ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ผังอาสนวิหาร"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
บริการเปลี่ยนหมวดหมู่อัตโนมัติด้วยบอต
บรรทัด 72: บรรทัด 72:




[[หมวดหมู่:สถาปัตยกรรมยุโรป|ผ]]
[[หมวดหมู่:สถาปัตยกรรมตะวันตก|ผ]]
[[หมวดหมู่:มหาวิหาร|ผ]]
[[หมวดหมู่:มหาวิหาร|ผ]]
[[หมวดหมู่:คริสต์ศาสนสถาน|ผ]]
[[หมวดหมู่:คริสต์ศาสนสถาน|ผ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 05:20, 28 กุมภาพันธ์ 2551

ผังของมหาวิหารอาเมียง ที่ประเทศฝรั่งเศส แสดงให้เห็นเสาใหญ่รับน้ำหนักหอด้านหน้าวัด; แขนกางเขนสั้น; ชาเปล 7 ชาเปล ที่เรียกว่า “chevet” รอบมุขโค้งด้านสกัดออกมาจากจรมุข

แผนผังมหาวิหาร (ภาษาอังกฤษ: Cathedral diagram หรือ Cathedral plan หรือ Cathedral floorplan) แสดงให้เห็นลักษณะโครงสร้างและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของมหาวิหารในยุโรปตะวันตก แผนผังจะแสดงกำแพง แนวเสาทำให้เห็นโครงสร้าง เส้นสองเส้นบนกำแพงด้านนอกคือหน้าต่างกระจก เส้น x เป็นสัญลักษณ์สำหรับเพดานโค้ง ตามปกติผังของวัดทางคริสต์ศาสนาจะวางเหมือนการวางแผนที่ ด้านเหนืออยู่บน ด้านตะวันตกถือกันว่าเป็นด้านหน้าของวัด ด้านตะวันออกที่เป็นบริเวณที่ทำคริสต์ศาสนพิธีอยู่ทางขวา

ด้านหน้าของวัด

ด้านหน้าของวัดที่เรียกว่า “West front” เพราะตำแหน่งที่ตั้งของมหาวิหารมักจะเป็นแนวตะวันตกตะวันออก ด้านตะวันตกถือว่าเป็นด้านหน้าของวัด บางวัดที่ไม่สามารถวางตามทิศที่ว่าก็ยังเรียกด้านหน้าวัดว่า “West front” ด้านนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่สุดภายนอกของวัดและจะมีการตกแต่งมากที่สุดและจะมีประตูใหญ่สำหรับขบวนพิธี ส่วนใหญ่จะมีสามประตูและมักจะตกแต่งด้วยกลุ่มรูปปั้นรอบประตู ทำด้วยหินอ่อน หรือหินที่แกะสลักอย่างวิจิตร เหนือประตูเป็นสามเหลี่ยมมักจะเป็นภาพแกะสลักใหญ่ ที่นิยมแกะกันคือ “การตัดสินครั้งสุดท้าย” (The Last Judgment) เหนือประตูขึ้นไปบางครั้งจะมีหน้าต่างใหญ่ หรือบางทีก็จะมีหน้าต่างกลมใหญ่เหมือนล้อที่เป็นหิน “ฉลุ” ตกแต่งด้วยกระจกสีที่เรียกว่า หน้าต่างกุหลาบ หรือรูปปั้นเรียงรายเป็นแถวอย่างเช่นที่มหาวิหารซอลสบรี หรือ มหาวิหารเวลส์ นอกจากนั้นมักจะมีหอคอยสองหอขนาบเช่นที่มหาวิหารโนเตรอดามที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

Facade

ผังของมหาวิหารซอลสบรีที่เป็นกางเขน สองชั้น

ด้านหน้าวัดหรือด้านที่มีการตกแต่งจะเรียกกันว่า Facade หรือ façade ตามความหมายของศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า “ด้านหน้าวัด” ซึ่งถ้ากล่าวถึงมหาวิหารจะเป็นความหมายที่ออกจะกำกวม เพราะคำนี้มาจากภาษาฝรั่งเศส “frontage” หรือ “หน้า” ซึ่งด้านหน้าที่กล่าวถึงนี้หมายถึงด้านนอกด้านใดด้านหนึ่งของสิ่งก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นด้านหน้าของตัวอาคารจริงๆ แต่ก็จะไม่เสมอไป “facade” อาจจะอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังของมหาวิหารก็ได้ เช่นที่มหาวิหารอาเมียง (Amiens Cathedral) ที่ประเทศฝรั่งเศสที่มีการตกแต่ง “facade” ถึงสามด้าน

