ข้ามไปเนื้อหา

พุทธมณฑล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พุทธมณฑล
แผนที่
ชื่อสามัญพุทธมณฑล
ที่ตั้ง25/25 หมู่ที่ 6 ถนนพุทธมณฑล สาย 4 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
ประเภทสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
นิกายเถรวาท
พระประธานพระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์
ความพิเศษพระพุทธรูปปางลีลาขนาดใหญ่, พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่
เวลาทำการทุกวัน 05:00–19:00 น.
จุดสนใจการเวียนเทียนรอบพระประธานในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
กิจกรรมกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา, งานประเพณี, การปฏิบัติธรรม, การพักผ่อนในสวนสาธารณะ
การถ่ายภาพอนุญาต ยกเว้นในเขตพิธีกรรมบางส่วน
หมายเหตุพุทธมณฑลเป็นสถานที่จัดงานรัฐพิธีทางศาสนาระดับชาติในวันสำคัญหลายวาระ
icon สถานีย่อยพระพุทธศาสนา

พุทธมณฑล เป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ในตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย มีพื้นที่รวมประมาณ 2,500 ไร่ จัดตั้งขึ้นในโอกาสเฉลิมฉลองวาระกึ่งพุทธกาล เมื่อ พ.ศ. 2500 โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีเป้าหมายให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในระดับชาติ ใช้สำหรับเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของพระโคตมพุทธเจ้า และเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมทางศาสนาในวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันมาฆบูชา อีกทั้งยังเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในระดับชาติและนานาชาติ

หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของพุทธมณฑลคือ พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางลีลาขนาดใหญ่ ออกแบบโดยศิลป์ พีระศรี การก่อสร้างพระพุทธรูปแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2525 และมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในวาระพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและจิตวิญญาณของพุทธศาสนิกชนไทย

ประวัติ

[แก้]

พุทธมณฑล เป็นโครงการสำคัญของประเทศไทยในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งผสมผสานแนวคิดทางศาสนา ชาติ และความมั่นคงเข้าไว้ด้วยกันอย่างชัดเจน โดยริเริ่มในรัฐบาลของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ในช่วงปลายสงครามเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2487 มีการออกพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑลที่จังหวัดสระบุรี โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งจะได้รับการยกเว้นจากการโจมตีทางทหารของฝ่ายสัมพันธมิตร เนื่องจากเป็นพุทธสถาน อย่างไรก็ตาม ผู้วิจารณ์จำนวนหนึ่งเห็นว่าโครงการนี้อาจเป็นกลวิธีทางการเมืองเพื่อใช้ศาสนาเป็นเกราะกำบังในสงครามมากกว่าจะมีเป้าหมายทางศาสนาอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นภาพสะท้อนของการใช้อำนาจรัฐในการสร้างสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเพื่อควบคุมความคิดในภาวะสงคราม ภายหลังเมื่อแปลกพ้นจากอำนาจ โครงการนี้ก็ถูกยกเลิกโดยรัฐสภา แต่เมื่อเขากลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งใน พ.ศ. 2491 ก็มีความพยายามฟื้นฟูแนวคิดดังกล่าวในบริบทใหม่ของรัฐนิยมหลังสงคราม

ใน พ.ศ. 2495 แปลกได้ประกาศโครงการจัดสร้างพุทธสถานขนาดใหญ่เพื่อเป็นพุทธบูชาเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษ โดยชูเจตนารมณ์ให้เป็นศูนย์รวมแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย และเป็นสัญลักษณ์ของชาติในบริบทใหม่ของสงครามเย็น ซึ่งพระพุทธศาสนาได้รับการส่งเสริมให้เป็นหนึ่งในรากฐานของอัตลักษณ์ไทยที่ต่อต้านอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ รัฐบาลในขณะนั้นได้เลือกพื้นที่ตำบลศาลายา จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครให้เป็นสถานที่ก่อสร้าง โดยวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบรัฐพิธีก่อฤกษ์เพื่อเริ่มต้นโครงการ[1] กระบวนการออกแบบและวางผังพุทธมณฑลได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการวางผังเมืองผสมกับคติจักรวาลในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท โดยมีเป้าหมายไม่เพียงเพื่อการเฉลิมฉลอง หากแต่ยังเป็นการสร้าง "ภูมิสถาปัตย์แห่งรัฐ" ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจของประเทศไทยภายใต้แนวคิดรัฐนิยม ขณะเดียวกัน การก่อสร้างในช่วงแรกก็เผชิญกับปัญหาด้านงบประมาณและขาดความต่อเนื่องทางนโยบาย ทำให้โครงการชะลอตัวไประยะหนึ่ง

