ข้ามไปเนื้อหา

มารียา ซูคาโนวา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มารียา นีกีตีชนา ซูคาโนวา
ชื่อพื้นเมือง
Мария Никитична Цуканова
เกิด14 กันยายน ค.ศ. 1924[a]
สโมเลนสกี เขตออมสค์ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย สหภาพโซเวียต
เสียชีวิต14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 (20 ปี)
เซชิน แมนจู
(ปัจจุปันคือช็องจิน เกาหลีเหนือ)
รับใช้ สหภาพโซเวียต
แผนก/สังกัด กองทัพเรือโซเวียต
ประจำการ1942–1945
ชั้นยศสิบโท[b]
หน่วยกองพันองค์รักษ์ทหารราบทางทะเลอิสระที่ 355
การยุทธ์
บำเหน็จวีรชนแห่งสหภาพโซเวียต

มารียา นีกีตีชนา ซูคาโนวา (รัสเซีย: Мария Никитична Цуканова) เป็นผู้ช่วยแพทย์ในกองพันองค์รักษ์ทหารราบทางทะเลอิสระที่ 355 ของกองเรือแปซิฟิกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่เธอถูกสังหารในสนามรบในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 เธอได้รับลำดับเกียรติวีรชนแห่งสหภาพโซเวียตหลังมรณกรรมในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1945 และกลายเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ต่อสู้ในสงครามโซเวียต–ญี่ปุ่นที่ได้รับลำดับเกียรตินี้[1]

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]

ซูคาโนวาเกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1924 ในครอบครัวชาวนาชาวรัสเซียในเขตออมสค์ของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย พ่อของเธอเสียชีวิตก่อนเธอเกิดหลายเดือน และแม่ของเธอทำอาชีพเป็นครู แม่ของเธอแต่งงานใหม่ห้าปีต่อมา ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายไปคาคัสเซีย ทั้งแม่และพ่อเลี้ยงของเธอมีส่วนร่วมในการศึกษาของเธออย่างแข็งขัน หลังจากเรียนจบชั้นประถมศึกษาในทาชตีป เธอเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษา แต่ลาออกใน ค.ศ. 1941 หลังจากที่เยอรมันบุกสหภาพโซเวียต ก่อนจะเรียนจบเพื่อทำงานเป็นพนักงานรับสายโทรศัพท์หลังจากที่พี่ชายและพ่อเลี้ยงของเธอถูกส่งไปประจำการที่แนวหน้า ไม่นานพี่ชายของเธอก็เสียชีวิตในการรบ ส่งผลให้เธอส่งคำขอเข้ารับราชการในกรมทหารที่พี่ชายของเธอเข้าสังกัดแต่ถูกปฏิเสธ เธอเริ่มทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลในเมืองรอสตอฟตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 เมื่อเธอและครอบครัวที่เหลือที่ยังไม่ได้เข้าร่วมสงครามได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอีร์คุตสค์ เธอจึงได้ทำงานในโรงงานผลิตเครื่องบินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่เรียนหลักสูตรการแพทย์ควบคู่ไปกับการเข้าร่วมคอมโซมอล[2]

อาชีพทหาร

[แก้]

ในเดือนเมษายน เธอได้ร้องขอให้ส่งเธอไปที่แนวรบด้านตะวันออกอีกครั้ง แต่หลังจากจัดตั้งกองทหารเรือสตรีของกองเรือแปซิฟิกในเดือนพฤษภาคมตามคำสั่งของคณะกรรมการป้องกันประเทศ เธอถูกส่งไปยังแนวรบแปซิฟิกเพื่อต่อสู้ในสงครามโซเวียต–ญี่ปุ่นในฐานะเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณในกองพันปืนใหญ่ที่ 51 ต่อมาเธอได้รับมอบหมายให้ไปประจำการในกองพันปืนใหญ่ที่ 100 และ 419 ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วัดระยะ ใน ค.ศ. 1944 ซูคาโนวาถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลทหารเรือหมายเลข 8 ในเมืองวลาดีวอสตอค และหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรมแล้ว เธอถูกส่งไปเป็นผู้ช่วยแพทย์ในกองพันองค์รักษ์ทหารราบทางทะเลอิสระที่ 355 กองพันนี้ต้องเผชิญกับการสู้รบอย่างหนักหลังจากสงครามโซเวียต-ญี่ปุ่นเริ่มขึ้นซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ไม่กี่วันหลังจากที่โซเวียตบุกแมนจูกัว เธอเป็นส่วนหนึ่งของกองพลในการยกพลขึ้นบกเพื่อยึดครองท่าเรือเซชิน (ปัจจุบันคือเมืองช็องจิน เกาหลีเหนือ) ยานพาหนะขนส่งจำนวนมากที่ใช้ในการยกพลขึ้นบกถูกญี่ปุ่นโจมตีด้วยระเบิด ในระหว่างนั้น เธอได้ดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี หลังจากขึ้นบก เธอได้ให้การรักษาพยาบาลแก่ทหารที่ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง โดยนำทหารที่ได้รับบาดเจ็บและอาวุธของพวกเขาไปยังที่พักพิง ตลอดเกือบสองวันของการสู้รบอันดุเดือด เธอได้ช่วยชีวิตพลร่มโซเวียตได้ประมาณ 52 คน หลังจากที่ขาของเธอได้รับบาดเจ็บในสนามรบ เธอได้ทำผ้าพันแผลแบบชั่วคราวแต่ไม่ได้ถอยกลับ หลังจากวิ่งผ่านสนามรบไปยังกลุ่มทหารที่ล้อมรอบด้วยทหารญี่ปุ่น และยิงศัตรูด้วยปืนกล เธอพยายามสร้างตำแหน่งป้องกันเพื่อรอกำลังเสริมเพื่อที่เธอจะได้อพยพผู้บาดเจ็บได้ แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่า เธอถูกทหารญี่ปุ่นจับหลังจากที่เธอหมดสติ ทหารญี่ปุ่นพยายามรีดเค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารและทรมานซูคาโนวาอย่างโหดร้าย โดยควักดวงตาของเธอออกและใช้มีดฟันเธอก่อนจะฝังร่างที่ขาดวิ่นของเธอ[3][4]