ทางเดินกลาง

“ทางเดินกลาง” (ภาษาอังกฤษ: Nave) หรือ “โถงกลาง” เป็นเนื้อที่หลักของตัวมหาวิหารจะเป็นส่วนที่แล่นยาวจากตะวันตกไปตะวันออก หรือจากประตูทางเข้าวัดไปจนถึงบริเวณประกอบพิธีกรรม เป็นพื้นที่สำหรับคริสต์ศาสนิกชนผู้มาเข้าร่วมพิธีศาสนาในมหาวิหารนั้น

คำว่า “nave” มาจาก ภาษาละตินที่แปลว่าเรือ มหาวิหารก็เปรียบเหมือนเรือสำหรับบรรทุกผู้ศรัทธาในพระเจ้าฝ่าอุปสรรคต่างๆในชีวิต นอกจากนั้นเพดานไม้ของวัดใหญ่ๆจะมีลักษณะเหมือนท้องเรือ [1]

ทางเดินข้าง

ผังของมหาวิหารเซ็นต์เพาลุส (St.-Paulus-Dom) ที่เมือง (Münster) ประเทศเยอรมนี แสดงให้เห็นชาเปลรอบจรมุขทางด้านหลังของวัด และมุขเล็กด้านหน้าวัด ด้านเหนือเป็นระเบียงคด

“ทางเดินข้าง” (ภาษาอังกฤษ: Aisle) วัดยุคแรกๆ จะไม่มีทางเดินข้างแต่เมื่อมีผู้ร่วมศรัทธาเพิ่มมากขึ้นทางวัดก็ต้องขยายให้กว้างขึ้นโดยเพิ่มทางเดินสองข้างประกบทางเดินกลาง แยกจากทางเดินกลางด้วยแนวเสาหรือซุ้มโค้ง ส่วนใหญ่เพดานเหนือทางเดินข้างจะมีระดับต่ำกว่าทางเดินกลาง “ทางเดินข้าง” ช่วยแบ่งเบาการจราจรจาก “ทางเดินกลาง” โดยเฉพาะเมื่อวัดแน่นไปด้วยผู้เข้าร่วมพิธี นอกจากนั้นยังช่วยทำให้สิ่งก็สร้างแข็งแรงขึ้นเพราะจะใช้เป็นผนังค้ำที่ยันผนังภายในไว้ในตัวทำให้ตัวสิ่งก่อสร้างสามารถรับน้ำหนักกดทับจากหลังคาที่มักจะทำด้วยหินได้

แขนกางเขน

“แขนกางเขน” หรือ “ปีกซ้ายขวา” (ภาษาอังกฤษ: Transept) ส่วนขวางที่ตัดกับทางเดินกลาง มหาวิหารในประเทศอังกฤษบางมหาวิหารที่เคยเป็นสำนักสงฆ์มาก่อนจะมีปีกซ้ายขวาซ้อนกันสองชั้นเช่นที่มหาวิหารซอลสบรี

จุดตัด

ชาเปลที่กระจายออกไปจากมุขตะวันออกของมหาวิหารอาเมียง ที่เรียกว่า “Chevet”
Catedral de Jaen ประเทศสเปนซึ่งไม่มีมุขโค้งด้านตะวันออกอย่างวิหารอื่นและโครงสร้างสั้น

“จุดตัด” (ภาษาอังกฤษ: Crossing) คือจุดที่แขนกางเขนหรือปีกซ้ายขวาตัดกับทางเดินกลาง เหนือจุดตัดมักจะเป็นหอที่มียอดแหลม หรือยอดแหลมเฉยๆ ที่เรียกว่า “fleche” ที่อาจจะทำด้วยไม้ หิน หรือโลหะก็ได้ เช่นที่มหาวิหารออทุง (Autun Cathedral) ประเทศฝรั่งเศส หรือมหาวิหารซอลสบรีที่มีหอทำด้วยหินสูงที่สุดในสหราชอาณาจักรอังกฤษ (404 ฟุต) หรืออาจจะเป็นโดม หรือเป็นหอเฉยๆที่ไม่มียอดก็ได้เช่นที่มหาวิหารวินเชสเตอร์ ที่อังกฤษ ถ้าหอเป็นแบบโปร่งซึ่งสามารถให้แสงส่องลงมากลางวัดได้ก็เรียกว่า “Chevet” (lantern tower) เช่นที่ มหาวิหารเบอร์โกส ที่ประเทศสเปน

