ข้ามไปเนื้อหา

ภาษีไก่

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การเลี้ยงไก่แบบเข้มข้นของสหรัฐนำไปสู่ "สงครามไก่" กับยุโรปในช่วง ค.ศ. 1961–1964

ภาษีไก่ (อังกฤษ: Chicken tax) เป็นภาษีศุลกากรร้อยละ 25 ที่เก็บจากรถบรรทุกขนาดเล็ก (และเดิมเก็บจากแป้งมันฝรั่ง เด็กซ์ทริน และบรั่นดี) ซึ่งสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสันกำหนดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1964 เพื่อตอบโต้ภาษีที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีตะวันตกเรียกเก็บจากการนำเข้าไก่จากสหรัฐ[1] ช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1961 ถึง 1964[2] ซึ่งเต็มไปด้วยความตึงเครียดและการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับประเด็นนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "สงครามไก่" (Chicken War) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสูงสุดของสงครามเย็นทางการเมือง[3]

ในท้ายที่สุด ภาษีศุลกากรสำหรับแป้งมันฝรั่ง เด็กซ์ทริน และบรั่นดีก็ถูกยกเลิก[4] แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 1964 ลัทธิคุ้มครองรูปแบบนี้ยังคงมีอยู่เพื่อให้ผู้ผลิตยานยนต์ในสหรัฐได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่นำเข้า[5] แม้จะยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการยกเลิก[6][7] แต่การศึกษาของสถาบันคาโตใน ค.ศ. 2003 เรียกภาษีศุลกากรนี้ว่าเป็น "นโยบายที่กำลังหาเหตุผลมารองรับ"[4]

ด้วยผลกระทบที่ไม่ตั้งใจ ผู้นำเข้ารถบรรทุกขนาดเล็กหลายรายได้เลี่ยงภาษีผ่านช่องโหว่ต่าง ๆ ซึ่งรู้จักกันในชื่อวิศวกรรมภาษีศุลกากร (tariff engineering) ตัวอย่างเช่น ฟอร์ด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลประโยชน์หลักจากภาษีนี้ ก็เลี่ยงภาษีโดยการผลิตรถบรรทุกขนาดเล็กรุ่นแรกของทรานสิต คอนเน็กต์ (Transit Connect) สำหรับตลาดสหรัฐในตุรกี ทรานสิตเหล่านี้ถูกติดตั้งให้เป็นรถยนต์นั่ง ซึ่งทำให้ฟอร์ดสามารถเลี่ยงภาษีไก่เมื่อรถผ่านศุลกากรในสหรัฐ ทรานสิตเหล่านี้ถูกถอดเบาะหลังและเข็มขัดนิรภัยออกก่อนการขาย[1] ทำนองเดียวกัน เพื่อนำเข้ารถตู้บรรทุกสินค้าที่ผลิตในเยอรมนี เมอร์เซเดส-เบนซ์ถอดแยกชิ้นส่วนรถยนต์ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้วและขนส่งไปยัง "อาคารประกอบชุดเล็ก" ในเซาท์แคโรไลนา ที่ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านั้นถูกประกอบกลับเข้าไปใหม่[8] รถที่ได้ออกมาจึงถือเป็นรถที่ผลิตในประเทศ ทำให้ไม่ต้องเสียภาษี ช่องโหว่ดังกล่าวหลายแห่งได้รับการปิดในภายหลังโดยสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ รถบรรทุกขนาดเล็กที่ผลิตในเม็กซิโกและแคนาดา เช่น รถบรรทุกแรม (Ram Trucks) ที่ผลิตในซัลตีโย ประเทศเม็กซิโก และรถบรรทุกเชฟโรเลตรุ่นที่ผลิตในแคนาดา ไม่ต้องเสียภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ[9] และตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 ภายใต้ความตกลงสหรัฐ–เม็กซิโก–แคนาดา

