริการเอทีเอ็มที่อ้างว่ากฎของเครือข่ายบัตรเครดิตเหล่านี้เป็นการตรึงค่าธรรมเนียมการเข้าใช้เอทีเอ็มอย่างมีประสิทธิภาพ คดีดังกล่าวอ้างว่านี่เป็นการจำกัดการค้าซึ่งละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลาง คดีนี้ยื่นฟ้องโดยสภาเอทีเอ็มแห่งชาติและผู้ให้บริการเอทีเอ็มอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการกล่าวหาว่ากฎของเครือข่ายมาสเตอร์การ์ดและวีซาห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการเอทีเอ็มเสนอราคาที่ต่ำกว่าสำหรับธุรกรรมผ่านเครือข่ายเดบิตแบบใช้ PIN ที่ไม่ได้อยู่ในเครือวีซาหรือมาสเตอร์การ์ด คดีระบุว่าการตรึงราคานี้ทำให้ราคาที่ผู้บริโภคจ่ายเมื่อใช้เอทีเอ็มสูงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ จำกัดรายได้ที่ผู้ให้บริการเอทีเอ็มจะได้รับ และละเมิดข้อห้ามของรัฐบัญญัติเชอร์แมนที่ต่อต้านการจำกัดการค้าอย่างไม่มีเหตุผล โจนาทาน รูบิน ทนายความของฝ่ายโจทก์กล่าวว่า "วีซาและมาสเตอร์การ์ดเป็นหัวโจก ผู้จัดตั้ง และผู้บังคับใช้การสมรู้ร่วมคิดในหมู่ธนาคารสหรัฐเพื่อตรึงราคาค่าธรรมเนียมการเข้าใช้เอทีเอ็มเพื่อกีดกันการแข่งขัน"[57]
โอเชียเนีย
[แก้]ใน ค.ศ. 2003 ธนาคารกลางออสเตรเลียกำหนดให้ลดค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคารลงอย่างมาก จากประมาณ 0.95% ของธุรกรรมเหลือประมาณ 0.5%[ต้องการอ้างอิง] ผลลัพธ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือการใช้บัตรสะสมคะแนนลดลงและการใช้บัตรเดบิตเพิ่มขึ้น ออสเตรเลียยังห้ามกฎห้ามค่าธรรมเนียมเพิ่ม ซึ่งเป็นนโยบายที่กำหนดขึ้นโดยเครือข่ายบัตรเครดิตอย่างวีซาและมาสเตอร์การ์ดเพื่อป้องกันไม่ให้ร้านค้าเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิตจากผู้ถือบัตร การคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจะช่วยลดหรืออาจจะมากกว่าส่วนลดร้านค้าที่ร้านค้าต้องจ่าย แต่ก็จะทำให้ผู้ถือบัตรลังเลจะใช้บัตรเป็นวิธีการชำระเงินมากขึ้น ออสเตรเลียยังทำการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคารสำหรับบัตรเดบิตและได้พิจารณายกเลิกค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคารโดยสิ้นเชิง
ณ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2006 นิวซีแลนด์กำลังพิจารณาดำเนินการในลักษณะเดียวกัน ภายหลังการฟ้องร้องของคณะกรรมาธิการพาณิชยกรรมที่กล่าวหาว่าวีซาและมาสเตอร์การ์ดทำการตรึงราคา ในนิวซีแลนด์ ร้านค้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 1.8% ในทุก ๆ ธุรกรรมบัตรเครดิต[ต้องการอ้างอิง]
ยุโรป
[แก้]สหภาพยุโรปได้วิพากษ์วิจารณ์มาสเตอร์การ์ดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมการค้าแบบผูกขาด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 มาสเตอร์การ์ดบรรลุข้อตกลงยอมความกับสหภาพยุโรปในคดีต่อต้านการผูกขาด โดยให้สัญญาว่าจะลดค่าธรรมเนียมการรูดบัตรเดบิตลงเหลือ 0.2% ของยอดซื้อ[58] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2010 เจ้าหน้าที่อาวุโสจากธนาคารกลางยุโรปเรียกร้องให้มีการผูกขาดโดยผู้ขายสองรายของวีซา/มาสเตอร์การ์ดโดยการสร้างบัตรเดบิตยุโรปใบใหม่เพื่อใช้ในเขตชำระเงินยูโรเดียว (SEPA)[59]
วิกิลีกส์เผยแพร่เอกสารที่แสดงให้เห็นว่าทางการอเมริกันได้ล็อบบีรัสเซียเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของวีซาและมาสเตอร์การ์ด[60][61] เพื่อเป็นการตอบโต้ มาสเตอร์การ์ดได้บล็อกการชำระเงินไปยังวิกิลีกส์ สมาชิกรัฐสภายุโรปแสดงความกังวลว่าการชำระเงินจากพลเมืองยุโรปไปยังบริษัทในยุโรปอาจถูกบล็อกโดยสหรัฐได้และเรียกร้องให้ลดการครอบงำของวีซาและมาสเตอร์การ์ดในระบบการชำระเงินของยุโรปลงอีก[62]
ใน ค.ศ. 2013 มาสเตอร์การ์ดอยู่ภายใต้การสอบสวนของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมที่สูงที่เรียกเก็บจากร้านค้าเพื่อรับบัตรที่ออกนอกสหภาพยุโรป เมื่อเทียบกับบัตรที่ออกในสหภาพยุโรป รวมถึงพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันอื่น ๆ ที่อาจขัดขวางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการค้าระหว่างประเทศ และค่าธรรมเนียมสูงที่เกี่ยวข้องกับบัตรเครดิตพรีเมียม หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของสหภาพยุโรประบุว่าค่าธรรมเนียมเหล่านี้เป็นข้อกังวลพิเศษเนื่องจากบทบาทที่เพิ่มขึ้นของการชำระเงินที่ไม่ใช่เงินสด มาสเตอร์การ์ดถูกห้ามไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมข้ามพรมแดนที่ดำเนินการทั้งหมดภายในสหภาพยุโรปผ่านคำตัดสินของคณะกรรมาธิการยุโรปใน ค.ศ. 2007[63]คณะกรรมาธิการยุโรประบุว่าการสอบสวนของพวกเขายังรวมถึงความแตกต่างอย่างมากในค่าธรรมเนียมข้ามพรมแดนของแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น การชำระเงิน 50 ยูโร อาจมีค่าใช้จ่าย 0.10 ยูโรในเนเธอร์แลนด์ แต่สูงกว่าถึงแปดเท่าในโปแลนด์ คณะกรรมาธิการโต้แย้งว่ากฎของมาสเตอร์การ์ดที่ห้ามไม่ให้ร้านค้าได้รับประโยชน์จากเงื่อนไขที่ดีกว่าที่เสนอในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่น ๆ อาจขัดต่อกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
องค์การผู้บริโภคแห่งยุโรป (BEUC) ชื่นชมการดำเนินการต่อมาสเตอร์การ์ด BEUC กล่าวว่าค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคารทำให้ราคาสูงขึ้นและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค โมนีก โกเยนส์ ผู้อำนวยการใหญ่ BEUC กล่าวว่า "ดังนั้นในท้ายที่สุด ผู้บริโภคทุกคนจะได้รับผลกระทบจากระบบที่ท้ายที่สุดแล้วให้ผลประโยชน์แก่บริษัทบัตรและธนาคารผู้ออกบัตร"[63]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2019 คณะกรรมาธิการยุโรปสั่งปรับมาสเตอร์การ์ดเป็นเงิน 570,566,000 ยูโรฐานละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในข้อหา "ขัดขวางการเข้าถึงบริการชำระเงินผ่านบัตรข้ามพรมแดนของร้านค้า" อันเนื่องมาจากกฎของมาสเตอร์การ์ดที่บังคับให้ธนาคารผู้รับบัตรต้องใช้ค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคารของประเทศที่ร้านค้าตั้งอยู่ คณะกรรมาธิการสรุปว่ากฎของมาสเตอร์การ์ดขัดขวางไม่ให้ผู้ค้าปลีกได้รับประโยชน์จากค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าและจำกัดการแข่งขันระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นการละเมิดกฎต่อต้านการผูกขาดของสหภาพยุโรป การละเมิดกฎต่อต้านการผูกขาดสิ้นสุดลงเมื่อมาสเตอร์การ์ดแก้ไขกฎของตนเนื่องจากการมีผลบังคับใช้ของระเบียบค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคารใน ค.