ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วัดทุ่งศรีเมือง"
Thomson Walt (คุย | ส่วนร่วม) |
Thomson Walt (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 53: | บรรทัด 53: | ||
ในปี พ.ศ. 2503 สมัยพระวิโรจน์รัตโนบล (พิมพ์ นารโท) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ได้เห็นว่าหอพระพุทธบาทชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากสังกะสีและเครื่องไม้ต่างๆบนหลังคาชำรุดผุพัง จึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่อีกครั้ง จึงได้รื้อหลังคาเดิมออกและเปลี่ยนเป็นหลังคากระเบื้องกระเบื้องเคลือบ เปลี่ยน[[ลำยอง|ช่อฟ้าระกา]]จากแต่เดิมเป็นไม้แกะสลักมาเป็นซีเมนต์ ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. 2547 สำนักงานศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี ได้มีบูรณะหอพระพุทธบาทครั้งใหญ่ ได้แก่ การซ่อมหลังคาและโครงสร้างทั้งหมด การสเริมความั่นคงของผนังเสริมโครงสร้างเสาระเบียงหลังคามุข เสริมฐานราก ซ่อมพื้น บันได ราวบันได มีการปิดทองประดับกระจกตามขอบเดิม ปิดทองหัวบัวเสา และมีการเปลี่ยนช่อฟ้า [[รวยระกา]] [[หางหงส์]] มาใช้เป็นไม้สลักตามเดิม รวมไปถึงการซ่อมประตู หน้าต่าง ปูกระเบื้องภายใน และซ่อมเสาไม้ค้ำยันขื่อที่ผุด้วยการตัดต่อส่วนโคนของเสา และอีก 1 ปีต่อมา สำนักงานศิลปากรฯ ได้มีการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์หอพระพุทธบาทอีกครั้ง อาทิ ซ่อมกำแพงแก้ว รื้อซุ้มประตูกำแพงแก้วด้านทิศตะวันออกแล้วสร้างขึ้นใหม่ตามแบบของเดิมที่เป็นเสาหัวเม็ด รวมไปถึงการปรับพื้นและที่บรรจุอัฐิของกำแพงข้างต้น{{sfn|สมศรี ชัยวณิชยา|ปกรณ์ ปุกหุต|2005|p=22}} |
ในปี พ.ศ. 2503 สมัยพระวิโรจน์รัตโนบล (พิมพ์ นารโท) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ได้เห็นว่าหอพระพุทธบาทชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากสังกะสีและเครื่องไม้ต่างๆบนหลังคาชำรุดผุพัง จึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่อีกครั้ง จึงได้รื้อหลังคาเดิมออกและเปลี่ยนเป็นหลังคากระเบื้องกระเบื้องเคลือบ เปลี่ยน[[ลำยอง|ช่อฟ้าระกา]]จากแต่เดิมเป็นไม้แกะสลักมาเป็นซีเมนต์ ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. 2547 สำนักงานศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี ได้มีบูรณะหอพระพุทธบาทครั้งใหญ่ ได้แก่ การซ่อมหลังคาและโครงสร้างทั้งหมด การสเริมความั่นคงของผนังเสริมโครงสร้างเสาระเบียงหลังคามุข เสริมฐานราก ซ่อมพื้น บันได ราวบันได มีการปิดทองประดับกระจกตามขอบเดิม ปิดทองหัวบัวเสา และมีการเปลี่ยนช่อฟ้า [[รวยระกา]] [[หางหงส์]] มาใช้เป็นไม้สลักตามเดิม รวมไปถึงการซ่อมประตู หน้าต่าง ปูกระเบื้องภายใน และซ่อมเสาไม้ค้ำยันขื่อที่ผุด้วยการตัดต่อส่วนโคนของเสา และอีก 1 ปีต่อมา สำนักงานศิลปากรฯ ได้มีการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์หอพระพุทธบาทอีกครั้ง อาทิ ซ่อมกำแพงแก้ว รื้อซุ้มประตูกำแพงแก้วด้านทิศตะวันออกแล้วสร้างขึ้นใหม่ตามแบบของเดิมที่เป็นเสาหัวเม็ด รวมไปถึงการปรับพื้นและที่บรรจุอัฐิของกำแพงข้างต้น{{sfn|สมศรี ชัยวณิชยา|ปกรณ์ ปุกหุต|2005|p=22}} |
||