ภูมิหลัง

[แก้]
บทความจากคอลัมนิสต์ของนิตยสาร Atlantic Monthly ได้แสดงความเสียใจต่อผลกระทบของการผลิตไก่ในระบบอุตสาหกรรมต่อคุณภาพของไก่ที่สหรัฐส่งออก โดยเรียกมันว่าเป็น "ไก่ที่เลี้ยงในกรงแคบ กินอาหารที่มีสารเคมี ผ่านการฆ่าเชื้อ ผิวขาวราวเครื่องกระเบื้อง ยินดีคืนเงินถ้าคุณสามารถลิ้มรสชาติมันได้" ภาพการ์ตูนที่มาพร้อมกับบทความนั้นแสดงให้เห็นไก่ถูกป้อนเข้าไปในเครื่องจักรที่มีชื่อว่า "เครื่องแปรรูป บรรจุภัณฑ์และกำจัดรสชาติอาหารอัตโนมัติ อินสตาฟรีโซ ผลิตภัณฑ์จากประเทศสหรัฐ" ผู้บริหารฝ่ายผลิตคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเครื่องจักรขณะที่มันปั๊มผลิตภัณฑ์อาหารไก่สำเร็จรูปออกมาเป็นก้อน ซึ่งดูเหมือนจะคุกคามที่จะกลืนกินโลกทั้งใบ[10]

ส่วนใหญ่เป็นเพราะการทำฟาร์มเลี้ยงไก่แบบเข้มข้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองและการลดราคาที่ตามมา ทำให้ไก่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีความหมายเหมือนกันทั่วโลกว่าเป็นอาหารหรูหรา กลายเป็นอาหารหลักในสหรัฐ[11] ก่อนช่วงต้นทศวรรษ 1960 ไม่เพียงแต่ไก่ยังคงมีราคาแพงเกินไปในยุโรปเท่านั้น แต่ยังคงเป็นอาหารอันโอชะ[12] ด้วยการนำเข้าไก่ราคาถูกจากสหรัฐ ราคาไก่จึงลดลงอย่างรวดเร็วและมากทั่วยุโรป ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการบริโภคไก่ในยุโรป[12] ใน ค.ศ. 1961 การบริโภคไก่ต่อหัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23 ในเยอรมนีตะวันตก[12] ไก่จากสหรัฐครองตลาดไก่นำเข้าในยุโรปเกือบครึ่งหนึ่ง[12]

ต่อมา ชาวดัตช์กล่าวหาว่าสหรัฐทุ่มตลาดไก่ด้วยราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิต[12] รัฐบาลฝรั่งเศสห้ามนำเข้าไก่จากสหรัฐและแสดงความกังวลว่าฮอร์โมนอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ของผู้ชาย[12] สมาคมเกษตรกรเยอรมันกล่าวหาบริษัทสัตว์ปีกของสหรัฐว่าเลี้ยงไก่ให้อ้วนขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติด้วยสารหนู[12]

สืบเนื่องมาจาก "วิกฤตการณ์ในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับตลาดร่วม"[12] ยุโรปดำเนินการต่อไปด้วยการตั้งกำแพงภาษี โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความพอเพียงทางการเกษตรของยุโรปหลังสงคราม[13] ตลาดยุโรปเริ่มกำหนดการควบคุมราคาไก่[12] ฝรั่งเศสเริ่มใช้ภาษีที่สูงขึ้นก่อน โดยชักชวนเยอรมนีตะวันตกให้เข้าร่วมด้วย แม้ชาวฝรั่งเศสจะหวังได้รับส่วนแบ่งที่มากขึ้นจากตลาดไก่ที่ทำกำไรของเยอรมนีตะวันตกหลังกีดกันไก่จากสหรัฐ[3] ยุโรปนำนโยบายเกษตรร่วมมาใช้ โดยกำหนดราคาขั้นต่ำสำหรับการนำเข้าไก่ทั้งหมดและยกเลิกข้อผูกพันและข้อตกลงทางภาษีเดิม

