ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราชวงศ์เว็ททีน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Anonimeco (คุย | ส่วนร่วม)
ปรับปรุงบางส่วน
บรรทัด 39: บรรทัด 39:
[[File:Coat of Arms of the Kingdom of Saxony 1806-1918.svg|120px|left|thumb|ตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์เว็ททีนสายอัลแบร์ท]]
[[File:Coat of Arms of the Kingdom of Saxony 1806-1918.svg|120px|left|thumb|ตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์เว็ททีนสายอัลแบร์ท]]


ราชวงศ์ได้แบ่งเป็นทั้งหมด 2 สายปกครองใหญ่ๆ ในปีค.ศ. 1485 เมื่อพระโอรสของ[[ฟรีดริชที่ 2 ผู้คัดเลือกแห่งซัคเซิน]] แบ่งดินแดนและปกครองร่วมกัน
ราชวงศ์ได้แบ่งเป็นทั้งหมด 2 สายปกครองใหญ่ ๆ ในปีค.ศ. 1485 เมื่อพระโอรสของ[[ฟรีดริชที่ 2 ผู้คัดเลือกแห่งซัคเซิน]] แบ่งดินแดนและปกครองร่วมกัน


พระโอรสพระองค์ใหญ่ [[แอ็นสท์ ผู้คัดเลือกแห่งซัคเซิน]] ได้รับตำแหน่งต่อจากพระราชบิดาในฐานะของ [[พรินซ์ผู้คัดเลือก]] (เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก) รวมทั้งดินแดนส่วนหนึ่งที่ตกอยู่ในปกครองของพระองค์ ได้แก่ [[รัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน]]และ[[ทือริงเงิน]] ในขณะที่พระโอรสพระองค์เล็ก คือ [[ดยุกอัลเบิร์ตที่ 3 แห่งซัคเซิน]] ได้รับดินแดน[[รัฐมาร์เกรฟไมเซิน]] ซึ่งทรงปกครองจาก[[เดรสเดิน]] ในฐานะที่พระองค์ทรงปกครองในฐานะ "[[ดัชชีซัคเซิน|ดยุกแห่งซัคเซิน]]"
พระโอรสพระองค์ใหญ่ [[แอ็นสท์ ผู้คัดเลือกแห่งซัคเซิน]] ได้รับตำแหน่งต่อจากพระราชบิดาในฐานะของ[[เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก]] รวมทั้งดินแดนส่วนหนึ่งที่ตกอยู่ในปกครองของพระองค์ ได้แก่ [[รัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน]]และ[[ทือริงเงิน]] ในขณะที่พระโอรสพระองค์เล็ก คือ [[ดยุกอัลเบิร์ตที่ 3 แห่งซัคเซิน]] ได้รับดินแดน[[รัฐมาร์เกรฟไมเซิน]] ซึ่งทรงปกครองจาก[[เดรสเดิน]] ในฐานะที่พระองค์ทรงปกครองในฐานะ "[[ดัชชีซัคเซิน|ดยุกแห่งซัคเซิน]]"