หอพระพุทธบาท วัดทุ่งศรีเมือง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น[[โบราณสถาน]]ของชาติ โดย[[กรมศิลปากร]] [[กระทรวงวัฒนธรรม]] ตามประกาศใน[[ราชกิจจานุเบกษา]] เล่มที่ 112 ตอนที่ 59 ง. เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2538<ref name=rat11259>{{cite web|url=http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2538/D/059/13.PDF|title=ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน|date=1995|work=กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม|accessdate=24 July 2021|archivedate=24 July 2021|archiveurl=https://web.archive.org/web/20210724160056/http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2538/D/059/13.PDF}}</ref> |
หอพระพุทธบาท วัดทุ่งศรีเมือง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น[[โบราณสถาน]]ของชาติ โดย[[กรมศิลปากร]] [[กระทรวงวัฒนธรรม]] ตามประกาศใน[[ราชกิจจานุเบกษา]] เล่มที่ 112 ตอนที่ 59 ง. เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2538<ref name=rat11259>{{cite web|url=http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2538/D/059/13.PDF|title=ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน|date=1995|work=กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม|accessdate=24 July 2021|archivedate=24 July 2021|archiveurl=https://web.archive.org/web/20210724160056/http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2538/D/059/13.PDF}}</ref>{{efn|name=fn2}} |
||
ภายในหอพระพุทธบาท มีโบราณวัตถุที่สำคัญ 5 อย่าง คือ |
ภายในหอพระพุทธบาท มีโบราณวัตถุที่สำคัญ 5 อย่าง คือ |
||
บรรทัด 63: | บรรทัด 63: | ||
ด้านหลังของหอพระพุทธบาทมีเจดีย์อิงครึ่งองค์ ใช้บรรจุอัฐิของเสด็จเจ้าอุปราชคำพันธ์ เจ้าองค์ครองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งถูกทายาทนำมาบรรจุไว้เมื่อปี พ.ศ. 2517{{sfn|เอกพรไพศาล, ห้างหุ้นส่วนจำกัด|2004|p=15}}{{efn|name=fn1}} ปัจจุบัน หลังการบูรณะหอพระพุทธบาทได้นำอัฐิดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ที่อื่นแทน{{sfn|สมศรี ชัยวณิชยา|ปกรณ์ ปุกหุต|2005|p=20}} นอกจากนี้ บริเวณนอกกำแพงของหอพระพุทธบาทมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง บรรจุอัฐิของพระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นนฺตโร) ผู้ก่อตั้งวัดทุ่งศรีเมือง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2492 โดยพระครูวิจิตรธรรมภาณี (กิ่ง มหปฺผโล) เจ้าอาวาสวัดมณีวนารามในขณะนั้น{{sfn|สมศรี ชัยวณิชยา|ปกรณ์ ปุกหุต|2005|p=20}} ส่วนบริเวณด้านหลังของหอพระพุทธบาทนั้นเป็นประตูวัดทิศตะวันออก หรือซุ้มประตูโขง ชื่อ ''ซุ้มประตูหาญชนะ'' ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ .2502 โดย ช่างคำเหมา ศิษย์ของพระครูวิโรจน์ฯ ส่วนซุ้มประตูทางทิศเหนือฝั่งวิหารศรีเมืองถูกสร้างขึ้นแบบศิลปะเขมรโบราณ สร้างโดยตระกูลเวียงสมศรี ซึ่งเป็นตระกูลช่างใหญ่ของเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 8 ปี (พ.ศ. 2525-2533) และซุ้มประตูทางทิศใต้เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2537 ใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปี{{sfn|สมศรี ชัยวณิชยา|ปกรณ์ ปุกหุต|2005|p=21}} |