จนกระทั่งใน พ.ศ. 2521 รัฐบาลของพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้รื้อฟื้นโครงการพุทธมณฑลขึ้นอีกครั้ง โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรมเพื่อสร้างเอกภาพในยุคหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 และท่ามกลางความตึงเครียดในคาบสมุทรอินโดจีน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้โอนความรับผิดชอบการก่อสร้างจากกระทรวงมหาดไทยไปยังกระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมการศาสนาเป็นผู้ดำเนินงาน และมีการใช้ทั้งงบประมาณแผ่นดินและเงินบริจาคจากประชาชน พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ยังทรงรับโครงการไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทำให้การดำเนินงานคืบหน้าอย่างรวดเร็ว จนใน พ.ศ. 2525 ซึ่งตรงกับวาระพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พุทธมณฑลก็แล้วเสร็จ โดยมีองค์พระประธานพระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ เป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งออกแบบโดยศิลป์ พีระศรี และในวันที่ 21 ธันวาคม ปีเดียวกัน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปประกอบพิธีสมโภช[2] หลังจากนั้นมีการก่อสร้างองค์ประกอบถาวรวัตถุต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น มหาวิหารประดิษฐานพระไตรปิฎกหินอ่อน หอประชุม และบริเวณโดยรอบซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาระดับชาติอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