สายที่อาวุโสกว่า คือ สายแอ็นสท์นั้นเป็นสายหลักที่ปกครองจนกระทั่งปีค.ศ. 1547 และมีบทบาทสำคัญยิ่งในช่วงแรกของ[[การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์]] บทบาทหลักของสายแอ็นสท์นั้นสิ้นสุดลงหลังจาก[[สงครามชมัลกัลดิก]] ซึ่งได้สนับสนุนกับฝ่ายโปรเตสแตนท์ของกลุ่มสันนิบาตชมัลกัลดิก กับ[[จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์|จักรพรรดิคาร์ลที่ 5]] และถึงแม้ว่าสายอัลแบร์ทจะเป็นโปรเตสแตนท์ด้วย แต่ก็ยกทัพเข้ากับฝ่ายของจักรพรรดิ พระองค์จึงพระราชทานรางวัลให้โดยตัดสมาชิกสายแอ็นสท์จากสิทธิ์ในการเป็น[[เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก]] รวมทั้งดินแดน[[รัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน]]อีกด้วย ส่วนสายแอ็นสท์นั้นเหลือแต่การปกครองในดินแดน[[ทือริงเงิน]]เท่านั้น แต่นั้นมาราชวงศ์สายนี้ก็ระส่ำระสาย
สายที่อาวุโสกว่า คือ สายแอ็นสท์นั้นเป็นสายหลักที่ปกครองจนกระทั่งปีค.ศ. 1547 และมีบทบาทสำคัญยิ่งในช่วงแรกของ[[การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์]] บทบาทหลักของสายแอ็นสท์นั้นสิ้นสุดลงหลังจาก[[สงครามชมัลกัลดิก]] ซึ่งได้สนับสนุนกับฝ่ายโปรเตสแตนท์ของกลุ่มสันนิบาตชมัลกัลดิก กับ[[จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์|จักรพรรดิคาร์ลที่ 5]] และถึงแม้ว่าสายอัลแบร์ทจะเป็นโปรเตสแตนท์ด้วย แต่ก็ยกทัพเข้ากับฝ่ายของจักรพรรดิ พระองค์จึงพระราชทานรางวัลให้โดยตัดสมาชิกสายแอ็นสท์จากสิทธิ์ในการเป็น[[เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก]] รวมทั้งดินแดน[[รัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน]]อีกด้วย ส่วนสายแอ็นสท์นั้นเหลือแต่การปกครองในดินแดน[[ทือริงเงิน]]เท่านั้น แต่นั้นมาราชวงศ์สายนี้ก็ระส่ำระสาย


สายอัลแบร์ทนั้นได้คุมอำนาจการปกครองดินแดนแห่งซัคเซิน และเป็นราชวงศ์สายที่มีอำนาจมากในดินแดนแถบนั้น และใช้การแบ่งดินแดนเล็กๆเพื่อให้รัชทายาทปกครองตามอาวุโส ซึ่งบางดินแดนนั้นอยู่รอดผ่านมาได้เป็นเวลายาวนาน ในขณะที่ราชวงศ์เว็ททีนสายแอ็นสท์นั้น ได้เลือกที่จะแบ่งดินแดนเป็น[[กลุ่มดัชชีเออร์เนสตีน|ดัชชีและราชรัฐต่างๆ]]ในทือริงเงิน
สายอัลแบร์ทนั้นได้คุมอำนาจการปกครองดินแดนแห่งซัคเซิน และเป็นราชวงศ์สายที่มีอำนาจมากในดินแดนแถบนั้น และใช้การแบ่งดินแดนเล็ก ๆ เพื่อให้รัชทายาทปกครองตามอาวุโส ซึ่งบางดินแดนนั้นอยู่รอดผ่านมาได้เป็นเวลายาวนาน ในขณะที่ราชวงศ์เว็ททีนสายแอ็นสท์นั้น ได้เลือกที่จะแบ่งดินแดนเป็น[[กลุ่มดัชชีเออร์เนสตีน|ดัชชีและราชรัฐต่าง ๆ]] ในทือริงเงิน