ด้านหลังของหอพระพุทธบาทมีเจดีย์อิงครึ่งองค์ ใช้บรรจุอัฐิของเสด็จเจ้าอุปราชคำพันธ์ เจ้าองค์ครองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งถูกทายาทนำมาบรรจุไว้เมื่อปี พ.ศ. 2517{{sfn|เอกพรไพศาล, ห้างหุ้นส่วนจำกัด|2004|p=15}}{{efn|name=fn1}} ปัจจุบัน หลังการบูรณะหอพระพุทธบาทได้นำอัฐิดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ที่อื่นแทน{{sfn|สมศรี ชัยวณิชยา|ปกรณ์ ปุกหุต|2005|p=20}} นอกจากนี้ บริเวณนอกกำแพงของหอพระพุทธบาทมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง บรรจุอัฐิของพระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นนฺตโร) ผู้ก่อตั้งวัดทุ่งศรีเมือง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2492 โดยพระครูวิจิตรธรรมภาณี (กิ่ง มหปฺผโล) เจ้าอาวาสวัดมณีวนารามในขณะนั้น{{sfn|สมศรี ชัยวณิชยา|ปกรณ์ ปุกหุต|2005|p=20}} ส่วนบริเวณด้านหลังของหอพระพุทธบาทนั้นเป็นประตูวัดทิศตะวันออก หรือซุ้มประตูโขง ชื่อ ''ซุ้มประตูหาญชนะ'' ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ .2502 โดย ช่างคำเหมา ศิษย์ของพระครูวิโรจน์ฯ ส่วนซุ้มประตูทางทิศเหนือฝั่งวิหารศรีเมืองถูกสร้างขึ้นแบบศิลปะเขมรโบราณ สร้างโดยตระกูลเวียงสมศรี ซึ่งเป็นตระกูลช่างใหญ่ของเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 8 ปี (พ.ศ. 2525-2533) และซุ้มประตูทางทิศใต้เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2537 ใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปี{{sfn|สมศรี ชัยวณิชยา|ปกรณ์ ปุกหุต|2005|p=21}} |
||
====หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง==== |
|||
==หมายเหตุ== |
==หมายเหตุ== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:17, 24 กรกฎาคม 2564
วัดทุ่งศรีเมือง | |
---|---|
หอไตรกลางน้ำวัดทุ่งศรีเมือง | |
ที่ตั้ง | เลขที่ 95 ซ ถนนหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี 34000 |
ประเภท | วัดราษฎร์ |
นิกาย | มหานิกาย |
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา |
วัดทุ่งศรีเมือง เป็นวัดเก่าแก่ในจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันออกของทุ่งศรีเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดอุบลราชธานี ก่อตั้งโดยพระอริยวงศาจารย์ ญาณวิมล อุบลสัมฆปาโมกข์ (สุ้ย) ในช่วงปลายรัชสมัยของพระบามสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันมีพระวิโรจน์ รัตนโนบล (จันทร์ จนฺทสโร) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
ประวัติ
ในสมัยปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) พระอริยวงศาจารย์ญาณวิมลอุบลสั'ฆปาโมกข์ (สุ้ย) ซึ่งเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานีโดยกำเนิด ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์เมืองอุบลราชธานี (หรือตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน)[1] โดยพระอริยวงศาจารย์ฯ ได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดมณีวนาราม (วัดป่าน้อย) และเห็นว่าพื้นที่ป่าชายดงอู่ผึ้ง (พื้นที่ทุ่งศรีเมืองในปัจจุบัน) มีความเงียบสงบ จึงได้ริเริ่มที่จะสร้างวัดทุ่งศรีเมืองขึ้น และได้มีการสร้างหอพระพุทธขึ้นมาเพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองที่ได้จำลองแบบมาจากวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร[2] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริเวณที่ตั้งวัดทุ่งศรีเมืองเป็นที่ลุ่ม เมื่อถึงฤดูฝนมักเกิดน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ในช่วงแรกของการสร้างนั้น