เริ่มต้นใน ค.ศ. 1962 สหรัฐกล่าวหาตลาดร่วมยุโรปว่าจำกัดการนำเข้าสัตว์ปีกอเมริกันอย่างไม่ยุติธรรม ภายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1962 ผู้ส่งออกของสหรัฐสูญเสียยอดขายไก่ในยุโรปไปร้อยละ 25[12] ความเสียหายต่ออุตสาหกรรมสัตว์ปีกของสหรัฐถูกประเมินไว้ที่ 26–28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[3] (เทียบเท่ากับ 261.89282.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023)

วุฒิสมาชิกเจ.วิลเลียม ฟูลไบรต์ ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ประจำวุฒิสภาและวุฒิสมาชิกพรรตเดโมแครตจากรัฐอาร์คันซอ รัฐผู้ผลิตสัตว์ปีกรายใหญ่ของสหรัฐ ขัดจังหวะการอภิปรายของเนโทเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์เพื่อประท้วงการคว่ำบาตรทางการค้าไก่ของสหรัฐ[3] โดยถึงขั้นขู่ว่าจะตัดกำลังทหารสหรัฐในเนโท ค็อนราท อาเดอเนาเออร์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตกในขณะนั้น รายงานในภายหลังว่าประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีกับเขาได้มีการติดต่อกันเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาสองปี เกี่ยวกับเบอร์ลิน ลาว การบุกอ่าวหมู "และผมคิดว่าประมาณครึ่งหนึ่งของมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับไก่"[3][12]

ความล้มเหลวทางการทูตและสหภาพแรงงานยานยนต์

[แก้]
ยอดขายรถตู้ฟ็อลคส์วาเกิน ไทป์ 2 รุ่นกระบะและรุ่นเพื่อการพาณิชย์ในสหรัฐถูกจำกัดเนื่องจากภาษีไก่

การทูตล้มเหลวหลังจาก 18 เดือน[4][14] และในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1963 ประธานาธิบดีจอห์นสันกำหนดภาษีร้อยละ 25 (เกือบ 10 เท่าของภาษีศุลกากรเฉลี่ยของสหรัฐ) โดยคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Proclamation 3564)[15] สำหรับแป้งมันฝรั่ง เด็กซ์ทริน บรั่นดี และรถบรรทุกขนาดเล็ก โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1964[15]

ด้วยการประกาศของจอห์นสัน[4] สหรัฐได้อ้างสิทธิ์ของตนภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT)[13] ซึ่งประเทศที่ได้รับความเสียหายอาจเพิ่มภาษีในจำนวนเท่ากับความเสียหายจากภาษีที่เลือกปฏิบัติ อย่างเป็นทางการ ภาษีดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่สินค้านำเข้าจากยุโรปที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับยอดขายไก่ของอเมริกาที่เสียไปในตลาดยุโรป[16]

เมื่อมองย้อนกลับไป เทปเสียงจากทำเนียบขาวของจอห์นสันเปิดเผยถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับไก่ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1964 ประธานาธิบดีจอห์นสันพยายามโน้มน้าววอลเตอร์ รอยเทอร์ ประธานสหภาพแรงงานยานยนต์ ไม่ให้เริ่มการประท้วงหยุดงานก่อนการเลือกตั้ง ค.ศ. 1964 และให้สนับสนุนนโยบายสิทธิพลเมืองของประธานาธิบดี รอยเทอร์เองก็ต้องการให้จอห์นสันตอบโต้การส่งออกที่เพิ่มขึ้นของฟ็อลคส์วาเกินไปยังสหรัฐ[16]

ภาษีไก่ส่งผลโดยตรงต่อการลดการนำเข้ารถยนต์ฟ็อลคส์วาเกิน ไทป์ 2 ที่ผลิตในเยอรมนีตะวันตกในรูปแบบที่เข้าข่ายเป็นรถบรรทุกขนาดเล็ก กล่าวคือ รถตู้เพื่อการพาณิชย์และรถกระบะ[16]

