ข้ามไปเนื้อหา

ภูมิอากาศแบบเทือกเขาสูง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เทือกเขาไวท์ เป็นสิ่งแวดล้อมแบบเทือกเขาสูงที่ความสูง 4,300 เมตร (14,000 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเลในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ภูมิอากาศแบบเทือกเขาสูง ภูมิอากาศแบบที่สูง หรือ ภูมิอากาศแบบแอลป์ (อังกฤษ: alpine climate, mountain climate หรือ highland climate) เป็นภูมิอากาศที่พบได้ทั่วไปในบริเวณเหนือแนวต้นไม้ ซึ่งบริเวณเหล่านี้ไม้ยืนต้นจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้เนื่องจากความหนาวเย็น

คำนิยาม

[แก้]

ภูมิอากาศแบบเทือกเขาสูงมีคำนิยามหลายประการ

ในการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพิน ภูมิอากาศแบบที่สูงและเทือกเขาสูงจัดอยู่ในกลุ่ม E ร่วมกับภูมิอากาศแบบขั้วโลก ซึ่งไม่มีเดือนใดที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส (50 องศาฟาเรนไฮต์)[1]

ตามระบบเขตชีวภาพโฮลด์ริดจ์ (Holdridge life zones) มีภูมิอากาศภูเขาสองประเภทที่ไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของไม้ยืนต้น ได้แก่

ก) ภูมิอากาศแบบแอลป์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิชีวภาพเฉลี่ย (biotemperature) อยู่ระหว่าง 1.5 และ 3 องศาเซลเซียส (34.7 และ 37.4 องศาฟาเรนไฮต์) โดยภูมิอากาศแบบแอลป์ในระบบโฮลด์ริดจ์นั้นเทียบได้ประมาณกับภูมิอากาศแบบทุนดราที่อบอุ่นที่สุด (ET) ในระบบเคิพเพิน

ข) ภูมิอากาศแบบอัลวาร์ ซึ่งเป็นภูมิอากาศแบบเทือกเขาสูงที่หนาวที่สุด เนื่องจากมีอุณหภูมิชีวภาพเฉลี่ยระหว่าง 0 ถึง 1.5 องศาเซลเซียส (โดยค่าอุณหภูมิชีวภาพจะไม่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส) ซึ่งภูมิอากาศนี้มีความใกล้เคียงกับภูมิอากาศแบบทุนดราที่หนาวที่สุด และภูมิอากาศแบบน้ำแข็งปกคลุม (EF) ตามระบบเคิพเพิน

โฮลด์ริดจ์ให้เหตุผลว่าผลิตภัณฑ์ปฐมภูมิสุทธิของพืชจะหยุดลง เนื่องจากพืชหยุดการเจริญเติบโตชั่วคราว เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส (32 องศาฟาเรนไฮต์) และสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส (86 องศาฟาเรนไฮต์)[2] ดังนั้นจึงกำหนดอุณหภูมิชีวภาพให้เป็นค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิทั้งหมด โดยปรับอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งและที่สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ให้เป็น 0 องศาเซลเซียส แล้วนำผลรวมของอุณหภูมิที่ไม่ได้มีการปรับ หารด้วยจำนวนของอุณหภูมิทั้งหมด (รวมทั้งค่าที่ปรับและไม่ปรับ)

ความแปรผันของภูมิอากาศแบบแอลป์ตลอดทั้งปีนั้นขึ้นอยู่กับละติจูดของพื้นที่ เช่น ในบริเวณเขตร้อนใกล้มหาสมุทร เช่น ยอดเขาเมานาโลอาซึ่งอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งปี[3] แต่ในพื้นที่ละติจูดกลาง เช่น ภูเขาวอชิงตัน ในรัฐนิวแฮมป์เชอร์ อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แต่ไม่อบอุ่นมากนัก[4][5]

สาเหตุ

[แก้]

ลักษณะการกระจายอุณหภูมิของบรรยากาศเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างการแผ่รังสีและการพาความร้อน แสงอาทิตย์ในช่วงคลื่นที่มองเห็นได้จะตกกระทบพื้นผิวโลกและให้ความร้อน พื้นดินจะถ่ายเทความร้อนนั้นไปยังอากาศใกล้ผิวดิน หากการแผ่รังสีเป็นวิธีเดียวในการถ่ายเทความร้อนจากพื้นโลกออกสู่อวกาศ ปรากฏการณ์เรือนกระจกในบรรยากาศจะทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกอยู่ที่ประมาณ 333 เคลวิน (60 องศาเซลเซียส; 140 องศาฟาเรนไฮต์) และอุณหภูมิจะลดลงตามความสูงแบบทวีคูณ[6]