จำเป็นต้องมีการถมดินเพื่อยกระดับความสูงของพื้นที่ขึ้น จึงได้มีการขุดดินบริเวณโดยรอบขึ้นมาใช้จนเกิดเป็นหนองน้ำ 3 แห่ง คือ หนองหมากแซว, หนองดินจี่ (ปัจจุบันถูกถมไปแล้วทั้ง 2 แห่ง)[2] และหนองน้ำทางทิศเหนือของวัดในปัจจุบัน ซึ่งต่อมาได้มีการสร้างหอพระไตรปิฎกขึ้นที่กลางหนองน้ำดังกล่าว เพื่อเก็บรักษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา[3] นอกจากนี้ ดินที่จากการขุดนี้ส่วนหนึ่งถูกนำมาทำเป็นอิฐก้อนเพื่อสร้างหอพระพุทธบาทข้างต้น[2] โดยการก่อสร้างวัดทุ่งศรีเมืองในช่วงแรกนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของพระอริยวงศาจารย์ฯ, พระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นนตฺโร), ครูช่างคำเหมา แสนงาม และช่างโพธิ์ ส่งศรี[4][5][6] ส่วนปีที่เริ่มสร้างนั้นยังไม่อาจสรุปได้ เนื่องจากเอกสารต่างๆให้ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน โดยอาจเป็นปี พ.ศ. 2356 หรือ พ.ศ. 2365 อย่างใดอย่างหนึ่ง[7]
เดิมทีพื้นที่ของวัดทุ่งศีเมืองในปัจจุบันนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของวัดมณีวนาราม หลังจากสร้างหอพระพุทธบาทเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2385 จึงได้แยกพื้นที่ออกมาก่อตั้งเป็น วัดทุ่งศรีเมือง หรือ วัดทุ่งชายเมือง โดยขณะนั้นมีพระจำพรรษาอยู่เพียง 2 รูป คือ พระอริยวงศาจารย์ฯ และญาคูช่าง ซึ่งเป็นพระเถระจากเวียงจันทน์ที่ได้มาศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดมณีมนารามในขณะนั้น[7]
พื้นที่ภายใน
เขตพุทธาวาส
เขตพุทธาวาสประกอบไปด้วยศาสนสถานสำคัญ ได้แก่ หอพระพุทธบาท หอพระไตรปิฎก และวิหารศรีเมือง
หอพระพุทธบาท
หอพระพุทธบาทสร้างขึ้นในสมัยพระอริยวงศาจารย์ฯ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ประมาณปี พ.ศ. 2330 (บ้างอ้างว่าสร้างราว พ.ศ. 2395) โดยมีญาคูช่างเป็นช่างในการดำเนินการก่อสร้าง เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองที่จำลองมาจากวัดวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร[2] และใช้เป็น "สิม" หรือพระอุโบสถของวัดด้วย[8] โดยอาคารจะมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ล้านช้าง และอยุธยาตอนปลาย มีขนาด 3 ห้อง ก่ออิฐถือปูน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก จากการสำรวจของกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง กองโบราณคดี กรมศิลปากร สันนิษฐานว่าในอดีตมีใบเสมาปรากฏอยู่ที่ฐานอุโบสถ แต่พบใบเสมเพียงชิ้นเดียวแนบติดอยู่กับฐานหอพระพุทธบาทบริเวณมุมอุโบสถด้านตะวันออกเฉียงใต้ เป็นใบเสมปูนปั้นเรียบ ไม่มีลวดลาย อย่างไรก็ตาม ใบเสมาชิ้นดังกล่าวได้ผุพังไปแล้วในปัจจุบัน[9] ระเบียงด้านหน้าและราวบันไดเป็นรูปพญานาคขี่จระเข้ เป็นทวารบาลอยู่หน้าหอพระพุทธบาท ลักษณะเป็นศิลปะแบบท้องถิ่นอีสาน ส่วนฐานของบันไดเป็นฐานปากกระเภาผสมฐานสิงห์ และมีฐานเขียงรองรับอีกชั้น[10] โครงหลังคาของหอพระพุทธบาทเป็นศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ เป็นหลังคาแบบชั้นลด 2 ชั้น ชั้นละ 3 ตับมีลักษณะแบบอีสานผสมกับรัตนโกสินทร์ ส่วนหน้าบันหรือหน้าจั่ว ด้านหน้าและด้านหลังจำหลักไม้ปิดทองประดับกระจกเป็นรูปพระอินทร์ประทับในบุษบกบนช้างเอราวัณ ประดับด้วยลายก้านขด มีเสาบัวกลีบขนุน 4 ต้น แกะสลักลวดลายดอกกาละกับ นอกจากนี้ยังมีคันทวยรูปเทพพนมรองรับไขราทั้งสิ้น 10 ตัว มีเสาพาไลคู่ด้านหน้ารองรับหลังคา[11]