ศ. 2015 ซึ่งได้กำหนดเพดานสำหรับค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคาร อย่างไรก็ดี คณะกรรมาธิการได้ลดค่าปรับให้มาสเตอร์การ์ด 10% เพื่อเป็นการตอบแทนที่มาสเตอร์การ์ดยอมรับข้อเท็จจริงและให้ความร่วมมือกับการสอบสวนคดีต่อต้านการผูกขาด[64]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 หลังการสอบสวนโดยหน่วยงานกำกับดูแลระบบการชำระเงินสหราชอาณาจักร มาสเตอร์การ์ดได้ยอมรับผิดในการละเมิดกฎการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับบัตรเติมเงิน[65]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2024 คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมว่าค่าธรรมเนียมเครือข่าย ที่กำหนดโดยวีซาและมาสเตอร์การ์ดส่งผลกระทบในทางลบต่อผู้ค้าปลีกหรือไม่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ค้าปลีกบางรายได้ร้องเรียนเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมดังกล่าว โดยอ้างถึงการขาดความโปร่งใส[66] คณะกรรมาธิการดำเนินการสอบสวนไปอีกขั้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2025 โดยขอความเห็นจากผู้ค้าปลีกกับผู้ให้บริการบัตรว่า "บทสรุปค่าธรรมเนียมที่เป็นมาตรฐาน" จะช่วยส่งเสริมความโปร่งใสได้หรือไม่[67]
ประเด็นอื่น
[แก้]ธุรกรรมการพนันออนไลน์ในสหรัฐ
[แก้]มาสเตอร์การ์ด วีซา และบัตรเครดิตอื่น ๆ ถูกใช้ในการเติมเงินเข้าบัญชีตั้งแต่เริ่มมีการพนันออนไลน์ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 [68]
วันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2000 ศาลแขวงสหรัฐเขตลุยเซียนาตะวันออก ได้ทบทวนคำร้องในคดี Re: MasterCard International Inc. ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นความหลายเขต โดยมีข้อกล่าวหาว่ามาสเตอร์การ์ดมีปฏิสัมพันธ์กับกาสิโนออนไลน์จำนวนหนึ่งอย่างผิดกฎหมาย โจทก์กล่าวหาว่ามาสเตอร์การ์ดได้ละเมิดรัฐบัญญัติการโอนเงินรัฐบาลกลางและข้อกล่าวหาอื่น ๆ โดยพวกเขาต้องการความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นที่เว็บไซต์พนันออนไลน์นอกสหรัฐ[69]
คำตัดสินของศาลแขวงเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2001 ซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์สหรัฐภาค 5 ได้ยืนตามคำตัดสินนั้น เข้าข้างมาสเตอร์การ์ด ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยังชี้แจงการประยุกต์ใช้รัฐบัญญัติการโอนเงินกับการพนันออนไลน์ที่ผิดกฎหมายด้วย โดยศาลตัดสินว่ารัฐบัญญัติการโอนเงินนั้นใช้ได้กับกิจกรรมการพนันที่เกี่ยวข้องกับ "การแข่งขันกีฬาหรือการประกวด" เท่านั้น ดังนั้น ศาลจึงไม่สามารถสรุปได้ว่ามาสเตอร์การ์ดละเมิดรัฐบัญญัติการโอนเงิน[70]
เมื่อ PASPA ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 มาสเตอร์การ์ดต้องให้แนวทางใหม่แก่ธนาคารสมาชิก โดยชี้แจงว่าข้อจำกัดด้านสถานที่ตั้งของรัฐมีผลบังคับใช้กับบุคคลที่วางเดิมพัน ไม่ใช่ธนาคารสมาชิกที่ประมวลผลธุรกรรม ตามกฎหมายการพนันของรัฐต่าง ๆ ผู้ให้บริการพนันกีฬาต้องใช้การระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์บนอินเทอร์เน็ตเพื่อกำหนดตำแหน่งทางกายภาพของลูกค้าก่อนจะรับการเดิมพัน[71] ประชาคมนายธนาคารอิสระแห่งอเมริกาได้ร้องขอข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับรหัสธุรกิจสำหรับการพนันออนไลน์ใหม่[72] มาสเตอร์การ์ดได้กำหนด MCC 7801 สำหรับการพนันออนไลน์โดยเฉพาะ ซึ่งรหัสนี้ต่างจาก 7800 สำหรับสลากกินแบ่งที่รัฐบาลเป็นเจ้าของและ 7802 สำหรับสนามแข่งม้าและสุนัขที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล[73]
การระงับการชำระเงินให้กับวิกิลีกส์
[แก้]ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2010 มาสเตอร์การ์ดระงับการชำระเงินทั้งหมดไปยังแพลตฟอร์มเปิดโปงความลับ วิกิลีกส์ ด้วยมีการกล่าวอ้างว่าพวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมผิดกฎหมาย[74] เพื่อตอบโต้ กลุ่มนักกิจกรรมออนไลน์ อะนอนิมัส ได้จัดการโจมตีโดยปฏิเสธการให้บริการ ส่งผลให้เว็บไซต์ของมาสเตอร์การ์ดไม่สามารถใช้งานได้ในช่วงวันที่ 8–9 ธันวาคม 2010[75] วันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2010 เซิร์ฟเวอร์ของมาสเตอร์การ์ดถูกโจมตีอย่างหนัก[76] ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการอเวนจ์อัสซานจ์เพื่อตอบโต้การปิดกั้นการชำระเงินไปยังวิกิลีกส์ ความปลอดภัยของบัตรเครดิตหลายพันใบถูกบุกรุกระหว่างการโจมตีดังกล่าวเนื่องจากเว็บไซต์ฟิชชิงที่ผู้โจมตีจัดตั้งขึ้น[77] อย่างไรก็ดี มาสเตอร์การืดได้ปฏิเสธเรื่องนี้ โดยระบุว่าข้อมูลบัญชี "ไม่ได้ตกอยู่ในความเสี่ยง"[78] โฆษกของวิกิลีกส์กล่าวว่า "เราไม่ขอประณามหรือชื่นชมการโจมตีเหล่านี้"[79] นาวี พิลเลย์ ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า การปิดกั้นช่องทางการบริจาคเงินผ่านบัตรเครดิตแก่วิกิลีกส์นั้น "อาจถูกตีความว่าเป็นการพยายามเซ็นเซอร์การเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งอาจเป็นการละเมิดสิทธิในการแสดงออกอย่างเสรีของวิกิลีกส์"[80]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 ดาตาเซลล์ (DataCell) บริษัทด้านไอทีในไอซ์แลนด์ซึ่งเป็นบริษัทที่เปิดให้วิกิลีกส์รับการบริจาคผ่านบัตรเครดิตและเดบิตได้ กล่าวว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับวีซายุโรปและมาสเตอร์การ์ด[81] และจะดำเนินการทันทีเพื่อพยายามบังคับให้ทั้งสองบริษัทกลับมาอนุญาตให้มีการชำระเงินไปยังเว็บไซต์ดังกล่าว[82] ก่อนหน้านั้น วันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2010 อันเดรียส ฟิงก์ ซีอีโอของดาตาเซลล์ ได้ระบุว่า "การระงับการชำระเงินไปยังวิกิลีกส์เป็นการละเมิดข้อตกลงกับลูกค้าของพวกเขา"[83][84] วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ดาตาเซลล์ประกาศว่าได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมาธิการยุโรป โดยอ้างว่าการปิดกั้นการเข้าถึงเครือข่ายบัตรชำระเงินของดาตาเซลล์โดยวีซาและมาสเตอร์การ์ดนั้นละเมิดกฎการแข่งขันของประชาคมยุโรป[85]
วันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 ศาลเรคยาวิกมีคำตัดสินว่าวาลิเตอร์ (Valitor) พันธมิตรของวีซาและมาสเตอร์การ์ดในไอซ์แลนด์ต้องเริ่มดำเนินการประมวลผลการบริจาคภายในสิบสี่วัน[86] มิฉะนั้นจะต้องจ่ายค่าปรับรายวันเป็นจำนวน ISK 800,000 (ประมาณ 6,000 ดอลลาร์) สำหรับแต่ละวันหลังจากนั้น เพื่อเปิดช่องทางการชำระเงินดังกล่าว วาลิเตอร์ยังต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีของดาตาเซลล์เป็นจำนวน ISK 1,500,000 ด้วย[87][88]
การติดโลโกบริษัทบนบัตรประจำตัวประชาชนของไนจีเรีย
[แก้]ใน ค.ศ. 2014 ตามข้อตกลงระหว่างมาสเตอร์การ์ดกับรัฐบาลไนจีเรีย โดยดำเนินการผ่านคณะกรรมาธิการการจัดการข้อมูลประจำตัวแห่งชาติ บัตรประจำตัวประชาชนใหม่ของไนจีเรียมีโลโกมาสเตอร์การ์ดบรรจุข้อมูลฐานข้อมูลส่วนบุคคล และทำหน้าที่เป็นบัตรชำระเงิน ทำให้การชำระเงินดังกล่าวเชื่อมโยงกับตัวบุคคลอย่างแยกไม่ออก[89] สิ่งนี้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากสภาสิทธิมนุษยชน โดยกล่าวหาว่าสิ่งนี้ "แสดงถึงการประทับตราความเป็นเจ้าของชาวไนจีเรียโดยบริษัทอเมริกัน... ชวนให้นึกถึงโลโกที่ถูกแปะบนร่างกายของทาสแอฟริกันที่ถูกส่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก"[90]
การขายข้อมูลบัตรเครดิต
[แก้]ใน ค.ศ. 2018 บลูมเบิร์กนิวส์รายงานว่ากูเกิลได้จ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์ให้แก่มาสเตอร์การ์ดเพื่อซื้อข้อมูลบัตรเครดิตของผู้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการโฆษณา ข้อตกลงนี้ไม่ได้มีการประกาศต่อสาธารณะ[91][92]
การห้ามในอินเดีย
[แก้]วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) มีคำสั่งห้ามมาสเตอร์การ์ดออกบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตใหม่ให้ลูกค้าในประเทศอินเดียอย่างไม่มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคมเป็นต้นไป เนื่องจากการละเมิดกฎการเก็บข้อมูลและแปลข้อมูลในประเทศตามที่ RBI กำหนดไว้เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2018 ภายใต้รัฐบัญญัติระบบการชำระเงินและการชำระหนี้ ค.ศ. 2007 (PSS Act) คำสั่งห้ามนี้ไม่มีผลกระทบต่อบัตรที่ออกไปแล้วและยังคงใช้งานได้ในอินเดีย มาสเตอร์การ์ดเป็นผู้ให้บริการระบบการชำระเงินรายใหญ่อันดับที่สามที่ถูกจำกัดในอินเดีย ถัดจากอเมริกันเอ็กซ์เพรสและไดเนอส์คลับอินเตอร์เนชันแนล (Diners Club International)[93] ต่อมาในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2022 ข้อจำกัดทางธุรกิจที่กำหนดไว้ได้รับการยกเลิกโดย RBI โดยมีผลทันที[94][95]
การห้ามในเวียดนาม
[แก้]ใน ค.ศ. 2018 ธนาคารรัฐแห่งเวียดนาม (SBV) ได้ขอให้ธนาคารต่าง ๆ ชะลอการออกบัตรมาสเตอร์การ์ดใหม่เป็นการชั่วคราวเนื่องจากการละเมิดระเบียบการชำระเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาสเตอร์การ์ดไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดให้ดำเนินการชำระเงินผ่านบริษัทการชำระเงินแห่งชาติเวียดนาม (NAPAS) ใน ค.ศ. 2020 คำสั่งห้ามถูกยกเลิกหลังมาสเตอร์การ์ดให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามระเบียบของเวียดนาม[96][97][98] แม้จะมีการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่การใช้มาสเตอร์การ์ดในเวียดนามยังคงมีข้อจำกัดบางประการ: เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของเวียดนามบางแห่งไม่ยอมรับมาสเตอร์การ์ดเป็นวิธีการชำระเงิน[99][100][101] เอทีเอ็มในเวียดนามบางแห่งไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดโดยใช้มาสเตอร์การ์ด[102] ผู้ใช้มาสเตอร์การ์ดในเวียดนามบางรายรายงานว่าได้รับบริการลูกค้าที่ไม่เพียงพอ [103][104]
ข้อจำกัดเกี่ยวกับเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่
[แก้]ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 มาสเตอร์การ์ดห้ามการใช้บัตรเครดิตของตนบนพอร์นฮับ เว็บไซต์สื่อลามกออนไลน์[105][106] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2023 เดอะฮิลล์รายงานเกี่ยวกับการอัปเดตนโยบายของมาสเตอร์การ์ดสำหรับเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่โดยกำหนดให้ผู้ขายต้องมีการตรวจสอบอายุและตัวตน รวมถึงการตรวจสอบเนื้อหาก่อนเผยแพร่[107][108] นโยบายใหม่มีผลในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2021[108] วันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2023 สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันร่วมกับกลุ่มองค์กรอื่น ๆ ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมาธิการการค้ากลาง (FTC) เพื่อขอให้มีการสอบสวนนโยบายนี้ในฐานะการดำเนินการทางธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมภายใต้มาตรา 5 ของรัฐบัญญัติ FTC[109][110] มาสเตอร์การ์ดเผชิญกับการต่อต้านเพิ่มเติมใน ค.ศ. 2025 จากการกดดันเว็บไซต์เผยแพร่เกมดิจิทัล เช่น สตีม และ Itch.io ให้เข้มงวดกับเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ หลังได้รับแรงกดดันจากกลุ่มนักกิจกรรม Collective Shout[111] ในตอนแรกมาสเตอร์การ์ดปฏิเสธว่าไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่วาล์ว ผู้พัฒนาสตีม กล่าวว่าบริษัท "อ้างถึงอย่างเจาะจง" กฎของมาสเตอร์การ์ดข้อ 5.12.7 ซึ่งห้าม "ธุรกรรมใด ๆ ที่ผิดกฎหมาย หรือตามดุลยพินิจแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท อาจทำลายค่าความนิยมของบริษัท หรือส่งผลในทางลบต่อเครื่องหมายการค้า" รวมถึงเนื้อหาที่ "โจ่งแจ้งน่ารังเกียจและขาดคุณค่าทางศิลปะอย่างร้ายแรง... หรือเนื้อหาอื่นใดที่บริษัทพิจารณาว่าไม่เป็นที่ยอมรับในการขายร่วมกับเครื่องหมายทางการค้า" [112]
ผลิตภัณฑ์
[แก้]ขึ้นอยู่กับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ธนาคารผู้ออกบัตรของมาสเตอร์การ์ดสามารถออกบัตรในระดับชั้นต่าง ๆ เรียงจากต่ำสุดไปสูงสุดได้ดังนี้:[113]
บัตรเครดิต:
- ดั้งเดิม/คลาสสิก/มาตรฐาน
- โกลด์/ไทเทเนียม
- ไดมอนด์
- แพลทินัม
- เวิล์ด
- เวิลด์ รีวอร์ดส
- เวิลด์ แบล็ก อิดิชัน
- แบล็ก
- เวิลด์ อีลิท
- เวิลด์ เลเจนด์
บัตรเดบิต:
- ดั้งเดิม/คลาสสิก/มาตรฐาน
- โกลด์/ไทเทเนียม
- ไดมอนด์
- แพลทินัม
- เวิลด์
- เวิลด์ แบล็ก อิดิชัน
- แบล็ก
- เวิลด์ อีลิท
เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2010 มาสเตอร์การ์ดได้แนะนำศูนย์การค้าออนไลน์ โดยผ่านความร่วมมือกับบริษัทอินเทอร์เน็ตที่เชี่ยวชาญด้านการช็อปปิงส่วนบุคคล โดยบริษัทกล่าวว่าห้างสรรพสินค้านี้สามารถระบุได้อย่างแม่นยำว่าผู้ถือบัตรมีแนวโน้มที่จะซื้ออะไร[114]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 มาสเตอร์การ์ดร่วมงานกับแอปเปิลเพื่อรวมคุณสมบัติกระเป๋าเงินมือถือใหม่เข้ากับไอโฟนและแอปเปิลวอตช์รุ่นใหม่ของแอปเปิล ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อแอปเปิลเพย์ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้บัตรมาสเตอร์การ์ดและบัตรเครดิตอื่น ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น[115]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2020 มาสเตอร์การ์ดประกาศเปิดตัว Mastercard Track Business Payment Service บริการนี้จะให้บริการชำระเงินแบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ระหว่างผู้ซื้อและซัพพลายเออร์ ตามคำกล่าวของหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ระดับโลก บริการนี้ "สร้างไดเรกทอรีของซัพพลายเออร์ ทำให้ซัพพลายเออร์สามารถเผยแพร่กฎการชำระเงินของตน เพื่อให้พวกเขาสามารถควบคุมวิธีการรับชำระเงินได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ซื้อค้นหาซัพพลายเออร์และทำความเข้าใจข้อกำหนดของพวกเขาได้ง่ายขึ้น"[116]
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 มาสเตอร์การ์ดประกาศการสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซีโดยกล่าวว่าในช่วงปลาย ค.ศ. 2021 มาสเตอร์การ์ดจะเริ่มสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซีที่เลือกไว้โดยตรงบนเครือข่ายของตน หนึ่งในประเด็นหลักที่มาสเตอร์การ์ดต้องการสนับสนุนคือการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับการชำระเงิน และสินทรัพย์คริปโตจะต้องเสนอความเสถียรที่ผู้คนต้องการในฐานะเครื่องมือสำหรับการใช้จ่าย ไม่ใช่เพื่อการลงทุน[117][118] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2021 มาสเตอร์การ์ดประกาศว่าผ่านความร่วมมือกับ Bakkt ธนาคารหรือร้านค้าใด ๆ บนเครือข่ายของตนจะสามารถเสนอบริการคริปโตได้ในไม่ช้า[119] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2022 มาสเตอร์การ์ดประกาศว่าจะอนุญาตให้ผู้ถือบัตรซื้อ NFTs ผ่านแพลตฟอร์มการขยายขนาด NFT ต่าง ๆ ได้แล้ว[120]
บัตรเดบิตแบบเติมเงิน
[แก้]มาสเตอร์การ์ด, คอมเมอร์เชียลแบงก์ และกระทรวงการคลังสหรัฐได้ร่วมมือกันใน ค.ศ. 2008 เพื่อสร้าง Direct Express Debit Mastercard รัฐบาลกลางใช้ผลิตภัณฑ์ Direct Express Debit เพื่อออกการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร คอมเมอร์เชียลแบงก์เป็นธนาคารผู้ออกบัตรเดบิตนี้ บัตร Direct Express มอบการคุ้มครองผู้บริโภคหลายประการแก่ผู้รับ
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 มาสเตอร์การ์ดประกาศความร่วมมือกับบริติชแอร์เวย์เพื่อเสนอ Executive Club Multi-currency Cash Passport แก่สมาชิก ซึ่งจะช่วยให้สมาชิกได้รับคะแนนพิเศษและทำการชำระเงินด้วยหลายสกุลเงิน บัตร Passport อนุญาตให้ผู้ใช้โหลดสกุลเงินได้สูงสุดสิบสกุลเงิน (ยูโร, ปอนด์, ดอลลาร์สหรัฐ, ลีราตุรกี, ฟรังก์สวิส, ดอลลาร์ออสเตรเลีย, ดอลลาร์แคนาดา, ดอลลาร์นิวซีแลนด์, เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแรนด์แอฟริกาใต้) ในอัตราที่คงที่ เมื่อใช้งาน บัตรจะเลือกสกุลเงินท้องถิ่นเพื่อให้แน่ใจว่าได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด และหากไม่ได้โหลดสกุลเงินท้องถิ่นไว้ล่วงหน้า เงินทุนจะถูกใช้จากสกุลเงินอื่น ๆ[ต้องการอ้างอิง]
QkR
[แก้]QkR คือแอปพลิเคชันชำระเงินบนมือถือที่พัฒนาโดยมาสเตอร์การ์ดซึ่งดำเนินการในสหรัฐและออสเตรเลีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสั่งซื้อผลิตภัณฑ์และบริการผ่านสมาร์ตโฟนโดยจะมีการเรียกเก็บเงินไปยังบัตรเครดิตที่เชื่อมโยงไว้ กำลังถูกนำไปใช้ในกิจกรรมขนาดใหญ่ เช่น กีฬา คอนเสิร์ต โรงภาพยนตร์ หรือโรงเรียน ต่างจากแอปชำระเงินมือถืออื่น ๆ ของมาสเตอร์การ์ด เช่น Pay Pass, QkR ไม่ได้ใช้ NFC จากโทรศัพท์ แต่ใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ผู้ใช้สามารถเปิดแอป สแกน รหัสคิวอาร์ที่อยู่ด้านหลังเบาะที่นั่งด้านหน้า และสั่งซื้อเครื่องดื่มตามที่ต้องการได้[121][122] คำสั่งซื้อจะถูกส่งไปยังจุดจำหน่ายใกล้เคียง
QkR ถูกทำตลาดให้กับผู้ขายเพื่อใช้แทนแอปชำระเงินมือถืออื่น ๆ และแอปสั่งซื้อทางมือถือ ไม่ว่าจะเผยแพร่โดยผู้ขายเอง (เช่น แอปของสตาร์บัคส์, แอปของแมคโดนัลด์ หรือแอปสั่งซื้อทางมือถือของชิโปตเล) หรือโดยบุคคลที่สาม เช่น Square ซึ่งนำโดยแจ็ก ดอร์ซีย์ ผู้ร่วมก่อตั้งทวิตเตอร์
การชำระเงินแบบไร้สัมผัส
[แก้]
มาสเตอร์การ์ด คอนแทกเลส (เดิมชื่อเพย์พาส[123]) ที่เข้ากันได้กับ EMV คล้ายกับเอ็กซ์เพรสเพย์ของอเมริกันเอ็กซ์เพรส และวีซาเพย์เวฟ ทั้งสามใช้สัญลักษณ์เดียวกันดังที่แสดงทางด้านขวา คุณสมบัตินี้อยู่บนพื้นฐานของมาตรฐาน ISO/IEC 14443 ซึ่งให้วิธีที่ง่ายกว่าแก่ผู้ถือบัตรในการชำระเงินโดยการแตะบัตรชำระเงินหรืออุปกรณ์ชำระเงินอื่น ๆ เช่น โทรศัพท์ หรือพวงกุญแจบนเครื่องอ่านที่จุดขายแทนการรูดหรือเสียบบัตร ปัจจุบัน การชำระเงินแบบไร้สัมผัสสามารถใช้ได้กับธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงสุดและรวมถึง 100 GBP, 50 EUR, 60 BAM, 80 CHF, 50 USD, 100 CAD, 200 SEK, 500 NOK, 100 PLN, 350 DKK, 80 NZD, 100 AUD, 1000 RUB, 500 UAH, 500 TRY ขึ้นอยู่กับสกุลเงินของบัตร แทนที่จะเป็นสกุลเงินของธุรกรรม[124] หรือ 5000 INR


ใน ค.ศ. 2003 มาสเตอร์การ์ดสรุปการทดลองตลาดเพย์พาสเป็นเวลาเก้าเดือนในออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ร่วมกับเจพีมอร์แกนเชส, ซิตี้แบงก์ และ MBNA มีผู้ถือบัตรมากกว่า 16,000 รายและร้านค้าปลีกมากกว่า 60 แห่งเข้าร่วมในการทดลองตลาด[ต้องการการอัปเดต] นอกจากนี้ มาเตอร์การ์ดยังทำงานร่วมกับโนเกียและโนเกีย 6131[125] เอทีแอนด์ทีไวร์เลสส์และเจพีมอร์แกนเชส เพื่อรวมมาสเตอร์การ์ด เพย์พาสเข้ากับโทรศัพท์มือถือที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสนามใกล้ในแดลลัส รัฐเท็กซัส ใน ค.ศ. 2011 กูเกิลและมาสเตอร์การ์ดได้เปิดตัวกูเกิล วอลเล็ต แอปพลิเคชันแอนดรอยด์ที่อนุญาตให้อุปกรณ์มือถือส่งข้อมูลบัตรเครดิต/เดบิตโดยตรงไปยังเครื่องชำระเงินที่เปิดใช้งานเพย์พาสได้ โดยข้ามความจำเป็นในการใช้บัตรจริงจนกระทั่งมีการสร้างกูเกิล เพย์ขึ้น ใน ค.ศ. 2014 แอปเปิลได้เปิดตัวแอปเปิลเพย์สำหรับอุปกรณ์ไอโอเอส