ด้านหลังวัด

“บริเวณพิธี” หรือ “East end” คือบริเวณจากทางเดินกลางไปจนจรดท้ายสุดของวัด ตอนปลายอาจจะเป็นรูปโค้งเว้าเป็นแฉกออกมาอย่างมหาวิหารอาเมียงหรือเป็นป้านสี่เหลี่ยมอย่างของมหาวิหารซอลสบรีเช่นในรูปก็ได้ บริเวณนี้จะเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดของวัดเพราะเป็นที่ตั้งของแท่นบูชาหลัก บริเวณประกอบพิธีทางศาสนา ที่นั่งของนักบวชและผู้ร้องเพลงสวด ที่ตั้งของชาเปล หรือ คูหาสวดมนต์ต์ต์ ทางเดินรอบมุข อนุสาวรีย์ของคนสำคัญๆ ที่เก็บวัตถุมงคล และที่เก็บสิ่งของมีค่าของวัด จะเป็นส่วนที่แตกต่างจากกันมากที่สุดทางรูปทรงสถาปัตยกรรม

บริเวณร้องเพลงสวด

“บริเวณร้องเพลงสวด” (ภาษาอังกฤษ: Choir หรือ Quire) เป็นบริเวณที่ใช้เป็นที่นั่งของนักบวชและสำหรับร้องเพลงสวดซึ่งมักจะผู้ชายหรือเด็กผู้ชาย บริเวณนี้อาจจะแยกจากทางเดินกลางด้วยฉากขวางที่อาจจะทำด้วยไม้ฉลุอย่างละเอียด หรือฉากที่ทำด้วยหินแกะสลัก ในบริเวณนี้ในบางมหาวิหารจะมีที่นั่งจะเป็นไม่สลักเสลาอย่างงดงามเช่นที่มหาวิหารเอ็กซีเตอร์ นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นที่ตั้งของออร์แกนและบัลลังก์ของบาทหลวง

มุขตะวันออก

“มุขตะวันออก” (ภาษาอังกฤษ: Apse) เป็นมุขครึ่งวงกลมมักจะเป็นที่ตั้งแท่นบูชาเอก และบัลลังก์หรืออาสนะบาทหลวง มุขด้านตะวันออกได้รับอิทธิพลมาจากการก่อสร้างแบบบาซิลิกาของโรมัน ซึ่งจะเป็นลักษณะโค้งยื่นออกไปจากตัวสิ่งก่อสร้างทางด้านหลัง

จรมุข

“จรมุข” (ภาษาอังกฤษ: Ambulatory) คือทางเดินรอบด้านหลังมุขตะวันออกของตัวมหาวิหาร ขนาดจรมุขของมหาวิหารที่มีวัตถุมงคลจะกว้างเพื่อให้ผู้มีศรัทธาได้เข้ามาสักการะวัตถุมงคลที่ประสงค์จะมาเยี่ยมชม

คูหาสวดมนต์ต์ต์

ด้านขวางของมหาวิหารอาเมียง

“คูหาสวดมนต์ต์ต์” (ภาษาอังกฤษ: Chapel) มักจะเป็นทางเดินข้างของมหาวิหารเป็นระยะๆ หรือสร้างรอบมุขด้านตะวันออกที่เรียกกันว่า “Radiatiating chapels” หรือ “Chevet” ซึ่งเป็นรัศมียื่นออกไปจากด้านหลังของวัด เช่นที่ มหาวิหารอาเมียง ขนาดของชาเปลจะไม่ค่อยเท่ากัน การตกแต่งก็ไม่เท่าเทียมกันแล้วแต่ฐานะของผู้ศรัทธา บางครอบครัวที่มั่งคั่งหน่อยก็จะทำอย่างหรูหราเป็นคูหาสวดมนต์ต์ต์ส่วนตัวไปเลย

กำแพงค้ำยัน

“กำแพงค้ำยัน” (ภาษาอังกฤษ: Buttress) เป็นกำแพงที่สร้างขึ้นเพื่อรับน้ำหนักของหลังคาและกำแพงของมหาวิหาร มาถึงสมัยกอธิค กำแพงค้ำยันจะเป็นแบบปีกกางออกมาที่เรียกว่า ค้ำยันแบบปีก นอกจากมีประโยชน์ในการช่วยแบ่งรับน้ำหนักจากกำแพงแล้วยังใช้เป็นเครื่องตกแต่งทางสถาปัตยกรรมด้วย

อ้างอิง

  1. W. H. Auden, "Cathedrals, Luxury liners laden with souls, Holding to the East their hulls of stone"

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น