อย่างไรก็ตามเมื่ออากาศร้อนขึ้น วัตถุจะขยายตัว ซึ่งทำให้ความหนาแน่นลดลง ดังนั้นอากาศร้อนจึงมีแนวโน้มที่จะลอยตัวขึ้นและถ่ายเทความร้อนไปทิศขึ้นบน กระบวนการนี้เรียกว่าการพาความร้อน โดยจะเข้าสู่สภาวะสมดุลเมื่อมวลอากาศที่ระดับความสูงหนึ่ง ๆ มีความหนาแน่นเท่ากับอากาศรอบข้าง อากาศเป็นตัวนำความร้อนได้ไม่ดี ดังนั้นมวลอากาศหนึ่ง ๆ จึงสามารถลอยตัวขึ้นหรือลงได้โดยไม่แลกเปลี่ยนความร้อนกับสิ่งแวดล้อม กระบวนการนี้เรียกว่ากระบวนการอะเดียแบติก ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับอุณหภูมิในลักษณะเฉพาะ และเมื่อความดันลดลง อุณหภูมิก็จะลดลงตาม อัตราการลดลงของอุณหภูมิตามระดับความสูงนี้เรียกว่าอัตราการลดลงของอุณหภูมิแบบอะเดียแบติก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 9.8 องศาเซลเซียสต่อกิโลเมตร (หรือ 5.4 องศาฟาเรนไฮต์ต่อ 1,000 ฟุต) ของระดับความสูง[6]

การมีอยู่ของไอน้ำในบรรยากาศทำให้กระบวนการพาความร้อนซับซ้อนมากขึ้น ไอน้ำมีความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ เมื่ออากาศลอยตัวสูงขึ้นและเย็นลง ในที่สุดจะถึงจุดอิ่มตัวและไม่สามารถกักเก็บไอน้ำไว้ได้ทั้งหมด ไอน้ำจึงควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ (เกิดเป็นเมฆ) และปล่อยพลังงานความร้อนออกมา ซึ่งเปลี่ยนอัตราการลดอุณหภูมิจากอัตราการลดลงแบบอะแดียแบติกแห้งเป็นอัตราการลดลงแบบอะแดียแบติกชื้น ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5.5 องศาเซลเซียสต่อกิโลเมตร (หรือ 3 องศาฟาเรนไฮต์ต่อ 1,000 ฟุต)[7] อัตราการลดอุณหภูมิที่เกิดขึ้นจริง เรียกว่าอัตราการลดลงของอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่คงที่ (อาจเปลี่ยนแปลงได้ทั้งรายวัน รายฤดูกาล หรือแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่) แต่ในอัตราปกติโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.5 องศาเซลเซียส 1,000 เมตร (หรือ 3.57 องศาฟาเรนไฮต์ต่อ 1,000 ฟุต)[8][9] ดังนั้นการไต่ขึ้นเขาในแนวดิ่งสูง 100 เมตร (330 ฟุต) จะมีผลต่ออุณหภูมิใกล้เคียงกับการเดินทางไปทางขั้วโลกในแนวราบเป็นระยะทาง 80 กิโลเมตร (50 ไมล์ หรือประมาณ 0.75 องศาละติจูด)[10] อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้เป็นเพียงการประมาณ เนื่องจากปัจจัยเฉพาะท้องถิ่น เช่น ความใกล้ทะเล สามารถเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญได้[11] เมื่อระดับความสูงเพิ่มขึ้น ปริมาณหยาดน้ำฟ้าจะเปลี่ยนเป็นหิมะและลมจะแรงขึ้น อุณหภูมิจะลดลงเรื่อย ๆ จนถึงชั้นโทรโพพอสที่ระดับความสูงประมาณ 11,000 เมตร (36,000 ฟุต) ซึ่งอุณหภูมิจะไม่ลดลงต่อไปอีก — จุดนี้อยู่สูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดบนโลก

การกระจาย

[แก้]
แผนที่สากลของภูมิอากาศแบบแอลป์[12]