เมื่อครั้นสมัยพระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นนฺตโร) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ได้เกิดรอยแตกร้าวขนาดใหญ่บริเวณฝาผนังด้านทิศตะวันตกของหอพระพุทธบาท คาดว่าอาจมีสาเหตุมาจากแรงสั่นสะเทือนจากการจุดพลุดอกไม้ไฟในงานพิธีต่างๆในบริเวณสนามทุ่งศรีเมือง จึงได้มีการซ่อมแซมรอยร้าวดังกล่าว พร้อมกับก่อสร้างเพิ่มเติมให้ผนังของหอพระพุทธบาททั้งหมดมีความหนามากกว่าเดิมประมาณ 1 เมตร และได้ทำการเปลี่ยนจากการมุงหลังคาด้วยไม้เกล็ดเป็นสังกะสีแทน ลายรดน้ำที่ปรากฏบนบานหน้าต่างของหอพระพุทธบาทก็ถูกวาดขึ้นเวลาเดียวกันกับการซ่อมแซมในครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการสร้างกำแพงรอบหอพระพุทธบาทเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั้น (กำแพงชั้นนอกในปัจจุบัน)[12]
ในปี พ.ศ. 2503 สมัยพระวิโรจน์รัตโนบล (พิมพ์ นารโท) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ได้เห็นว่าหอพระพุทธบาทชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากสังกะสีและเครื่องไม้ต่างๆบนหลังคาชำรุดผุพัง จึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่อีกครั้ง จึงได้รื้อหลังคาเดิมออกและเปลี่ยนเป็นหลังคากระเบื้องกระเบื้องเคลือบ เปลี่ยนช่อฟ้าระกาจากแต่เดิมเป็นไม้แกะสลักมาเป็นซีเมนต์ ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. 2547 สำนักงานศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี ได้มีบูรณะหอพระพุทธบาทครั้งใหญ่ ได้แก่ การซ่อมหลังคาและโครงสร้างทั้งหมด การสเริมความั่นคงของผนังเสริมโครงสร้างเสาระเบียงหลังคามุข เสริมฐานราก ซ่อมพื้น บันได ราวบันได มีการปิดทองประดับกระจกตามขอบเดิม ปิดทองหัวบัวเสา และมีการเปลี่ยนช่อฟ้า รวยระกา หางหงส์ มาใช้เป็นไม้สลักตามเดิม รวมไปถึงการซ่อมประตู หน้าต่าง ปูกระเบื้องภายใน และซ่อมเสาไม้ค้ำยันขื่อที่ผุด้วยการตัดต่อส่วนโคนของเสา และอีก 1 ปีต่อมา สำนักงานศิลปากรฯ ได้มีการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์หอพระพุทธบาทอีกครั้ง อาทิ ซ่อมกำแพงแก้ว รื้อซุ้มประตูกำแพงแก้วด้านทิศตะวันออกแล้วสร้างขึ้นใหม่ตามแบบของเดิมที่เป็นเสาหัวเม็ด รวมไปถึงการปรับพื้นและที่บรรจุอัฐิของกำแพงข้างต้น[12]
หอพระพุทธบาท วัดทุ่งศรีเมือง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ โดยกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 112 ตอนที่ 59 ง. เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2538[13][a]
ภายในหอพระพุทธบาท มีโบราณวัตถุที่สำคัญ 5 อย่าง คือ
- พระเจ้าใหญ่องค์เงิน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตัก 89 เซนติเมตร สูง 1.45 เมตร หล่อด้วยเงินฮาง (เงินโบราณของอีสาน)[14] กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นศิลปะแบบพื้นถิ่นอีสานหรือศิลปะล้านช้าง แต่เดิมปิดทองทับทั้งองค์ จึงทำให้เข้าใจกันมาโดยตลอดว่าเป็นพระปูนปั้น ทราบกันภายหลังว่าองค์พระเป็นเนื้อเงิน เนื่องจากต้องมีการปิดทองใหม่ในปี พ.ศ. 2547[15]
- รอยพระพุทธบาทจำลอง ที่ได้จำลองแบบมาจากวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร[2] มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 65 เซนติเมตร ยาว 1.65 เมตร การจัดสัญลักษณ์มงคลอยู่ในแผนผังจักรวาลมิติ ยกเว้นในส่วนของมหาพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น ลายมงคลไม่ครบทั้ง 108 ประการ และปรากฏลวดลายที่มิได้อยู่ในมงคล 108 อาทิ นกหัสดีลิงค์ สุกร ค้างคาว[14]