สิ่งก่อสร้าง

[แก้]
  • วิหารพุทธมณฑล เป็นอาคารชั้นเดียว สร้างแบบสถาปัตยกรรมไทยตามแบบวิหารของวัดราชาธิวาส[3] ผนังวิหารทำเป็น 2 ชั้น เพื่อให้ประตูหน้าต่าง เลื่อนเข้าภายในกำแพงได้ ภายในปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน หลังคามุงด้วยกระเบื้องลวดลายภายนอกเป็นประติมากรรมรูปพระพุทธรูป 8 องค์ และพระโพธิสัตว์ 2 องค์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป 25 พุทธศตวรรษขนาด 2,500 มม. ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2518
  • สังเวชนียสถาน 4 ตำบล
วิหารพุทธมณฑล
ธรรมจักรบริเวณส่วนสังเวชนียสถาน 4 ตำบล
  • ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมประยุกต์ หันหน้าไปทางทิศเหนือ ก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2524
  • ที่พักสงฆ์อาคันตุกะ อยู่ตรงข้ามกับตำหนักสมเด็จพระสังฆราช มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สองชั้น สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2526
  • หอประชุม สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประชุมทางพระพุทธศาสนา และให้ความรู้ อาคารแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สองชั้น ชั้นล่างด้านทิศเหนือใช้เป็นสำนักงานพุทธมณฑล สร้างเสร็จ พ.ศ. 2529
  • หอกลอง สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานกลองชัยขนาดใหญ่ ตัวกลองทำด้วยไม้ขนุน และหนังควายเผือก เส้นผ่าศูนย์กลางมีขนาด 1.60 เมตร ผู้จัดทำกลองคือ พระพิชัย ธรรมจาโร วัดบัลลังก์ศิลาอาสน์ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2526
  • สำนักงานพุทธมณฑล ลักษณะอาคารแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ สร้างเสร็จ พ.ศ. 2525
  • อาคารประชาสัมพันธ์ สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2525
  • ศาลาราย สร้างตามแนวทางเท้าวงกลมรอบองค์พระประธานมีทั้งหมด 20 หลัง ด้านข้างโปร่ง
  • ศาลาปฏิบัติกรรมฐาน เป็นอาคารเพื่อใช้ปฏิบัติกรรมฐาน อยู่บริเวณสวนเวฬุวัน เป็นรูป 6 เหลี่ยม เชื่อมติดต่อกันทั้งหมด 8 หลัง
  • พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนา อาคารทรงไทยเป็นรูปกลมวงแหวนด้านนอก แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ ส่วนที่ 2 จัดนิทรรศการและการบรรยาย ส่วนที่ 3 ส่วนบริการ สุขา ห้องน้ำ
  • หอสมุดพระพุทธศาสนามหาสิรินาถ (นามพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ห้องอ่านหนังสือจุได้ 500 คน มีหนังสือประมาณ 500,000 เล่ม เก็บหนังสือบนเพดานได้อีก หนึ่งล้านเล่ม วัดปากน้ำและสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ บริจาคเงินค่าก่อสร้างทั้งหมดประมาณ 250 ล้านบาท เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเจริญพระชนมายุ 5 รอบ
  • มหาวิหารประดิษฐานพระไตรปิฎกหินอ่อน สถาปัตยกรรมไทยรูปทรงจตุรมุข มีพระเจดีย์ 9 ยอด ประดิษฐานในท่ามกลาง และเป็นที่จารึกพระไตรปิฎกหินอ่อน ขนาด 1.10 x 2.00 เมตร จำนวน 1,418 แผ่น มีภาพวาดพระพุทธประวัติอยู่ด้านบนโดยรอบ เริ่มสร้างปี พ.ศ. 2532 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2541
  • โรงอาหาร เป็นแบบสถาปัตยกรรมไทย บริการด้านอาหารเมื่อมีกิจกรรมในพุทธมณฑล
  • หอฉัน ลักษณะสถาปัตยกรรมไทย ใช้เป็นที่อบรมศีลธรรม จริยธรรม ของนักเรียน นักศึกษาที่มาพักแรมเข้าค่ายพุทธบุตร
  • ท่าเทียบเรือ อยู่ด้านทิศเหนือ และทิศใต้ ด้านหลังใช้เป็นท่าขึ้นลงเรือ ซึ่งเรือแล่นไปได้รอบพุทธมณฑล
  • สระน้ำขนาดใหญ่ อยู่ด้านหลังวิหาร มีขอบสระใช้ประกอบกิจกรรมทางศาสนา หรือลอยกระทง
  • ศาลาอำนวยการ ใช้เป็นที่รับบริจาค ขายดอกไม้ธูปเทียน และวัตถุมงคล
  • ศาลาบำเพ็ญกุศล อยู่ด้านหลังศาลาอำนวยการใกล้องค์พระ
  • สำนักงานย่อย อยู่บริเวณสวนเวฬุวัน เป็นที่ทำการของเจ้าหน้าที่
  • ศาลาสรีรสราญ ห้องสุขา
  • เรือนแถว ที่พักของเจ้าหน้าที่ป้อมยาม มี 8 หลัง[4]

ระเบียงภาพ

[แก้]

ถนนที่อยู่ในโครงการพุทธมณฑล

[แก้]

ถนนพุทธมณฑลสายต่าง ๆ เป็นถนนที่แยกย่อยออกไปจากถนนเพชรเกษมในทางทิศเหนือ ตัดผ่านถนนบรมราชชนนี (ขณะที่มีโครงการพุทธมณฑลยังไม่มีถนนดังกล่าว) ไปสิ้นสุดก่อนถึงทางรถไฟสายใต้

อ้างอิง

[แก้]
  1. "วัตถุประสงค์ 8 ประการในการจัดสร้างพุทธมณฑล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-28. สืบค้นเมื่อ 2007-04-21.
  2. "ประวัติการก่อสร้างพุทธมณฑลจากเว็บไซด์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-28. สืบค้นเมื่อ 2007-04-21.
  3. พุทธมณฑล : เมกะโปรเจกต์พุทธสถานยุคกึ่งพุทธกาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
  4. ""พุทธมณฑล" ศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนาโลก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-03. สืบค้นเมื่อ 2007-04-21.

ดูเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

13°46′34″N 100°19′15″E / 13.776111°N 100.320833°E / 13.776111; 100.320833