ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (นักพระสัตถา)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 34: | บรรทัด 34: | ||
ใน พ.ศ. 2136 หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ทรงยกทัพมาโจมตีกรุงละแวกอีก คราวนี้ ทรงตีเมืองละแวก และจับพระศรีสุริโยพรรณ และพระโอรสอีกสองพระองค์คือพระชัยเจษฎาและพระอุทัย นำตัวกลับไปกรุงศรีอยุธยา ส่วนสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 และพระมหากษัตริย์อีก 2 พระองค์หลบหนีไปได้ โดยครั้งแรกไปประทับที่เมืองเสร็ยสนทอร์หรือศรีสุนทร จากนั้นจึงหนีไปเมือง[[เชียงแตง]]หรือสตึงเตรง แล้วประชวรเป็นไข้สิ้นพระชนม์ที่นั่นเมื่อพระชนม์ได้ 54 พรรษา ใน พ.ศ. 2137<ref>ตามหลักฐานของสเปนและกัมพูชา ดู ศานติ (2554)</ref> โดยสมเด็จพระชัยเชษฐาประชวรและสิ้นพระชนม์ไปด้วย เหลือแต่สมเด็จพระบรมราชาองค์ตน ต่อมาพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ได้นำมาบรรจุไว้ที่เจดีย์ที่เขาพระราชทรัพย์ เมืองอุดงค์มีชัยในรัชกาล[[พระไชยเชษฐาที่ 2]]<ref>ศานติ ภักดีคำ. 2556. เขมรสมัยหลังพระนคร. กทม. มติชน</ref> |
ใน พ.ศ. 2136 หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ทรงยกทัพมาโจมตีกรุงละแวกอีก คราวนี้ ทรงตีเมืองละแวก และจับพระศรีสุริโยพรรณ และพระโอรสอีกสองพระองค์คือพระชัยเจษฎาและพระอุทัย นำตัวกลับไปกรุงศรีอยุธยา ส่วนสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 และพระมหากษัตริย์อีก 2 พระองค์หลบหนีไปได้ โดยครั้งแรกไปประทับที่เมืองเสร็ยสนทอร์หรือศรีสุนทร จากนั้นจึงหนีไปเมือง[[เชียงแตง]]หรือสตึงเตรง แล้วประชวรเป็นไข้สิ้นพระชนม์ที่นั่นเมื่อพระชนม์ได้ 54 พรรษา ใน พ.ศ. 2137<ref>ตามหลักฐานของสเปนและกัมพูชา ดู ศานติ (2554)</ref> โดยสมเด็จพระชัยเชษฐาประชวรและสิ้นพระชนม์ไปด้วย เหลือแต่สมเด็จพระบรมราชาองค์ตน ต่อมาพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ได้นำมาบรรจุไว้ที่เจดีย์ที่เขาพระราชทรัพย์ เมืองอุดงค์มีชัยในรัชกาล[[พระไชยเชษฐาที่ 2]]<ref>ศานติ ภักดีคำ. 2556. เขมรสมัยหลังพระนคร. กทม. มติชน</ref> |
||
== ในวัฒนธรรมสมัยนิยม == |
|||
ได้มีการนำพระราชประวัติของพระองค์ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ใน '''[[ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๓ ยุทธนาวี]]''' ซึ่งปรากฏฉากที่พระศรีสุพรรณพระอนุชาในสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 นักพระสัฏฐา ได้เกิดบาดหมางกับ[[สมเด็จพระนเรศวร]]แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุให้อาณาจักรเขมรละแวกประกาศอิสรภาพไม่ชึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีกต่อไป เปิดฉากสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงละแวก |
|||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
||
* ศานติ ภักดีคำ. 2554. เขมรรบไทย. กทม. มติชน |
* ศานติ ภักดีคำ. 2554. เขมรรบไทย. กทม. มติชน |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:39, 14 มกราคม 2564
สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (นักพระสัตถา) | |
---|---|
สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 | |
อาณาจักรเขมรละแวก | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 2119–2137 |
รัชกาลก่อนหน้า | สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 |
พระไชยเชษฐาที่ 1 | |
ประสูติ | พ.ศ. 2083 |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์วรมัน |
พระราชบิดา | สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 |
พระราชมารดา | ศรีชัยราชจุฑามณี |
สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หรือสมเด็จพระมหินทราชา พระนามเดิมว่านักพระสัตถาหรือนักพระสัฏฐา เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชาในสมัยที่กรุงละแวกเป็นราชธานี ประสูติราว พ.ศ. 2083 ครองราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. 2119–2137 เป็นพระโอรสของสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ในรัชกาลของพระองค์นั้น ได้ทำสงครามขับเคี่ยวกับสยามหลายครั้ง ก่อนจะรบแพ้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จนเสียกรุงละแวกให้สยาม