- ภาพจิตรกรรมฝาผนัง บนฝาผนังทั้ง 4 ด้านของหอพระพุทธบาท กล่าวถึงพุทธประวัติตอนต่างๆ ภาพชาดก รวมไปถึงสภาพสังคม วิถีชีวิตท้องถิ่น ความเป็นอยู่ การละเล่น พิธีกรรม การดำเนินชีวิตของผู้คนในสมัยนั้น รวมไปถึงการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ อาทิ จีน ชาวตะวันตก อินเดีย และญวณ[16][17]
- บานประตู หอพระพุทธบาทมีประตูเข้าเพียงด้านเดียว ซุ้มประตูทรงมณฑปมี 2 บาน ทำจากไม้เนื้อแข็งทั้งแผ่น แกะสลักลายเถาวัลย์หรือลายก้นขดพรรณพฤกษาออกช่อดอกกาละกับ ตลอดแนวก้านขดประกอบด้วยใบกระหนก และแทรกด้วยรูปสัตว์ต่างๆ ไว้ตามช่องของลาย บานประตูลงรักปิดทองล่องกระจกสีเขียว[18]
- หน้าต่าง หอพระพุทธบาทมีหน้าต่างทั้งหมด 6 ช่อง โดยอยู่ผนังทิศเหนือและใต้อย่างละ 3 ช่อง เป็นซุ้มหน้าต่างทรงบันแถลง ส่วนยอดซุ้มทำเป็นซุ้มซ้อนกัน 2 ชั้น เสาซุ้มยกเป็น 2 ระดับบานหน้าต่างปิดทองลายฉลุบนพื้นสีดำเล่าเรื่อง ทศชาติชาดก พระชาติละ 1 บาน เวียนจากซ้ายไปขวาจนครบ 10 บาท ส่วนอีก 2 บานเขียนลายเครือเถาออกช่อเทพพนม การปิดทองลายฉลุดังกล่าวทำขึ้นโดยนายช่างอุทัยทอง จันทกรณ์[19][20]
ด้านหลังของหอพระพุทธบาทมีเจดีย์อิงครึ่งองค์ ใช้บรรจุอัฐิของเสด็จเจ้าอุปราชคำพันธ์ เจ้าองค์ครองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งถูกทายาทนำมาบรรจุไว้เมื่อปี พ.ศ. 2517[21][b] ปัจจุบัน หลังการบูรณะหอพระพุทธบาทได้นำอัฐิดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ที่อื่นแทน[22] นอกจากนี้ บริเวณนอกกำแพงของหอพระพุทธบาทมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง บรรจุอัฐิของพระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นนฺตโร) ผู้ก่อตั้งวัดทุ่งศรีเมือง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2492 โดยพระครูวิจิตรธรรมภาณี (กิ่ง มหปฺผโล) เจ้าอาวาสวัดมณีวนารามในขณะนั้น[22] ส่วนบริเวณด้านหลังของหอพระพุทธบาทนั้นเป็นประตูวัดทิศตะวันออก หรือซุ้มประตูโขง ชื่อ ซุ้มประตูหาญชนะ ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ .2502 โดย ช่างคำเหมา ศิษย์ของพระครูวิโรจน์ฯ ส่วนซุ้มประตูทางทิศเหนือฝั่งวิหารศรีเมืองถูกสร้างขึ้นแบบศิลปะเขมรโบราณ สร้างโดยตระกูลเวียงสมศรี ซึ่งเป็นตระกูลช่างใหญ่ของเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 8 ปี (พ.ศ. 2525-2533) และซุ้มประตูทางทิศใต้เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2537 ใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปี[23]
หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง
หมายเหตุ
- ↑ ในขณะนั้น กรมศิลปากร อยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
- ↑ ขัดแย้งกับข้อมูลที่ปรากฏบนแผ่นหินอ่อนจารึกหน้าอัฐิ จำนวน 5 บรรทัด จารึกว่า "...เจ้าอุปราชคำพันธ์ ณ จำปาศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครจำาปศักดิ์ ประสูติ พ.ศ. 2383 ถึงแก่พิราลัย พ.ศ. 2454 บรรจุ 20 พฤษภาคม 2507..."[22]
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ พระราชรัตนโนบล (1992). ประวัติอุบลราชธานี ประวัติวัดทุ่งศรีเมือง. อุบลราชธานี: วิทยาออฟเซ็ตการพิมพ์. p. 19.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 นิล พันธุ์เพ็ง (1934). ประวัติศาสตร์จังหวัดอุบลราชธานี. p. 132-133.