เกียรติยศและการรำลึก

[แก้]
ซูคาโนวาบนซองจดหมายโซเวียตใน ค.ศ. 1983

ภายหลังจากเสียชีวิต ซูคาโนวาได้รับลำดับเกียรติวีรชนแห่งสหภาพโซเวียตหลังมรณกรรมโดยคำสั่งของสภาโซเวียตสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียต ทำให้เธอเป็นผู้หญิงคนแรก (และคนเดียว) ที่ต่อสู้ในสงครามโซเวียต–ญี่ปุ่นที่ได้รับลำดับเกียรตินี้ อนุสรณ์สถานทหารโซเวียตที่เสียชีวิตในสงครามโซเวียต–ญี่ปุ่นถูกสร้างขึ้นบนหลุมศพหมู่ที่เธอถูกฝัง โดยมีรูปปั้นครึ่งตัวของเธอ[5] เมืองวลาดีวอสตอคซึ่งเธอไปเรียนแพทย์เป็นเวลาหลายเดือนและเมืองโฟคีโนก็มีรูปปั้นของเธอเช่นกัน[6] ใน ค.ศ. 1983 สหภาพโซเวียตได้ออกซองจดหมายที่มีภาพของเธอ (ในภาพ) ถนนในเมืองอะบาคัน บาร์นาอุล โฟคีโน อีร์คุตสค์ ครัสโนยาสค์ และออมสค์ ได้รับการตั้งชื่อตามเธอ นอกเหนือจากโรงเรียนและเรือประมง แผ่นป้ายอนุสรณ์ใกล้เปลวเพลิงนิรันดร์ในเมืองอีร์คุตสค์บนถนนเลนินระบุชื่อของเธอไว้ร่วมกับชื่อของวีรชนแห่งสหภาพโซเวียตคนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ รวมถึงอนุสรณ์สถานอื่น ๆ มากมาย รวมถึงอนุสรณ์สถานวีรชนแห่งสหภาพโซเวียตที่ต่อสู้ในสงครามแปซิฟิกในเมืองวลาดีวอสตอค[2][7]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ระบุว่าวันเกิดของเธอคือวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1924 แต่เอกสารบางฉบับระบุว่าเธอเกิดใน ค.ศ. 1923
  2. แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ระบุตำแหน่งของเธอในฐานะสิบโท แต่เอกสารวีรชนแห่งสหภาพโซเวียตของเธอระบุว่าเธอเป็นทหารกองทัพแดง

อ้างอิง

[แก้]
  1. Sakaida, Henry (2012-04-20). Heroines of the Soviet Union 1941–45 (ภาษาอังกฤษ). Bloomsbury Publishing. p. 56. ISBN 9781780966922.
  2. 2.0 2.1 Ufarkin, Nikolai. "Цуканова Мария Никитична" [Tsukanova Maria Nikitichna]. www.warheroes.ru. สืบค้นเมื่อ 2018-04-05.
  3. ""Цуканова Мария Никитична" Просмотр персоны :: точка "Омск" «Омская область на карте» Ее именем названа улица Омска" ["Tsukanova Maria Nikitichna" Personality review :: point "Omsk" ("Omsk region on the map") Omsk street is named after her]. www.omskmap.ru. 29 June 2015. สืบค้นเมื่อ 2018-04-05.
  4. Sudakov, G (1969). "Матрос Мария Цуканова" [Sailor Maria Tsukanova]. Heroines: Essays about women – Heroes of the Soviet Union. สืบค้นเมื่อ 2018-04-05.
  5. "(Photo of the statue in Chongjin)". www.warheroes.ru. สืบค้นเมื่อ 2021-11-14.
  6. "Pacific Fleet seamen honoured the memory of Hero of the Soviet Union Mariya Tsukanova : Ministry of Defence of the Russian Federation". eng.mil.ru. สืบค้นเมื่อ 2018-04-05.
  7. "Герои-Тихоокеанцы" [Heroes of the Pacific]. Владивосток. 2011-05-09. สืบค้นเมื่อ 2018-04-05.

บรรณานุกรม

[แก้]
  • Cottam, Kazimiera (1998). Women in War and Resistance: Selected Biographies of Soviet Women Soldiers. Newburyport, MA: Focus Publishing/R. Pullins Co. ISBN 1-58510-160-5.
  • Simonov, Andrey; Chudinova, Svetlana (2017). Женщины - Герои Советского Союза и России [Women – Heroes of the Soviet Union and Russia]. Moscow: Russian Knights Foundation and Museum of Technology Vadim Zadorozhny. ISBN 9785990960701. OCLC 1019634607.