ใน ค.ศ. 1964 การนำเข้ารถบรรทุกจากเยอรมนีตะวันตกลดลงเหลือมูลค่า 5.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของมูลค่าที่นำเข้าในปีที่แล้ว (เทียบเท่ากับ 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023) หลังจากนั้นไม่นาน รถตู้บรรทุกและรถกระบะของฟ็อลคส์วาเกิน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก "หายไปจากตลาดสหรัฐอย่างแท้จริง"[4]

ฟ็อลคส์วาเกิน ไทป์ 2 ไม่ใช่กลุ่มยานยนต์เดียวที่ได้รับผลกระทบ จากผลโดยตรงของภาษีไก่ ผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่างโตโยต้า (ด้วยรุ่นพับลิกา, คราวน์ และโคโรน่า) ดัทสัน (รถบรรทุกซันนี่) อีซูซุ (วอสป์) และมาสด้า (แฟมิเลีย) ซึ่งกำลังจำหน่ายรถกระบะ รถคูเปอเนกประสงค์ดัดแปลง และรถตู้บรรทุกในสหรัฐในขณะนั้น ถอนรถรุ่นเหล่านี้ออกจากตลาดอเมริกาเหนือกับแคริบเบียนและไม่ได้นำเข้ารถยนต์หลายรุ่นที่จำหน่ายในที่อื่นมาด้วย

ผลที่ตามมา

[แก้]
เชฟโรเลต แอลยูวี ถูกนำเข้าตั้งแต่ ค.ศ. 1972 ถึง 1980 ในรูปแบบแชสซีส์แค็บ (ไม่มีกระบะท้าย) เพื่อเลี่ยงภาษีไก่
ฟอร์ด ทรานสิต คอนเน็กต์ที่มุ่งหน้าสู่สหรัฐ ชิ้นส่วนภายในบางส่วนถูกแบ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อเลี่ยงภาษีไก่

ภาษีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อทุกประเทศที่ต้องการนำเข้ารถบรรทุกขนาดเล็กมายังสหรัฐและ "บีบ" ให้บริษัทรถบรรทุกขนาดเล็กของเอเชียออกจากตลาดรถกระบะอเมริกันอย่างมีประสิทธิภาพ[17] ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดีทรอยต์ได้ล็อบบีเพื่อปกป้องภาษีรถบรรทุกขนาดเล็ก ซึ่งเป็นการลดแรงกดดันต่อดีทรอยต์ในการนำเสนอรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษน้อยลงและประหยัดน้ำมันมากขึ้น[16]

ณ มีนาคม ค.ศ. 2023 ภาษีศุลกากรร้อยละ 25 ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1964 ยังคงถูกเรียกเก็บจากรถบรรทุกขนาดเล็กนำเข้า[18] รอเบิร์ต ซี. ลอว์เรนซ์ ศาสตราจารย์ด้านการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่าภาษีดังกล่าวสร้างความเสียหายแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐโดยการกีดกันจากการแข่งขันที่แท้จริงในตลาดรถบรรทุกขนาดเล็กเป็นเวลา 40 ปี[19][แหล่งอ้างอิงอาจไม่น่าเชื่อถือ]

การเลี่ยงภาษีศุลกากร

[แก้]