ในช่วงปลาย ค.ศ. 2015 ซิตี้การืดในสหรัฐหยุดออกบัตรพลาสติกที่เปิดใช้งานเพย์พาส แต่ยังคงมีกุญแจรีโมตให้ตามคำขอ มีผลตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 ซีตี้การ์ดได้หยุดสนับสนุนเพย์พาสโดยสมบูรณ์ แม้บัตรพลาสติกและกุญแจรีโมตที่มีอยู่จะยังคงใช้งานได้จนถึงวันหมดอายุ แต่ไม่มีการออกฮาร์ดแวร์ใหม่ที่เปิดใช้งานเพย์พาสให้แก่ลูกค้าในสหรัฐหลังจากวันนั้น
คริปโต
[แก้]ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2023 มาสเตอร์การ์ดประกาศความตั้งใจที่จะขยายความร่วมมือกับบริษัทคริปโตเคอร์เรนซี ในขณะที่ประกาศ บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัททางการเงินอื่น ๆ เพื่อเสนอบัตรที่เชื่อมโยงกับคริปโตในบางประเทศแล้ว แม้จะมีสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นก็ตาม และเป็นไปตามหลังคู่แข่งอย่างวีซาที่ยกเลิกข้อตกลงกับ FTX ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2022 บริษัทกล่าวว่าบริการ Mastercard Crypto Credential จะช่วยให้สามารถทำธุรกรรมระหว่างประเทศที่ตรงตามข้อกำหนด เช่น "กฎการเดินทาง" โดยคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force หรือ FATF) โดยใช้เทคโนโลยีจาก CipherTrace นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการวอลเล็ตอย่าง Bit2Me, Lirium, Mercado Bitcoin และ Uphold Raj Dhamodharan หัวหน้าฝ่ายคริปโตและบล็อกเชนของบริษัทกล่าวว่าการใช้งานสำหรับการทำธุรกรรม NFT จะตามมาในภายหลัง[126][127]
การสร้างตราสินค้า
[แก้]คดีความเกี่ยวกับการผูกขาดการค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายต่อตราสินค้า[19]

คำขวัญในแคมเปญโฆษณาปัจจุบันของมาสเตอร์การ์ดคือ Priceless (ประเมินค่าไม่ได้) ซึ่งเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1997 คำขวัญที่เชื่อมโยงกับแคมเปญนี้คือ "There are some things money can't buy. For everything else, there's Mastercard." (บางสิ่งเงินก็ซื้อไม่ได้ สำหรับทุกสิ่งอื่น ๆ ที่เหลือ ให้มาสเตอร์การ์ดจัดการ) แคมเปญ Priceless ในยุคหลังได้ถูกนำมาใช้กับทั้งผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตและบัตรเดบิตของมาสเตอร์การ์ด[128] พวกเขายังใช้คำว่า Priceless เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ท่องเที่ยว Priceless ที่มีข้อเสนอและดีลสำหรับผู้ถือบัตรมาสเตอร์การ์ด และ Priceless Cities ซึ่งเป็นข้อเสนอสำหรับผู้ที่อยู่ในสถานที่ที่กำหนด [129]
ในช่วงกลาง ค.ศ. 2006 มาสเตอร์การ์ดอินเตอร์เนชันแนลได้เปลี่ยนชื่อเป็นมาสเตอร์การ์ดเวิลด์ไวด์ เพื่อสื่อถึงขนาดที่กว้างขึ้นในระดับโลก นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวโลโกบริษัทใหม่ โดยเพิ่มวงกลมที่สามเข้าไปในสองวงกลมที่เคยใช้ในอดีต (แต่โลโกบัตรที่เป็นที่รู้จักกันดี ซึ่งมีลักษณะคล้ายแผนภาพเวนน์ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง) พร้อมกันนี้ยังมีการแนะนำคำขวัญองค์กรใหม่คือ "The Heart of Commerce" (หัวใจของการค้า)[130]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 มาสเตอร์การ์ดเปิดตัวการรีแบรนด์ใหม่ พร้อมกับโลโกบริษัทใหม่ และยังเปลี่ยนชื่อบริการจาก "MasterCard" เป็น "mastercard"[131]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2019 มาสเตอร์การ์ดนำชื่อออกจากโลโก เหลือเพียงแค่ภาพวงกลมที่ซ้อนทับกันเท่านั้น [132]
ใน ค.ศ. 2021 มาสเตอร์การ์ดรับการจัดอันดับที่ 13 ในรายการตราสินค้าที่น่าเชื่อถือที่สุดของ Morning Consult[133]
การสนับสนุนด้านกีฬา
[แก้]มาสเตอร์การ์ดเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมและทีมกีฬาที่สำคัญทั่วโลก ซึ่งรวมถึงทีมรักบี้ All Blacks ของนิวซีแลนด์, เอ็มแอลบี, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และรายการ Arnold Palmer Invitational ของ PGA Tour ก่อนหน้านี้บริษัทเคยสนับสนุนฟุตบอลโลกด้วย แต่ได้ถอนสัญญาออกหลังการตกลงในศาล และคู่แข่งอย่างวีซาได้รับสัญญานี้ไปแทนใน ค.ศ. 2007[134] บริษัทยังเป็นพันธมิตรกับฟุตบอลทีมชาติบราซิล[135] และโกปาลิเบร์ตาโดเรส[136]
ในป ค.ศ.1997 มาสเตอร์การ์ดเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีม Mastercard Lola ฟอร์มูลาวัน[137] ซึ่งต้องถอนตัวจากฟอร์มูลาวันฤดูกาล 1997 เนื่องจากปัญหาทางการเงินหลังไม่สามารถผ่านการคัดเลือกในการแข่งขันครั้งแรก[138] ทีมนี้ยังเคยสนับสนุน Jordan Grand Prix ตั้งแต่ฤดูกาล 1998 จนถึงสิ้นสุดฤดูกาลฟอร์มูลาวัน 2001 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2024 มาสเตอร์การ์ดได้กลับมาสู่ฟอร์มูลาวันอีกครั้งหลังเซ็นสัญญาการเป็นผู้สนับสนุนระยะเวลาหลายปีกับ McLaren Racing[139] และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2025 McLaren Racing ได้ประกาศให้มาสเตอร์การ์ดเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการในการตั้งชื่อทีม โดยทีมจะเข้าร่วมการแข่งขันฤดูกาล 2026 เป็นต้นไปในชื่อ McLaren Mastercard Formula 1 Team [140]
มาสเตอร์การืดยังเป็นผู้สนับสนุนหลักของเกม Alamo Bowl ตั้งแต่ ค.ศ. 2002 จนถึงปี 2005
ในช่วงปลาย ค.ศ. 2018 มาสเตอร์การ์ดกลายเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่รายแรกของอีสปอร์ต ลีกออฟเลเจนดส์ บริษัทเป็นผู้สนับสนุนรายการ League of Legends World Championship, Mid-Season Invitational และงาน All-stars สำหรับลีกออฟเลเจนดส์[141]
จนกระทั่ง ค.ศ. 2018 มาสเตอร์การ์ดเป็นผู้สนับสนุนรายการ Memorial Cup ซึ่งเป็นการแข่งขันชิงแชมป์ประจำปีของ CHL ระหว่างสามลีกของลีก
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2022 มาสเตอร์การ์ดเข้าซื้อสิทธิ์ในการเป็นผู้สนับสนุนหลักสำหรับการแข่งขันในประเทศและระหว่างประเทศทุกรายการที่จัดโดยคณะกรรมการควบคุมคริกเก็ตในอินเดีย[142][143]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Mastercard Incorporated 2024 Annual Report (Form 10-K)". sec.gov. U.S. Securities and Exchange Commission. February 12, 2025.
- ↑ Stampler, Laura (7 January 2019). "Mastercard Drops Its Name From Company Logo". Fortune (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ January 10, 2019.