ใน พ.ศ. 2121 และ พ.ศ. 2124 สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ทรงยกทัพเรือมาโจมตีเพชรบุรีในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา โดยใน พ.ศ. 2121 นั้นตีไม่สำเร็จ เจ้าพระยาจีนจันตุ แม่ทัพฝ่ายละแวกเกรงทัณฑ์บน เข้ามาสวามิภักดิ์กับกรุงศรีอยุธยาก่อนจะลอบหนีกลับไปภายหลัง ส่วนใน พ.ศ. 2124 ตีเมืองเพชรบุรีได้สำเร็จ เจ้าเมืองเพชรบุรีเสียชีวิต ฝ่ายเขมรจึงกวาดต้อนครอบครัวกลับไปกรุงละแวกเป็นอันมาก ในปีถัดมาคือ พ.ศ. 2125 สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ได้แต่งทัพมากวาดต้อนผู้คนทางหัวเมืองตะวันออก สมเด็จพระนเรศวรซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระมหาอุปราช ได้นำทัพไปตีทัพเมืองละแวกแตกไป หลังจากนั้น กรุงละแวกได้ส่งพระราชสาสน์ขอเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา และได้ปักปันเขตแดนไว้ที่ด่านพระจารึก สงครามระหว่างสยามกับกัมพูชาจึงสงบลง[1] หลังจากทำสัญญาเป็นไมตรีกันแล้ว เมื่อเกิดศึกหงสาวดีขึ้นอีก สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 โปรดให้พระอนุชาคือพระศรีสุพรรณมาธิราชหรือพระศรีสุริโยพรรณมาช่วยราชการสงคราม แต่ระหว่างสงครามนั้น พระศรีสุพรรณมาธิราชมีเหตุให้ผิดใจกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทำให้ขาดทางพระราชไมตรีนับแต่นั้น และเกิดสงครามระหว่างสยามและกัมพูชาต่อมาอีก
ใน พ.ศ. 2129 ในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในขณะที่ยังเป็นพระมหาอุปราช ได้ยกทัพไปตีกรุงละแวก แต่ไม่สามารถตีหักเอากรุงละแวกได้ จึงเลิกทัพกลับมา ใน พ.ศ. 2130 เมื่อมีทัพหงสาวดีมาโจมตีกรุงศรีอยุธยาอีก สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ได้ยกทัพมาตีหัวเมืองตะวันออกของสยาม เข้ามาถึงเมืองนครนายก พระยาศรีไสยณรงค์ และพระยาศรีราชเดโชเป็นแม่ทัพออกไปตีทัพกรุงละแวกแตกไป
ตั้งแต่ พ.ศ. 2127 เป็นต้นมา สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ได้ตั้งให้พระโอรสสองพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ คือพระไชยเชษฐาที่ 1 และสมเด็จพระบรมราชาองค์ตน ทำให้กัมพูชามีกษัตริย์พร้อมกันถึงสามพระองค์ สร้างความไม่พอใจแก่ขุนนางเขมร ในพงศาวดารกัมพูชาฉบับพระองค์นพรัตน์ถึงกับระบุว่าพระองค์เสียพระสติ เสวยแต่น้ำจัณฑ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2134
ใน พ.ศ. 2136 หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ทรงยกทัพมาโจมตีกรุงละแวกอีก คราวนี้ ทรงตีเมืองละแวก และจับพระศรีสุริโยพรรณ และพระโอรสอีกสองพระองค์คือพระชัยเจษฎาและพระอุทัย นำตัวกลับไปกรุงศรีอยุธยา ส่วนสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 และพระมหากษัตริย์อีก 2 พระองค์หลบหนีไปได้ โดยครั้งแรกไปประทับที่เมืองเสร็ยสนทอร์หรือศรีสุนทร จากนั้นจึงหนีไปเมืองเชียงแตงหรือสตึงเตรง แล้วประชวรเป็นไข้สิ้นพระชนม์ที่นั่นเมื่อพระชนม์ได้ 54 พรรษา ใน พ.ศ. 2137[2] โดยสมเด็จพระชัยเชษฐาประชวรและสิ้นพระชนม์ไปด้วย เหลือแต่สมเด็จพระบรมราชาองค์ตน ต่อมาพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ได้นำมาบรรจุไว้ที่เจดีย์ที่เขาพระราชทรัพย์ เมืองอุดงค์มีชัยในรัชกาลพระไชยเชษฐาที่ 2[3]
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
ได้มีการนำพระราชประวัติของพระองค์ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๓ ยุทธนาวี ซึ่งปรากฏฉากที่พระศรีสุพรรณพระอนุชาในสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 นักพระสัฏฐา ได้เกิดบาดหมางกับสมเด็จพระนเรศวรแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุให้อาณาจักรเขมรละแวกประกาศอิสรภาพไม่ชึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีกต่อไป เปิดฉากสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงละแวก
อ้างอิง
- ศานติ ภักดีคำ. 2554. เขมรรบไทย. กทม. มติชน
- ↑ เรียบเรียงตามข้อมูลจากเอกสารผ่ายไทยที่กล่าวถึงในศานติ (2554) ส่วนหลักฐานฝ่ายกัมพูชาไม่ระบุถึงสงครามใน พ.ศ. 2121 และ 2125 ส่วนเหตุการณ์ใน พ.ศ. 2124 และการเป็นไมตรี หลักฐานฝ่ายกัมพูชาระบุศักราชตรงกับรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ 3
- ↑ ตามหลักฐานของสเปนและกัมพูชา ดู ศานติ (2554)
- ↑ ศานติ ภักดีคำ. 2556. เขมรสมัยหลังพระนคร. กทม. มติชน