ผู้ผลิตชาวญี่ปุ่นพบในตอนแรกว่าพวกเขาสามารถส่งออกรถในรูปแบบ "แชสซีส์แค็บ" (ซึ่วรวมถึงรถบรรทุกขนาดเล็กทั้งคัน ยกเว้นส่วนกระบะบรรทุก) โดยมีอัตราภาษีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น[4] ต่อมากระบะบรรทุกจะถูกนำมาติดตั้งกับแชสซีส์ในสหรัฐและรถคันนั้นก็จะสามารถขายเป็นรถบรรทุกขนาดเล็กได้ ตัวอย่างเช่นเชฟโรเลต แอลยูวี (Chevrolet LUV) และฟอร์ด คูเรียร์ (Ford Courier) ช่องโหว่ "แชสซีส์แค็บ" ถูกปิดลงใน ค.ศ. 1980[4] ตั้งแต่ ค.ศ. 1978 ถึง 1987 ซูบารุ แบรต (Subatu BRAT) ติดตั้งที่นั่งหันหลังสองที่นั่ง (พร้อมเข็มขัดนิรภัยและพรม) ในส่วนกระบะท้ายเพื่อให้ได้รับการจัดประเภทเป็น "รถยนต์นั่ง" ไม่ใช่รถบรรทุกขนาดเล็ก

หน่วยงานศุลกากรสหรัฐเปลี่ยนแปลงการจัดประเภทรถยนต์ใน ค.ศ. 1989 ซึ่งส่งผลให้รถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูง (SUV) สองประตูถูกจัดอยู่ในประเภทรถบรรทุกขนาดเล็กโดยอัตโนมัติ[4] โตโยต้า นิสสัน ซูซูกิ (ผ่านกิจการร่วมค้ากับจีเอ็ม) และ ฮอนด้าสร้างโรงงานประกอบในสหรัฐและแคนาดาในที่สุดเพื่อตอบสนองต่อภาษีศุลกากรดังกล่าว[1]

ตั้งแต่ ค.ศ. 2001 ถึง 2006 รถตู้บรรทุกสินค้ารุ่นต่าง ๆ ของเมอร์เซเดสและดอดจ์ สปรินเตอร์ถูกผลิตในรูปแบบชุดประกอบในดึสเซิลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี จากนั้นจึงถูกส่งไปยังโรงงานในแกฟนีย์ รัฐเซาท์แคโรไลนา เพื่อประกอบขั้นสุดท้าย โดยมีชิ้นส่วนที่จัดหาในท้องถิ่นในสัดส่วนที่เสริมชิ้นส่วนนำเข้า[20][แหล่งอ้างอิงอาจไม่น่าเชื่อถือ] รถรุ่นบรรทุกสินค้าเหล่านี้จะต้องเสียภาษีหากนำเข้าในรูปแบบเต็มคัน ดังนั้นจึงนำเข้าในรูปแบบชุดชิ้นส่วนเพื่อประกอบในสหรัฐ[21]

ฟอร์ดนำเข้าฟอร์ด ทรานสิต คอนเน็กต์ (Ford Transit Connect) รุ่นแรกทั้งหมดในฐานะ "รถยนต์นั่ง" โดยติดตั้งกระจกหลัง เบาะหลัง และเข็มขัดนิรภัยด้านหลัง[1] รถเหล่านี้ถูกส่งออกจากตุรกีโดยเรือของบริษัท Wallenius Wilhelmsen Logistics (WWL) มาถึงบอลทิมอร์ และถูกดัดแปลงกลับเป็นรถบรรทุกขนาดเล็กที่โรงงาน Vehicle Services Americas, Inc. ของ WWL โดยการเปลี่ยนกระจกหลังเป็นแผ่นโลหะและถอดเบาะหลังกับเข็มขัดนิรภัยออก[1] ชิ้นส่วนที่ถอดออกไม่ได้ถูกส่งกลับไปตุรกีเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ แต่ถูกนำไปบดและรีไซเคิลในรัฐโอไฮโอ[1] กระบวนการนี้เป็นการใช้ช่องโหว่ในคำนิยามทางศุลกากรของรถบรรทุกขนาดเล็ก เนื่องจากสินค้าบรรทุกไม่จำเป็นต้องมีเบาะนั่งพร้อมเข็มขัดนิรภัยหรือกระจกหลัง การมีสิ่งเหล่านี้โดยอัตโนมัติทำให้รถมีคุณสมบัติเป็น "รถยนต์นั่ง" และได้รับการยกเว้นจากสถานะ "รถบรรทุกขนาดเล็ก" กระบวนการนี้มีค่าใช้จ่ายสำหรับฟอร์ดหลายร้อยดอลลาร์ต่อคัน แต่ช่วยประหยัดภาษีได้หลายพันดอลลาร์[1] สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐประมาณการว่า ระหว่าง ค.ศ. 2002 ถึง 2018 การปฏิบัตินี้ช่วยให้ฟอร์ดประหยัดภาษีศุลกากรไปได้ 250 ล้านดอลลาร์วหรัฐ[22]