- ↑ สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 3.
- ↑ สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 8.
- ↑ พระมหาเจษฎา ปญฺญาธโร และคณะ (1970). ประวัติเมืองอุบลราชธานีและประวัติทุ่งศรีเมือง. กรุงเทพมหานคร: กรุงสยามการพิมพ์.
- ↑ พระสำลี ทิฏฐธมฺโม และคณะ (2003). วัดทุ่งศรีเมือง (2 ed.). อุบลราชธานี: วิทยาออฟเซตการพิมพ์.
- ↑ 7.0 7.1 สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 4.
- ↑ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 8 อุบลราชธานี, บ.ก. (2002). รายการบูรณะและพัฒนาสิม (โบสถ์) โบราณ หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง. อุบลราชธานี: สุรศักดิ์ก่อสร้าง, ห้างหุ้นส่วนจำกัด.
- ↑ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม 2008, p. 9-10.
- ↑ สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 10.
- ↑ สุรชัย ศรีใส 2012, p. 1.
- ↑ 12.0 12.1 สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 22.
- ↑ "ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน" (PDF). กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. 1995. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 24 July 2021. สืบค้นเมื่อ 24 July 2021.
- ↑ 14.0 14.1 ยุทธนาวรากร แสงอร่าม 2008, p. 11.
- ↑ ไกด์อุบล (2010). "ไขข้อพิศวงพระเจ้าใหญ่องค์เงิน วัดทุ่งศรีเมือง". Guideubon.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 April 2016. สืบค้นเมื่อ 12 October 2020.
- ↑ สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 14.
- ↑ สุรชัย ศรีใส 2012, p. 19.
- ↑ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม 2008, p. 12.
- ↑ สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 17-18.
- ↑ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม 2008, p. 13.
- ↑ เอกพรไพศาล, ห้างหุ้นส่วนจำกัด 2004, p. 15.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 20.
- ↑ สมศรี ชัยวณิชยา & ปกรณ์ ปุกหุต 2005, p. 21.
- บรรณานุกรม
- สมศรี ชัยวณิชยา; ปกรณ์ ปุกหุต (2020). วัดทุ่งศรีเมือง: สิริพัฒนาภรณนุสรณ์ (1 ed.). อุบลราชธานี: ยงสวัสดิ์อินเตอร์กรุ๊ป. p. 80. ISBN 978-974-523-357-7.
- ยุทธนาวรากร แสงอร่าม (2008). "พื้นถิ่นอีสานในงานจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี". วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร: 286.
- สุรชัย ศรีใส (2012). จิตรกรรมฝาผนัง หอพระพุทธบาท วัดทุ่งศรีเมือง. อุบลราชธานี: วิทยาการพิมพ์. p. 112. ISBN 978-616-305-376-3.
- เอกพรไพศาล, ห้างหุ้นส่วนจำกัด (2004). รายงานการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์อุโบสถ (หอพระพุทธบาท) วัดทุ่งศรีเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี. อุบลราชธานี: รายงานเสนอ สำนักงานศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี.