มาริโอ บาร์กัส โยซา
มาริโอ บาร์กัส โยซา | |
---|---|
![]() บาร์กัส โยซา ใน ค.ศ. 1988 | |
เกิด | ฆอร์เฆ มาริโอ เปโดร บาร์กัส โยซา 28 มีนาคม ค.ศ. 1936 อาเรกิปา อาเรกิปา เปรู |
เสียชีวิต | 13 เมษายน ค.ศ. 2025 ลิมา เปรู | (89 ปี)
พลเมือง | |
ศิษย์เก่า | |
ตำแหน่ง | มาร์ควิส |
พรรคการเมือง | เสรีภาพประชาชน (ค.ศ. 2023–2025) |
ความเกี่ยวข้อง ทางการเมืองอื่น ๆ | ขบวนการเสรีภาพ (ค.ศ. 1987–1993) แนวหน้าประชาธิปไตย (ค.ศ. 1988–1990) |
คู่สมรส |
|
คู่รัก | อิซาเบล เปรย์สเลร์ (ค.ศ. 2015–2022) |
บุตร | 3 คน รวมถึงอัลบาโร บาร์กัส โยซา |
รางวัล | รางวัลมิเกล เด เซร์บันเตส ค.ศ. 1994 รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2010 |
ที่นั่ง L ของราชบัณฑิตยสถานสเปน | |
ดำรงตำแหน่ง 15 มกราคม ค.ศ. 1996 – 13 เมษายน ค.ศ. 2025 | |
ก่อนหน้า | ฆวน รอฟ การ์บาโย |
ที่นั่ง 18 ของอากาเดมีฟร็องแซซ | |
ดำรงตำแหน่ง 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 – 13 เมษายน ค.ศ. 2025 | |
ก่อนหน้า | มีแชล แซร์ |
ลายมือชื่อ | |
![]() |
ฆอร์เฆ มาริโอ เปโดร บาร์กัส โยซา มาร์ควิสบาร์กัส โยซา ที่ 1 (สเปน: Jorge Mario Pedro Vargas Llosa, i marqués de Vargas Llosa; 28 มีนาคม ค.ศ. 1936 – 13 เมษายน ค.ศ. 2025) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ มาริโอ บาร์กัส โยซา (Mario Vargas Llosa) เป็นนักเขียนนวนิยาย นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนความเรียง และนักการเมืองชาวเปรู บาร์กัส โยซา เป็นนักเขียนนวนิยายและนักเขียนความเรียงคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของภาษาสเปนและของภูมิภาคลาตินอเมริกา และเป็นนักเขียนชั้นนำคนหนึ่งในรุ่นวัยของเขา นักวิจารณ์บางคนมองว่าเขามีอิทธิพลระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าและมีผู้อ่านทั่วโลกมากกว่านักเขียนคนอื่น ๆ ในยุคเฟื่องฟูของวรรณกรรมลาตินอเมริกา[4] ใน ค.ศ. 2010 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม "จากการพรรณนาสาธกโครงสร้างอำนาจและภาพอันเฉียบคมของการต่อต้าน การก่อการกำเริบ และความพ่ายแพ้ของปัจเจกบุคคล"[5] นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลโรมูโล กาเยโกส ใน ค.ศ. 1967, รางวัลเจ้าชายแห่งอัสตูเรียส ใน ค.ศ. 1986, รางวัลมิเกล เด เซร์บันเตส ใน ค.ศ. 1994, รางวัลเยรูซาเลม ใน ค.ศ. 1995, รางวัลการ์โลส ฟูเอนเตส ใน ค.ศ. 2012 และอิสริยาภรณ์ปาโบล เนรูดา สำหรับคุณประโยชน์ด้านศิลปะและวัฒนธรรม ใน ค.ศ. 2018 ใน ค.ศ. 2021 เขาได้รับการคัดเลือกเข้าสู่อากาเดมีฟร็องแซซ[6]
บาร์กัส โยซา เริ่มมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในคริสต์ทศวรรษ 1960 จากนวนิยายเรื่องต่าง ๆ เช่น ลาซิวดัดอีโลสเปร์โรส (ค.ศ. 1963), ลากาซาเบร์เด (ค.ศ. 1966) และหนึ่งในผลงานชิ้นเอกอย่าง กอนเบร์ซาซิออนเอนลากาเตดรัล (ค.ศ. 1969) เขาเขียนวรรณกรรมหลากหลายประเภท รวมทั้งงานวิจารณ์วรรณกรรมและงานหนังสือพิมพ์ นวนิยายของเขามีทั้งแนวตลกขบขัน แนวฆาตกรรมลึกลับ แนวประวัติศาสตร์ และแนวระทึกขวัญการเมือง นวนิยายหลายเรื่อง เช่น ปันตาเลออนอีลัสบิซิตาโดรัส (ค.ศ. 1973), ลาติอาฆูเลียอีเอลเอสกริบิดอร์ (ค.ศ. 1977) เป็นต้น ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์
ภาพความรับรู้ของบาร์กัส โยซา ที่มีต่อสังคมเปรูตลอดจนประสบการณ์ในฐานะชาวเปรูโดยกำเนิดได้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผลงานหลายเรื่องของเขา จากนั้นเขาค่อย ๆ ขยายขอบเขตงานเขียนออกไปโดยนำเสนอประเด็นจากส่วนอื่น ๆ ของโลก ในความเรียงเรื่องต่าง ๆ ของเขา บาร์กัส โยซา วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิชาตินิยมในหลายภูมิภาคของโลก[7]
เช่นเดียวกับนักเขียนลาตินอเมริกาหลายคน บาร์กัส โยซา มีบทบาททางการเมืองอย่างแข็งขัน แม้ว่าในช่วงแรกเขาจะสนับสนุนรัฐบาลปฏิวัติคิวบาของฟิเดล กัสโตร แต่ในเวลาต่อมาเขาก็เริ่มผิดหวังกับนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เอเบร์โต ปาดิยา กวีชาวคิวบา ถูกจำคุกใน ค.ศ. 1971 จากนั้นเขาระบุว่าตัวเองอยู่ฝ่ายเสรีนิยมและมีแนวคิดต่อต้านฝ่ายซ้าย เขาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเปรูใน ค.ศ. 1990 กับแนวหน้าประชาธิปไตยซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายกลาง–ขวา โดยเรียกร้องผลักดันการปฏิรูปเสรีนิยม แต่ก็แพ้การเลือกตั้งอย่างขาดลอยให้แก่อัลเบร์โต ฟูฆิโมริ นับตั้งแต่ที่เขาถอนตัวจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงในเปรู บาร์กัส โยซา ก็ได้สนับสนุนนักเคลื่อนไหวและผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายขวาในระดับนานาชาติ
บาร์กัส โยซา ยังเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญยี่สิบห้าคนในคณะกรรมการสารสนเทศและประชาธิปไตยที่องค์การนักข่าวไร้พรมแดนก่อตั้งขึ้น[8]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "¿Por qué Mario Vargas Llosa estuvo a punto de perder la nacionalidad peruana?" (ภาษาสเปน). La República. 17 February 2023.
- ↑ 2.0 2.1 "Mario Vargas Llosa aceptó la nacionalidad dominicana: "Es un ejemplo para América Latina"" (ภาษาสเปน). Infobae. 1 June 2023.
- ↑ "The Elder Statesman of Latin American Literature — and a Writer of Our Moment". The New York Times. 20 February 2018.
But when Fujimori shut down Congress, Vargas Llosa became his enemy. He asked the international community to cut off aid to Fujimori and noted (correctly) that Latin American militaries often favor coups d'état. In response, Fujimori's head of the armed forces, Nicolás de Bari Hermoza, suggested that Vargas Llosa was deliberately harming Peruvians. Álvaro Vargas Llosa told me that they learned of a plan to strip the entire Vargas Llosa family of its Peruvian citizenship. Mario appealed to Spain, and in 1993 it granted him citizenship. In Peru, this event was widely perceived as the petulant betrayal of a sore loser.
- ↑ Boland & Harvey 1988, p. 7 and Cevallos 1991, p. 272
- ↑ "The Nobel Prize in Literature 2010". Nobelprize. 7 October 2010. สืบค้นเมื่อ 7 October 2010.
- ↑ "Mario VARGAS LLOSA | Académie française".
- ↑ Kordić 2005, pp. 265–268.
- ↑ "Mario Vargas Llosa | Reporters without borders". RSF. 9 September 2018.
บรรณานุกรม
[แก้]- Boland, Roy; Harvey, Sally (1988), Mario Vargas Llosa: From Pantaleón y las visitadoras to Elogio de la madrastra, Auckland: Antipodas, the Journal of Hispanic Studies of the University of Auckland / VOX/AHS, ISBN 978-0-9597858-1-4.
- Cevallos, Francisco Javier (1991), "García Márquez, Vargas Llosa, and Literary Criticism: Looking Back Prematurely", Latin American Research Review, Latin American Research Review, Vol. 26, No. 1, 26 (1): 266–275, doi:10.1017/S0023879100035020, JSTOR 2503775, S2CID 252938607.
- Kordić, Snježana (2005). "Anatomija nacionalizma: recenzija knjige Maria Vargasa Llose, Nationalismus als neue Bedrohung" [Anatomy of nationalism: Review of Mario Vargas Llosa's, Nationalism as a new threat] (PDF). Književna Republika (ภาษาเซอร์โบ-โครเอเชีย). Zagreb. 3 (5–6): 265–268. ISSN 1334-1057. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 May 2012. สืบค้นเมื่อ 3 May 2019. (CROLIB).