ใน ค.ศ. 2013 สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐตัดสินว่าทรานสิต คอนเน็กต์ที่นำเข้าโดยฟอร์ดในฐานะรถยนต์นั่งแบบวากอนและต่อมาถูกดัดแปลงเป็นรถตู้บรรทุกสินค้าควรถูกเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 25 ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้กับรถตู้ และไม่ใช่ร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้กับรถยนต์นั่ง ฟอร์ดได้ยื่นฟ้องและในที่สุด ใน ค.ศ. 2020 ศาลสูงสุดปฏิเสธรับฟังคดีซึ่งเป็นการยืนยันตามจุดยืนของสำนักงานฯ[23] ใน ค.ศ. 2024 ฟอร์ดบรรลุความตกลงกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ โดยตกลงจ่ายเงิน 365 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรูปของภาษีศุลกากรและค่าปรับ[24]

ไครสเลอร์เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรม โปรมาสเตอร์ ซิตี (Ram ProMaster City) รุ่นที่ปรับปรุงให้เข้ากับตลาดอเมริกาของเฟียต โดโบล (Fiat Doblò) ใน ค.ศ. 2015 โดยผลิตรถรุ่นนี้ที่โรงงานโทฟัสในประเทศตุรกี และนำเข้าเฉพาะรุ่นโดยสารก่อนจะนำมาดัดแปลงเป็นรุ่นบรรทุกสินค้าในภายหลัง

ใน ค.ศ. บริษัท มหินทราแอนด์มหินทรา จำกัด ประกาศว่าจะส่งออกรถกระบะจากอินเดียในรูปแบบชุดชิ้นส่วนอีกครั้งเพื่อเลี่ยงภาษี[5] ซึ่งเป็นยานรถเต็มคันซึ่งสามารถประกอบในสหรัฐจากชุดชิ้นส่วนที่ขนส่งมาในลัง[5][25] ต่อมาแผนการส่งออกถูกยกเลิก

นิสสันเลี่ยงภาษีไก่ร้อยละ 25 โดยผลิตรถตู้บรรทุกขนาดเล็กขับเคลื่อนล้อหน้า NV200 ที่ได้รับความนิยมในโรงงานประกอบรถยนต์ที่กเวร์เนวากา ประเทศเม็กซิโก ใน ค.ศ. 2013 สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ เชฟโรเลตจำหน่ายรุ่นที่เปลี่ยนตราเป็น "ซิตี เอกซ์เพรส" (City Express) สำหรับรุ่นปี 2015–2018 การผลิต NV200 สิ้นสุดลงในฤดูร้อน ค.ศ. 2021 ราคาถูกกว่าคู่แข่งหลักอย่างฟอร์ด ทรานสิตอย่างมาก ซึ่งนำเข้าจากโรงงานประกอบรถยนต์ในตุรกีและต่อมาคือสเปน เนื่องจากรถเหล่านั้นต้องเสียภาษีไก่ร้อยละ 25

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 5 6 7 Dolan, Matthew (23 September 2009). "To Outfox the Chicken Tax, Ford Strips Its Own Vans". Wall Street Journal.
  2. "Common Market: End of the Chicken War". Time. 29 November 1963. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 22, 2008. สืบค้นเมื่อ April 28, 2010.
  3. 1 2 3 4 5 "Common Market: The Chicken War". Time. 14 June 1963. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 22, 2008. สืบค้นเมื่อ April 28, 2010.
  4. 1 2 3 4 5 6 7 8 Ikenson, Daniel (June 18, 2003). "Ending the 'Chicken War': The Case for Abolishing the 25 Percent Truck Tariff". The Cato Institute. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2011. สืบค้นเมื่อ November 29, 2011.
  5. 1 2 3 Kong, Benson (1 June 2009). "Mahindra Planning Kit Assembly of Diesel Pickups To Avoid Chicken Tax". Motor Trend. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 15, 2013. สืบค้นเมื่อ September 22, 2009.
  6. Bob Holland (24 February 2006). "Should the US keep the Chicken Tax?". Edmunds. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-02-03.
  7. Spinelli, Mike (24 February 2006). "The Free Trade Boys Are Clucking: Repeal the Chicken Tax??". Jalopnik.
  8. Jim Henry (3 December 2016). "M-B finds a better way around the 'chicken tax': M-B Vans picks a more normal production setup". Automotive News.
  9. McIntosh, Jil (2017-07-05). "Rearview Mirror: The Chicken Tax". Driving. สืบค้นเมื่อ 2025-01-02.
  10. Weinburg, Carl (2003). "Big Dixie Chicken Goes Global: Exports and the Rise of the North Georgia Poultry Industry" (PDF). Business and Economic History. 1: 1–32. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-08-07.
  11. Godley, Andrew; Williams, Bridget (July 28, 2009). "Democratizing Luxury and the Contentious 'Invention of the Technological Chicken' in Britain". Business History Review. 83 (2): 267–290. doi:10.1017/S0007680500000520. S2CID 153833716. SSRN 1440355.
  12. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 "Western Europe: Nobody But Their Chickens". Time. 30 November 1962. สืบค้นเมื่อ 20 May 2021.
  13. 1 2 "Common Market: Ruffled Feathers". Time. 16 August 1963. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.[ลิงก์เสีย]
  14. Ikenson, Daniel J. (6 July 2003). "The Big Three's Shameful Secret". Cato Institute.
  15. 1 2 "Lyndon B. Johnson: Proclamation 3564 – Proclamation Increasing Rates of Duty on Specified Articles". American Presidency Project, UCSB.
  16. 1 2 3 4 Bradsher, Keith (30 November 1997). "Light Trucks Increase Profits But Foul Air More than Cars". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.
  17. Hunting, Benjamin (2009-03-10). "Global Vehicles and Thailand Argue Against 'Chicken Tax' On Imported Pickups". Autobytel. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2012.
  18. Levin, Doron (2018-03-28). "Want To Sink Detroit Automakers? Make A Trade Deal That Weakens U.S. Tariff Protecting Pickups". Forbes. สืบค้นเมื่อ 10 June 2018.
  19. "Frozen Chickens Killed Detroit. Discuss". Green Car Reports. 7 May 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2009. สืบค้นเมื่อ 24 September 2009.
  20. "New Sprinter van plant to be built". Edmunds. 28 November 2005.[ลิงก์เสีย]
  21. Noran S. Mayersohn (2 December 2001). "By Any Name, It's the Mercedes of Cargo Vans". The New York Times. สืบค้นเมื่อ April 28, 2010.
  22. Chan, Szu Ping (18 October 2018). "When's a van a van and when's it a car?". BBC News. สืบค้นเมื่อ 18 October 2018.
  23. Shepardson, David (June 3, 2021). "Ford says it could face $1.3 billion in new penalties in Transit imports". Reuters.
  24. "Ford Motor Company Agrees to Pay $365M to Settle Customs Civil Penalty Claims Relating to Misclassified and Under-Valued Vehicles". United States Department of Justice. 2024-03-11. สืบค้นเมื่อ 2025-01-02.
  25. "Killing the 'Chicken Tax' on Trucks Will Promote Innovation". Engineering News Record. 2009-06-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-11. สืบค้นเมื่อ 2025-04-29.

== หนังสืออ่านเพิ่ม)