- ↑ "MasterCard Incorporated Reports Fourth-Quarter and Full-Year 2016 Financial Results". MasterCard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 24, 2020. สืบค้นเมื่อ December 2, 2017.
- ↑ "MasterCard Corporate Milestones". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-14. สืบค้นเมื่อ 2019-11-13.
{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) - ↑ Nocera, Joseph (1994). A Piece of the Action: How the Middle Class Joined the Money Class (2013 paperback ed.). New York: Simon & Schuster. p. 31. ISBN 9781476744896.
- ↑ Stearns, David L. (2011). Electronic Value Exchange: Origins of the Visa Electronic Payment System. London: Springer. p. 24. ISBN 978-1-84996-138-7. Available through SpringerLink.
- 1 2 3 Stearns, David L. (2011). Electronic Value Exchange: Origins of the Visa Electronic Payment System. London: Springer. p. 25. ISBN 978-1-84996-138-7. Available through SpringerLink.
- 1 2 3 Stearns, David L. (2011). Electronic Value Exchange: Origins of the Visa Electronic Payment System. London: Springer. p. 27. ISBN 978-1-84996-138-7. Available through SpringerLink.
- 1 2 3 Stearns, David L. (2011). Electronic Value Exchange: Origins of the Visa Electronic Payment System. London: Springer. p. 19. ISBN 978-1-84996-138-7. Available through SpringerLink.
- 1 2 Jennings, Robert (September 8, 1995). "Credit Card Industry to Salute Three Pioneers". American Banker. p. 12. Available through ProQuest.
- 1 2 Loomis, Jay (November 28, 2006). "MasterCard Turns 40". The Journal News. p. C7. Available through ProQuest.
- 1 2 3 "Karl H. Hinke, Pioneer Of The MasterCard". AP. December 24, 1990. สืบค้นเมื่อ 28 November 2021.
- 1 2 3 Stearns, David L. (2011). Electronic Value Exchange: Origins of the Visa Electronic Payment System. London: Springer. p. 28. ISBN 978-1-84996-138-7. Available through SpringerLink.
- 1 2 "History of MasterCard International Inc". Funding Universe. สืบค้นเมื่อ June 13, 2020.
- ↑ "Master Charge Is Restyling Its Card (Published 1979)" (ภาษาอังกฤษ). 1979-08-28. สืบค้นเมื่อ 2025-09-20.
- ↑ Harper, Gavin (July 12, 2010). Holography Projects for the Evil Genius. McGraw-Hill. p. 4. ISBN 978-0-07-162400-8.
- ↑ "Brand History". Mastercard Brand Center. สืบค้นเมื่อ 2022-10-14.
- ↑ "MasterCard And Europay Merge To Form a Global Payments Company". BankTech. July 16, 2002. สืบค้นเมื่อ June 13, 2020.
- 1 2 3 4 Fleischer, Victor (2006-03-08). "The Mastercard IPO: Protecting the priceless brand". Harvard Negotiation Law Review – โดยทาง SSRN.
- ↑ "MasterCard IPO rises 40% from discounted price". MarketWatch. May 25, 2006. สืบค้นเมื่อ June 3, 2017.
- ↑ "Yahoo Finance". Yahoo.com. สืบค้นเมื่อ April 11, 2024.
- ↑ Spillane, Chris (August 19, 2010). "MasterCard to Acquire DataCash for 333 Million Pounds". Bloomberg.com. Bloomberg. สืบค้นเมื่อ March 7, 2012.
- ↑ Farrell, Sean (August 19, 2010). "MasterCard pays £333m for British online payments firm DataCash". The Independent. London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 30, 2018. สืบค้นเมื่อ March 7, 2012.
- ↑ Rima Ali Al Mashni (March 7, 2012). "QNB Group, Qtel, Oberthur and Mastercard introduce first mobile Near Field Communication payments program in Qatar". AMEinfo.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2012. สืบค้นเมื่อ March 7, 2012.
- ↑ "Mastercard to acquire Business Reward Services Provider Pinpoint". Biharprabha.com. April 17, 2014. สืบค้นเมื่อ April 17, 2014.
- ↑ "Mastercard Enhances Artificial Intelligence Capability with the Acquisition of Brighterion, Inc. – Global Hub". newsroom.mastercard.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 29, 2020. สืบค้นเมื่อ September 23, 2017.
- ↑ "Patents by Assignee Brighterion, Inc". Justia Patents Search. August 7, 2017. สืบค้นเมื่อ September 23, 2017.
- ↑ Alexis Benveniste. "Mastercard launches carbon calculator in its latest attempt to go green". CNN. สืบค้นเมื่อ 2021-04-12.
- ↑ Paybarah, Azi (March 5, 2022). "Mastercard and Visa suspend operations in Russia". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 5, 2022. สืบค้นเมื่อ March 6, 2022.
- ↑ "中国人民银行向万事网联公司核发银行卡清算业务许可证". 中国人民银行 (ภาษาChinese (China)). 2023-11-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-11-19. สืบค้นเมื่อ 2023-11-19.
- ↑ "全新万事达卡来了!多家银行上线". 新浪财经. May 12, 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-05-12.
- ↑ "Mastercard acquires cybersecurity firm for $2.65B". Payments Dive. สืบค้นเมื่อ 12 September 2024.
- ↑ "KONA I granted Mastercard Letter of Approval for IDEX Pay biometric cards". 19 February 2025.
- ↑ "KONA I granted Mastercard Letter of Approval for IDEX Pay biometric cards". 19 February 2025.
- ↑ "EBL, Mastercard launch 'world's first' biometric metal credit card in Bangladesh". 5 July 2025.
- ↑ "EBL, Mastercard launch world's first biometric metal credit card in BD". 6 July 2025.
- ↑ "EBL, Mastercard launch 'world's first' biometric metal credit card in Bangladesh". 5 July 2025.
- ↑ "EBL, Mastercard launch world's first biometric metal credit card in BD". 6 July 2025.
- ↑ "Biometric payment cards launching in Bangladesh, approved by Mastercard". 22 April 2024.
- ↑ "MasterCard, Inc.: Business Segments and Geographical Breakdown of Revenue". www.marketscreener.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-08-11.
- ↑ "Mastercard Financial Statements 2005–2018 | MA". สืบค้นเมื่อ October 22, 2018.
- ↑ "Mastercard Incorporated - AnnualReports.com". www.annualreports.com. สืบค้นเมื่อ 2025-08-11.
- ↑ "Mastercard: Number of Employees 2010-2025 | MA". www.macrotrends.net. สืบค้นเมื่อ 2025-08-11.
- ↑ "Mastercard". Fortune (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-06-09.
- 1 2 3 4 Duncan, Mallory (July 10, 2012). "Credit Card Market Is Unfair, Noncompetitive". Roll Call.
- ↑ T-Mobile, Wireless Carriers, and the Way to Fight Oligopolies. The New Yorker. Retrieved on October 30, 2013.
- ↑ Visa/MasterCard Litigation เก็บถาวร เมษายน 26, 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, January 1, 1996.
- ↑ www.inrevisacheckmastermoneyantitrustlitigation.com เก็บถาวร สิงหาคม 9, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Retrieved July 13, 2011.
- ↑ "Joshua Rubin and Joseph Phillips et al. v. MasterCard International, LLC". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 10, 2018. สืบค้นเมื่อ August 8, 2021.
- ↑ "American Express sues Visa, MasterCard". NBC News. November 15, 2004.
- ↑ Dash, Eric (June 26, 2008). "MasterCard Will Pay $1.8 Billion to American Express". The New York Times. สืบค้นเมื่อ February 10, 2015.
- ↑ "Class Settlement Preliminary Approval Order pg.11" (PDF). U.S. District Court. November 27, 2012. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ August 3, 2020. สืบค้นเมื่อ July 9, 2019.
- 1 2 Longstreth, Andrew (December 13, 2013). "Judge approves credit card swipe fee settlement". NBC News. สืบค้นเมื่อ July 9, 2019.
- ↑ Kiesche, Liz (February 22, 2019). "Visa, Mastercard $6.24B settlement gets preliminary okay from court". Seeking Alpha. สืบค้นเมื่อ July 9, 2019.
- ↑ "Payment Card Interchange Fee Settlement". paymentcardsettlement.com. สืบค้นเมื่อ 2022-10-14.
- ↑ Vanek, Stacey. (October 4, 2010) Visa, Mastercard settlement means more flexibility for merchants | Marketplace From American Public Media เก็บถาวร กรกฎาคม 27, 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. marketplace.publicradio.org. Retrieved July 13, 2011.
- ↑ "ATM Operators File Antitrust Lawsuit Against Visa and MasterCard" (Press release). PR Newswire. October 12, 2011.
- ↑ "Antitrust: Commissioner Kroes takes note of MasterCard's decision to cut cross-border Multilateral Interchange Fees (MIFs) and to repeal recent scheme fee increases". European Commission (Press release). April 1, 2009. สืบค้นเมื่อ September 27, 2020.
- ↑ "Forexhound.com". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 7, 2020. สืบค้นเมื่อ December 12, 2010.
- ↑ Remy, Pauline de Saint (December 8, 2010). "WIKILEAKS – En Russie, Visa et Mastercard au coeur de troublantes révélations". Le Point.
- ↑ "WikiLeaks cables: US "lobbied Russia on behalf of Visa and MasterCard"". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2010-12-08. สืบค้นเมื่อ 2022-11-13.
- ↑ Dekker, Vincent (December 9, 2010). "Zorgen over dominantie Visa en Mastercard in Europa" [Concerns about Visa and Mastercard dominance in Europe]. Trouw (ภาษาดัตช์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 17, 2011. สืบค้นเมื่อ April 14, 2022.
- 1 2 Chee, Foo Yun (April 9, 2013). "MasterCard under EU fire over payment card fees". Fox Business. Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 29, 2013. สืบค้นเมื่อ September 27, 2020.
- ↑ "Antitrust: Commission fines Mastercard €570 million for obstructing merchants' access to cross-border card payment services". europa.eu. Brussels: European Commission. January 22, 2019. สืบค้นเมื่อ January 23, 2019.
- ↑ "The PSR provisionally finds five companies broke the law by engaging in cartel behaviour in the pre-paid cards market". UK Payment Systems Regulator. March 31, 2021.
- ↑ Chee, Foo (November 6, 2024). "Exclusive: EU regulators investigate if Visa, Mastercard fees harm retailers, document shows". Reuters. สืบค้นเมื่อ 7 November 2024.
- ↑ Chee, Foo (3 June 2025). "EU antitrust regulators escalate Visa, Mastercard probe, documents show". Reuters. สืบค้นเมื่อ 28 July 2025.
- ↑ "Internet Gambling: An Overview of the Issues". govinfo.gov (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "US District Court for the Eastern District of Louisiana - 132 F. Supp. 2d 468 (E.D. La. 2001) February 23, 2001". law.justia.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "Off the Board: NCAA v. Christie Challenges Congress to "Move the Line" on the Professional and Amateur Sports Protection Act" (PDF). pennstatelawreview.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ November 23, 2018. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "Mastercard Sports Betting Sites". sportsbetting3.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "Mastercard FAQ – Sports Gambling" (PDF). icba.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-25. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "Mastercard Quick Reference Booklet - Merchant" (PDF). mastercard.us (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ May 31, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ McCullagh, Declan. (December 9, 2010) MasterCard pulls plug on WikiLeaks payments | Privacy Inc. – CNET News เก็บถาวร ธันวาคม 29, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. news.cnet.com. Retrieved July 13, 2011.
- ↑ Addley, Esther (December 8, 2010). "MasterCard site partially frozen by hackers in WikiLeaks "revenge"; "Operation: Payback" hacks into MasterCard site over payment network's decision to cease taking donations to WikiLeaks". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 20, 2013. สืบค้นเมื่อ April 14, 2022.
- ↑ "Mastercard downed by Anon-Assange-fans". The Register. 8 December 2010.
- ↑ "MasterCard Deemed Unsafe? "Anonymous" WikiLeaks Supporters Claim Privacy Breach". Huffington Post. December 8, 2010. สืบค้นเมื่อ July 13, 2011.
- ↑ "Wikileaks "data war" gathers pace". BBC News. December 7, 2010.
- ↑ "Statement on DDOS attacks". wikileaks.ch. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 10, 2010.
- ↑ "UN rights chief concerned about pressure on WikiLeaks". Expatica Switzerland. AFP. December 9, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 4, 2014. สืบค้นเมื่อ April 14, 2022.
{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) - ↑ "Legal action by DataCell and WikiLeaks against Visa and MasterCard". DataCell (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2011-03-24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-24. สืบค้นเมื่อ 2011-07-13.
- ↑ "Visa and MasterCard again suspending donations to WikiLeaks | RSF". rsf.org (ภาษาอังกฤษ). July 8, 2011. สืบค้นเมื่อ 2022-11-15.
- ↑ A. O. L. Staff (August 5, 2020). "MasterCard and Visa May Face Legal Battle Over WikiLeaks". www.aol.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2022-11-15.
- ↑ Sayer, Peter (2011-07-08). "Visa blocks WikiLeaks donations via DataCell once again". Network World (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-11-15.
- ↑ "DataCell files a complaint with the European Commission เก็บถาวร มกราคม 6, 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน", datacell.com, July 14, 2011. Retrieved 5 Augusti 2012.
- ↑ "Tvingas öppna för Wikileaksdonationer เก็บถาวร กรกฎาคม 15, 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน" (ในภาษาสวีเดน) Sveriges Television, July 12, 2012. Retrieved July 30, 2012.
- ↑ "Judgement Reykjavík District Court, 12 July 2012 in case number E-561/2012: Datacell ehf.", English translation of judgment. เก็บถาวร กุมภาพันธ์ 10, 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Retrieved November 9, 2012.
- ↑ WikiLeaks Wins Icelandic Court Battle Against Visa for Blocking Donations | Threat Level. Wired.com.
- ↑ "SCANDALOUS: Outrage in Nigeria as government brands National ID Card with MasterCard's logo". Premium Times. August 29, 2014.
President Jonathan, who flagged off the rollout, praised the outcome of a partnership between NIMC, MasterCard and Access Bank. "The card is not only a means of certifying your identity but also a personal database repository and payment card, all in your pocket," Mr. Jonathan said.
- ↑ "SCANDALOUS: Outrage in Nigeria as government brands National ID Card with MasterCard's logo". Premium Times. August 29, 2014.
The new ID card with a MasterCard logo does not represent an identity of a Nigerian. It simply represents a stamped ownership of a Nigerian by an American company," said Shehu Sani of the Civil Rights Congress of Nigeria. "It is reminiscent of the logo pasted on the bodies of African salves [ตามต้นฉบับ] transported across the Atlantic.
- ↑ Liao, Shannon (30 August 2018). "Google reportedly bought Mastercard data to link online ads with offline purchases". The Verge (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Google and Mastercard Cut a Secret Ad Deal to Track Retail Sales". Bloomberg.com (ภาษาอังกฤษ). 30 August 2018.
- ↑ "Mastercard India news: RBI restricts Mastercard from onboarding new customers in India | India Business News – Times of India". The Times of India (ภาษาอังกฤษ). Jul 14, 2021. สืบค้นเมื่อ 2022-03-06.
- ↑ "Reserve Bank of India - Press Releases". www.rbi.org.in. สืบค้นเมื่อ 2022-06-16.
- ↑ "RBI lifts business restrictions imposed on Mastercard". Moneycontrol (ภาษาอังกฤษ). June 16, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-06-16.
- ↑ Hàng, Thời Báo Ngân (2020-10-13). "Mastercard và NAPAS hợp tác triển khai kết nối chuyển mạch thẻ". Thời Báo Ngân Hàng (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ tphcm.chinhphu.vn (2020-10-13). "Mastercard và NAPAS hợp tác triển khai kết nối chuyển mạch thẻ". tphcm.chinhphu.vn (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ VnExpress. "Napas và Mastercard hợp tác triển khai kết nối chuyển mạch thẻ". vnexpress.net (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ Hùng, Ngọc (2023-07-22). "AliPay và WeChat Pay chấp nhận thanh toán các thẻ tín dụng quốc tế tại Trung Quốc". Tạp chí Kinh tế Sài Gòn (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ Quoc, Bao (2021-11-02). "Master card gift card". laodong.vn (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ VCCorp.vn (2022-03-11). "Tỷ lệ người có nhu cầu và cân nhắc sử dụng thẻ tín dụng trong tương lai rất cao". cafef (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ Hưng -, Đào (2022-03-23). "Thẻ tín dụng nội địa đang chiếm dần thị trường Việt". Nhịp sống kinh tế Việt Nam & Thế giới (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ VnExpress. "Cách tránh 'bỗng dưng mất tiền' với thẻ thanh toán online". vnexpress.net (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ ONLINE, TUOI TRE (2022-08-12). "Mastercard tổ chức Hội nghị Khách hàng châu Á - Thái Bình Dương sau đại dịch". TUOI TRE ONLINE (ภาษาเวียดนาม). สืบค้นเมื่อ 2024-02-06.