สายที่อาวุโสน้อยกว่า คือ สายอัลแบร์ทนั้นได้ปกครองในฐานะ [[เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก]] (ค.ศ. 1546 - 1806) และต่อมากษัตริย์แห่งซัคเซิน (ค.ศ. 1806 – 1918) และยังมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของโปแลนด์: สมาชิกสองพระองค์ได้เป็น[[รายพระนามกษัตริย์โปแลนด์|กษัตริย์แห่งโปแลนด์]] (ระหว่างปีค.ศ. 1697 - 1763) และอีกพระองค์ปกครอง[[ดัชชีแห่งวอร์ซอ]] (ค.ศ. 1807 - 1814) ในฐานะตัวแทนของ[[จักรพรรดินโปเลียนที่ 1|จักรพรรดินโปเลียน]] และหลังจาก[[สงครามนโปเลียน]] ได้สูญเสียดินแดนของสายนี้ไปถึง 40% รวมถึงดินแดน[[รัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน]] ให้กับปรัสเซีย ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของ[[รัฐซัคเซิน]]ในยุคถัดมา (ดูรายละเอียดใน [[การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา]])
สายที่อาวุโสน้อยกว่า คือ สายอัลแบร์ทนั้นได้ปกครองในฐานะ [[เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก]] (ค.ศ. 1546 - 1806) และต่อมากษัตริย์แห่งซัคเซิน (ค.ศ. 1806 – 1918) และยังมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของโปแลนด์: สมาชิกสองพระองค์ได้เป็น[[รายพระนามกษัตริย์โปแลนด์|กษัตริย์แห่งโปแลนด์]] (ระหว่างปีค.ศ. 1697 - 1763) และอีกพระองค์ปกครอง[[ดัชชีแห่งวอร์ซอ]] (ค.ศ. 1807 - 1814) ในฐานะตัวแทนของ[[จักรพรรดินโปเลียนที่ 1|จักรพรรดินโปเลียน]] และหลังจาก[[สงครามนโปเลียน]] ได้สูญเสียดินแดนของสายนี้ไปถึง 40% รวมถึงดินแดน[[รัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน]] ให้กับปรัสเซีย ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของ[[รัฐซัคเซิน]]ในยุคถัดมา (ดูรายละเอียดใน [[การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา]])
บรรทัด 54: บรรทัด 54:
{{main|ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา}}
{{main|ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา}}


หลังจากที่สมาชิกอาวุโสสายแอ็นสท์ได้สูญเสียสิทธิการเป็น[[เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก]]ให้แก่สายอัลแบร์ทในปีค.ศ. 1547 แต่ยังคงถือสิทธิ์ในดินแดน[[ทือริงเงิน]] โดยแบ่งเป็นราชรัฐเล็กๆหลายแห่ง โดยหนึ่งในนั้นได้แก่ สายซัคเซิน-โคบวร์คและซาลเฟลด์ และต่อมาเปลี่ยนเป็น สายซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ตั้งแต่ปีค.ศ. 1826 เป็นต้นไป และจากนั้นได้รับการคัดเลือกเป็น[[รายพระนามกษัตริย์เบลเยียม|กษัตริย์แห่งชาวเบลเยียม]] (ตั้งแต่ปีค.ศ. 1831) และ[[บัลแกเรีย]] (ค.ศ. 1908 - 1946) รวมถึงการส่งเจ้าชายไปอภิเษกกับประมุขแห่ง[[โปรตุเกส]] ([[พระเจ้าเฟอร์นันโดที่ 2 แห่งโปรตุเกส]]) และ[[สหราชอาณาจักร]] ([[เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี]]) ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ราชบัลลังก์ของบริเตนใหญ่ และโปรตุเกสนั้นสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เว็ททีน
หลังจากที่สมาชิกอาวุโสสายแอ็นสท์ได้สูญเสียสิทธิการเป็น[[เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก]]ให้แก่สายอัลแบร์ทในปีค.ศ. 1547 แต่ยังคงถือสิทธิ์ในดินแดน[[ทือริงเงิน]] โดยแบ่งเป็นราชรัฐเล็ก ๆ หลายแห่ง โดยหนึ่งในนั้นได้แก่ สายซัคเซิน-โคบวร์คและซาลเฟลด์ และต่อมาเปลี่ยนเป็น สายซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ตั้งแต่ปีค.ศ. 1826 เป็นต้นไป และจากนั้นได้รับการคัดเลือกเป็น[[รายพระนามกษัตริย์เบลเยียม|กษัตริย์แห่งชาวเบลเยียม]] (ตั้งแต่ปีค.ศ. 1831) และ[[บัลแกเรีย]] (ค.ศ. 1908 - 1946) รวมถึงการส่งเจ้าชายไปอภิเษกกับประมุขแห่ง[[โปรตุเกส]] ([[พระเจ้าเฟอร์นันโดที่ 2 แห่งโปรตุเกส]]) และ[[สหราชอาณาจักร]] ([[เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี]]) ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ราชบัลลังก์ของบริเตนใหญ่ และโปรตุเกสนั้นสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เว็ททีน


