ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สุวิชช พันธเศรษฐ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Pongsak ksm (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Pongsak ksm (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 59: บรรทัด 59:
{{เกิดปี|2450}}
{{เกิดปี|2450}}
{{ตายปี|2525}}
{{ตายปี|2525}}
[[หมวดหมู่:สกุลชุติมา]]

[[หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดเชียงใหม่]]
[[หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดเชียงใหม่]]
[[หมวดหมู่:นักกฎหมายชาวไทย]]
[[หมวดหมู่:นักกฎหมายชาวไทย]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:05, 6 พฤษภาคม 2563

สุวิชช พันธเศรษฐ
ไฟล์:สุวิชช พันธเศรษฐ.jpg
รัฐมนตรี
ดำรงตำแหน่ง
2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489 – 24 มีนาคม พ.ศ. 2489
นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิดพ.ศ. 2450
จังหวัดเชียงใหม่
เสียชีวิตพ.ศ. 2525 (อายุ 75 ปี)
กรุงเทพฯ
พรรคการเมืองประชาธิปัตย์

นายสุวิชช พันธเศรษฐ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ 3 สมัย[1] และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรี[2][3] เป็นกรรมการในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2491 อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2515 และเป็นพี่ชายของนายทองดี อิสราชีวิน อดีต ส.ส.เชียงใหม่ 6 สมัย และเป็นน้าของนายไกรสร ตันติพงศ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ 7 สมัย

ประวัติ

นายสุวิชช พันธเศรษฐ (ชื่อเดิม เล่งเสียน พันธเศรษฐ) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2450 ที่จังหวัดเชียงใหม่ สำเร็จการศึกษาวิชากฎหมาย เมื่อ พ.ศ. 2476 เข้ารับราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย ด้วยการสอบแข่งขันคัดเลือกเข้า ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าที่ปรึกษาการเทศบาล จังหวัดเชียงใหม่ และรักษาการตำแหน่ง หัวหน้าที่ปรึกษาการเทศบาล จังหวัดลำพูน และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วย

แต่ด้วยความสนใจในงานการเมือง ตั้งแต่วันแรกเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน เมื่อถึงคราวมีการเลือกตั้งทั่วไปสำหรับสมาชิกสภาชุดที่สอง (ชุดแรกเลือกตั้งโดยผู้แทนตำบล พ.ศ. 2476 ครั้งนั้นเชียงใหม่มีผู้แทนราษฎรได้ 2 คน ผู้ได้รับเลือกตั้งคือ หลวงศรีประกาศ และ พระพินิจธนากร โดยนายสุวิชช ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 3 จึงตัดสินใจลาออกจากราชการเข้าสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2480 ได้รับเลือกตั้งเรื่อยมาจนถึงวันรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

นายสุวิชช เคยร่วมกับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในการจัดตั้งพรรคก้าวหน้า ขึ้นในปี พ.ศ. 2488[4][5] และในปี พ.ศ. 2515 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ[6]

ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ทางการเมือง ไม่เคยปล่อยเวลาให้ว่างเว้น ไม่เคยขาดการประชุมเพราะไม่มีอาชีพอย่างอื่นแม้แต่อาชีพทนายความ มีแต่การเขียนบทความการเมืองตลอดเวลา และอภิปรายในสภา และพูดในที่สาธารณะตลอดมาทุกยุคทุกสมัย แม้ในสมัยที่ถูกคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม สามารถพ้นจากข้อกล่าวหามาตรา 104 ของประมวลกฎหมายอาญาที่ทุกคนหวาดเกรงกันเป็นอย่างยิ่งในยุคนั้น ถือว่าการทำหน้าที่ทางการเมือง ย่อมจะมีหลักการของตนเองและการมาสู่วงการเมืองก็ควรที่จะมาด้วยใจรักและด้วยการเสียสละ ดังนั้นนายสุวิชชจึงตั้งปณิธานไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะเสียสละตนเพื่อพรรค แต่จะเสียสละพรรคเพื่อชาติ” ดังนั้นไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ฝ่ายใด ค้านหรือสนับสนุนก็ไม่เว้นที่จะทำการต่อสู้ในสิ่งที่เห็นว่าไม่เป็นธรรมตลอดมาจึงมีศัตรูทางการเมืองเป็นอันมากทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย เพราะไม่เคยอ่อนข้อแก่คนใดคณะใดที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่บ้านเมืองและประชาชน การแสวงหาผลประโยชน์บนฐานแห่งความพินาศของประเทศชาติและประชาชนแล้วยอมไม่ได้ นายสุวิชชยึดมั่นว่า “ ศัตรูส่วนตัวของข้าพเจ้าไม่มี ผู้ที่เป็นศัตรูของประเทศชาติและประชาชนเป็นศัตรูของข้าพเจ้าด้วย

สุวิชช เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2525[7]

การถูกคุกคามทางการเมือง

นายสุวิชช พันธเศรษฐ ถูกคุกคามทางการเมือง ใน พ.ศ. 2490 โดยผู้ร้ายลอบสังหารด้วยปืนกล ณ ถนนนครสวรรค์ แขวงนางเลิ้ง เขตพระนคร ภายหลังที่ได้ร่วมอภิปรายในญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปของพรรคฝ่ายค้าน กรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิล (รัชกาลที่ 8) ในสภาผู้แทนราษฎร ต่อจากนั้นมาก็ได้หลบไปพักพิงอยู่บ้านของนายถวิล อภัยวงศ์ ที่สวนรื่นฤดี ถนนนครราชสีมาเหนือ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และมีการเลือกตั้งสภาชุดใหม่ ซึ่ง ไม่อาจเดินทางกลับไปสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดเชียงใหม่ได้ เพราะรู้ตัวดีว่ายังไม่ปลอดภัยจากการมุ่งร้ายตลอดเวลา

หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งในพระนครร่วมกับ ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ ในพระนครแล้ว ก็มิได้ได้มีบทบาททางการเมืองในสภาผู้แทนอีก จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารเงียบ พ.ศ. 2494 วันที่ 29 พฤศจิกายน โดยมีการนำเอารัฐธรรมนูญฉบับถาวร 10 ธันวาคม 2475 กลับมาใช้อีก นายสุวิชช จึงได้รับการขอร้องจากคณะรัฐประหารชุดใหม่นี้ ให้เข้าไปช่วยเหลือการเมืองเพื่อระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยต่อไป โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกประเภทที่สอง พิมพ์หนังสือนายกรัฐมนตรีอังกฤษออกเผยแพร่ เพราะประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่มีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเช่นเดียวกับประเทศไทย และได้มีรัฐธรรมนูญที่มิได้ขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรใช้มาแล้วกว่า 700 ปี หลังจากมีการปฏิวัติครั้งที่สองโดยคณะทหาร ซึ่งมี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าคณะ เมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

อ้างอิง

  1. http://www.kpi.ac.th/media_kpiacth/pdf/M8_34.pdf
  2. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งและแต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน ๒๑ ราย)
  3. คณะรัฐมนตรีคณะที่ 14 จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
  4. คึกฤทธิ์ ตั้งพรรคก้าวหน้า
  5. วินทร์ เลียววาริณ. น้ำเงินแท้. กรุงเทพฯ : 113, 2558. 446 หน้า. ISBN 9786167455303
  6. รายชื่ออดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปี 2515
  7. นักการเมืองท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า. 2551
  8. ราชกิจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เล่ม 57 หน้า 2944