- ↑ Friedman, Gillian (2020-12-10). "Mastercard and Visa stop allowing their cards to be used on Pornhub". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2023-10-12.
- ↑ Klar, Rebecca (2020-12-10). "MasterCard, Visa to stop allowing their cards to be used on Pornhub". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2023-10-12.
- ↑ Rodrigo, Chris Mills (2021-04-14). "Mastercard updates policy for adult content sellers". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2023-10-12.
- 1 2 Holston-Zannell, LaLa B. (2021-10-15). "How Mastercard's New Policy Violates Sex Workers' Rights | ACLU". American Civil Liberties Union (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2023-10-12.
- ↑ "Sex Workers and Legal Advocates File Federal Trade Commission Complaint Against Mastercard". American Civil Liberties Union (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2023-10-12.
- ↑ "MasterCard Inc. Complaint" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2023-08-31.
- ↑ Taylor, Josh. "Mastercard and Visa face backlash after hundreds of adult games removed from online stores Steam and Itch.io". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 29 July 2025.
- ↑ Chalk, Andy (2025-08-01). "Mastercard deflects blame for NSFW games being taken down, but Valve says payment processors 'specifically cited' a Mastercard rule about damaging the brand". PC Gamer (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-11.
- ↑ "Three Types of Mastercard: Standard, World & World Elite – Forbes Advisor". www.forbes.com. December 9, 2020.
- ↑ Martin, Andrew (April 8, 2010). "MasterCard Set to Open an Online Shopping Mall". The New York Times.
- ↑ "Apple teams with payment networks to turn iPhone into wallet". SanDiegoNews.net. September 1, 2014. สืบค้นเมื่อ September 1, 2014.
- ↑ Keyes, Daniel. "Mastercard launches its B2B payments service". Business Insider. สืบค้นเมื่อ May 13, 2020.
- ↑ "Bitcoin's big moment: Mastercard jumps on the bandwagon". CNN. 2021-02-11. สืบค้นเมื่อ 2021-02-11.
- ↑ "Why Mastercard is bringing crypto onto its network". MasterCard. 2021-02-10. สืบค้นเมื่อ 2021-02-11.
- ↑ Son, Hugh (2021-10-25). "Mastercard says any bank or merchant on its vast network can soon offer crypto services". CNBC (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-11-28.
- ↑ "Mastercard Now Allowing Cardholders to Buy NFTs on Several Marketplaces". finance.yahoo.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). June 10, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-06-10.
- ↑ "MasterCard's QkR mobile payment system enters trial in Australia". January 27, 2012. สืบค้นเมื่อ January 26, 2014.
- ↑ "MasterCard starts piloting QkR mobile payment app". January 26, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 23, 2020. สืบค้นเมื่อ January 26, 2014.
- ↑ "ALERT: Due to licensing changes and rebranding efforts, the Mastercard Contactless (formerly known as PayPass) documentation has been moved". Mastercard. March 8, 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 8, 2015.
- ↑ "Temassız Şifre Limiti Yenilendi;Temassız kartlarda şifresiz işlem limiti 500 TL'ye yükseltildi" [Contactless Password Limit Renewed; Unencrypted transaction limit for contactless cards increased to 500 Turkish lira]. tr:Bankalararası Kart Merkezi (ภาษาตุรกี). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 14, 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-03-19.
- ↑ "Nokia 6131 NFC – touch to pay credit card mobile phones start trickling onto the market". November 22, 2007.
- ↑ Howcroft, Elizabeth (2023-04-28). "Mastercard seeks to expand crypto card tie-ups". Reuters (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2023-04-28.
- ↑ "Mastercard aims to boost trust for blockchain transactions". Finextra Research (ภาษาอังกฤษ). 2023-05-01. สืบค้นเมื่อ 2023-05-01.
- ↑ "Priceless Travel". MasterCard UK. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 5, 2012. สืบค้นเมื่อ July 13, 2011.
- ↑ MasterCard Priceless Cities เก็บถาวร เมษายน 21, 2013 ที่ archive.today. Mastercard.co.uk (August 30, 2012).
- ↑ Loomis, Jay (June 28, 2006). "MasterCard changing name". The Journal News. White Plains, NY. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 16, 2007. สืบค้นเมื่อ July 5, 2006.
- ↑ Olenski, Steve. "The Story Behind Mastercard's New Logo". Forbes (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ May 7, 2018.
- ↑ Diaz, Ann-Christine (January 21, 2019). "From "Priceless" to Wordless: In dropping the moniker from its brandmark, Mastercard highlights the pitfalls and positives of going name-free". Advertising Age. Vol. 90 no. 2. p. 20.
- ↑ "Morning Consult's Most Trusted Brands 2021". Morning Consult (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2021-05-31.
- ↑ Visa signs $170m deal with Fifa. BBC News (June 28, 2007). Retrieved July 13, 2011.
- ↑ "Portal CBF". Confederação Brasileira de Futebol (ภาษาโปรตุเกสแบบบราซิล). สืบค้นเมื่อ 2019-06-15.
- ↑ "Copa Libertadores – Noticias, marcadores en vivo, resultados y partidos | Copa Libertadores". www.copalibertadores.com (ภาษาสเปน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 30, 2020. สืบค้นเมื่อ 2019-06-15.
- ↑ Collins, S. S. (2007). Unraced...: Formula One's Lost Cars (ภาษาอังกฤษ). Veloce Publishing Ltd. ISBN 9781845840846.
- ↑ "Bring Back V10s Podcast: Lola's disastrous 1997 F1 team". The Race. The Race Media. February 11, 2021. สืบค้นเมื่อ 11 February 2021.
- ↑ "Mastercard returns to F1 with McLaren tie-up". July 24, 2024.
- ↑ Gale, Ewan (August 27, 2025). "McLaren Set For 2026 F1 Name Change As New Deal Struck". Sports Illustrated. สืบค้นเมื่อ August 28, 2025.
- ↑ "Mastercard signs with League of Legends as first global partner of the world's largest esport". Mastercard Newsroom. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 8, 2021. สืบค้นเมื่อ September 19, 2018.
- ↑ "Mastercard acquires title sponsorship rights for all BCCI international and domestic home matches". www.bcci.tv (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-09-05.
- ↑ "Mastercard Acquires Title Sponsorship Rights For All BCCI International, Domestic Home Matches | Cricket News". NDTVSports.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-09-05.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- เว็บไซต์ทางการ

- เว็บไซต์องค์กร
- แม่แบบ:OpenSecrets
- ข้อมูลทางด้านธุรกิจของ มาสเตอร์การ์ด:
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2011
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2020
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2014
- Wikipedia articles in need of updatingfromMarch 2016
- All Wikipedia articles in need of updating
- มาสเตอร์การ์ด
- บัตรเครดิต
- สมาคมผู้ออกบัตรเครดิต
- บริษัทของสหรัฐ
- บัตรสมาร์ตการ์ดแบบไร้สัมผัส
- การชำระเงินออนไลน์
- สหกรณ์เดิมของสหรัฐ
- บริษัทนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐ
- บริษัทบริการทางการเงินที่ตั้งอยู่ในรัฐนิวยอร์ก
- บริษัทที่ตั้งอยู่ในเพอร์เชส รัฐนิวยอร์ก
- บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2509
- บริษัทบริการทางการเงินที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2509
- ก่อตั้งในรัฐนิวยอร์กในปี พ.ศ. 2509
- บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
- การเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชนในปี พ.ศ. 2549
- บริษัทในกลุ่มดาวโจนส์โกลบอลไททันส์ 50