แม้ว่าการจำแนกภูมิอากาศประเภทนี้จะครอบคลุมเพียงพื้นที่เล็กน้อยของผิวโลก แต่ภูมิอากาศแบบแอลป์กลับกระจายตัวอย่างกว้างขวาง พื้นที่ภูเขาที่มีภูมิอากาศแบบแอลป์ได้แก่[12]

ระดับความสูงของแนวต้นไม้ โดยละติจูด[12]

ระดับความสูงต่ำสุดของภูมิอากาศแบบแอลป์แตกต่างกันอย่างมากตามละติจูด หากนิยามภูมิอากาศแบบแอลป์โดยอ้างอิงจากแนวต้นไม้ ภูมิอากาศนี้สามารถพบได้ในระดับความสูงเพียง 650 เมตร (2,130 ฟุต) ที่ละติจูด 68 องศาเหนือ ในประเทศสวีเดน[16] ขณะที่เขาคิลิมันจาโรในประเทศแทนซาเนีย แนวต้นไม้อยู่ที่ระดับความสูงถึง 3,950 เมตร (12,960 ฟุต)[16]

เชิงอรรถและอ้างอิง

[แก้]
  1. McKnight, Tom L; Hess, Darrel (2000). "Climate Zones and Types: The Köppen System". Physical Geography: A Landscape Appreciation. Upper Saddle River, New Jersey: Prentice Hall. pp. 235–7. ISBN 978-0-13-020263-5.
  2. Lugo, A. E. (1999). "The Holdridge life zones of the conterminous United States in relation to ecosystem mapping". Journal of Biogeography. 26 (5): 1025–1038. Bibcode:1999JBiog..26.1025L. doi:10.1046/j.1365-2699.1999.00329.x. S2CID 11733879. สืบค้นเมื่อ 27 May 2015.
  3. "Period of Record Monthly Climate Summary". MAUNA LOA SLOPE OBS, HAWAII. NOAA. สืบค้นเมื่อ 2012-06-05.
  4. "Station Name: NH MT WASHINGTON". National Oceanic and Atmospheric Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-25. สืบค้นเมื่อ 9 June 2014.
  5. "WMO Climate Normals for MOUNT WASHINGTON, NH 1961–1990". National Oceanic and Atmospheric Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-25. สืบค้นเมื่อ 9 June 2014.
  6. 6.0 6.1 Goody, Richard M.; Walker, James C.G. (1972). "Atmospheric Temperatures" (PDF). Atmospheres. Prentice-Hall. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-07-29. สืบค้นเมื่อ 2016-05-02.
  7. "Dry Adiabatic Lapse Rate". tpub.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-03. สืบค้นเมื่อ 2016-05-02.
  8. "Adiabatic Lapse Rate". The IUPAC Compendium of Chemical Terminology. IUPAC. 2009. doi:10.1351/goldbook.A00144. ISBN 978-0-9678550-9-7.
  9. Dommasch, Daniel O. (1961). Airplane Aerodynamics (3rd ed.). Pitman Publishing Co. p. 22.
  10. "Mountain Environments" (PDF). United Nations Environment Programme World Conservation Monitoring Centre. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-08-25.
  11. "Factors affecting climate". The United Kingdom Environmental Change Network. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-16.
  12. 12.0 12.1 12.2 Testolin, Riccardo; Attorre, Fabio; Jiménez-Alfaro, Borja (2020). "Global distribution and bioclimatic characterization of alpine biomes". Ecography. 43 (6): 779–788. Bibcode:2020Ecogr..43..779T. doi:10.1111/ecog.05012. hdl:11585/896830.
  13. McColl, R. W. (May 14, 2014). Encyclopedia of World Geography - Volume 1. Facts On File, Incorporated. p. 537. ISBN 9780816072293.
  14. "Climate atlas of the archipelagos of the Canary Islands, Madeira and the Azores" (PDF). IPMA, AEMET. สืบค้นเมื่อ 17 June 2021.
  15. "Plants and Climate". Information about Mauna Loa. Hawaii Center for Volcanology. สืบค้นเมื่อ 11 March 2025.
  16. 16.0 16.1 Körner, Ch (1998). "A re-assessment of high elevation treeline positions and their explanation" (PDF). Oecologia. 115 (4): 445–459. Bibcode:1998Oecol.115..445K. CiteSeerX 10.1.1.454.8501. doi:10.1007/s004420050540. PMID 28308263. S2CID 8647814. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2006-09-11. สืบค้นเมื่อ 2015-08-05.