ตั้งแต่รัชสมัยของ[[พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่|พระเจ้าจอร์จที่ 1]] จนกระทั่ง[[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]] ราชวงศ์แห่งอังกฤษนั้นมักจะถูกเรียกบ่อยครั้งว่า [[ฮันโนเฟอร์]], [[ดัชชีเบราน์ชไวค์-ลือเนบูร์ก|เบราน์ชไวค์]] และ[[ตระกูลเวลฟ|เกลฟ]] ต่อมาปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 [[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]] ทรงมีพระราชโองการให้ราชสำนักสืบค้นราชสกุลที่ถูกต้องที่สุดของพระราชสวามี คือ [[เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี|เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา]]ซึ่งราชสกุลนี้จะกลายเป็นนามของพระราชวงศ์ที่จะใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระราชโอรสของพระองค์ และภายหลังจากการสืบค้นอย่างถี่ถ้วนแล้วสามารถสรุปได้ว่าเป็นราชวงศ์เว็ททีน แต่กระนั้นก็มิเคยเห็นนามนี้ปรากฏในพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระราชินีนาถ พระราชโอรส หรือแม้กระทั่งพระราชนัดดาเลย โดย[[พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร|พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7]]และ[[พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|พระเจ้าจอร์จที่ 5]] ได้ทรงให้ออกพระนามพระราชวงศ์ว่า "ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา"
ตั้งแต่รัชสมัยของ[[พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่|พระเจ้าจอร์จที่ 1]] จนกระทั่ง[[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]] ราชวงศ์แห่งอังกฤษนั้นมักจะถูกเรียกบ่อยครั้งว่า [[ฮันโนเฟอร์]], [[ดัชชีเบราน์ชไวค์-ลือเนบูร์ก|เบราน์ชไวค์]] และ[[ตระกูลเวลฟ|เกลฟ]] ต่อมาปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 [[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]] ทรงมีพระราชโองการให้ราชสำนักสืบค้นราชสกุลที่ถูกต้องที่สุดของพระราชสวามี คือ [[เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี|เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา]]ซึ่งราชสกุลนี้จะกลายเป็นนามของพระราชวงศ์ที่จะใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระราชโอรสของพระองค์ และภายหลังจากการสืบค้นอย่างถี่ถ้วนแล้วสามารถสรุปได้ว่าเป็นราชวงศ์เว็ททีน แต่กระนั้นก็มิเคยเห็นนามนี้ปรากฏในพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระราชินีนาถ พระราชโอรส หรือแม้กระทั่งพระราชนัดดาเลย โดย[[พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร|พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7]] และ[[พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|พระเจ้าจอร์จที่ 5]] ได้ทรงให้ออกพระนามพระราชวงศ์ว่า "ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา"


หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้กระแสการต่อต้านเยอรมันนั้นรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อพระราชวงศ์ เนื่องจากนามพระราชวงศ์นั้นออกเสียงไปในทางแบบเยอรมัน ที่ปรึกษาของ[[พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|พระเจ้าจอร์จที่ 5]] ได้พยายามค้นหาชื่อที่เหมาะสมกว่าสำหรับพระราชวงศ์ แต่ "เว็ททีน" ก็ยังถูกปฏิเสธเนืื่องจากความไม่เหมาะสม และในที่สุดก็ออกประกาศให้เปลี่ยนนามพระราชวงศ์ใหม่เป็น "วินด์เซอร์" มาจนกระทั่งปัจจุบัน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้กระแสการต่อต้านเยอรมันนั้นรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อพระราชวงศ์ เนื่องจากนามพระราชวงศ์นั้นออกเสียงไปในทางแบบเยอรมัน ที่ปรึกษาของ[[พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|พระเจ้าจอร์จที่ 5]] ได้พยายามค้นหาชื่อที่เหมาะสมกว่าสำหรับพระราชวงศ์ แต่ "เว็ททีน" ก็ยังถูกปฏิเสธเนื่องจากความไม่เหมาะสม และในที่สุดก็ออกประกาศให้เปลี่ยนนามพระราชวงศ์ใหม่เป็น "วินด์เซอร์" มาจนกระทั่งปัจจุบัน


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 00:34, 26 เมษายน 2563

ราชวงศ์เว็ททีน
พระราชอิสริยยศ
ปกครองซัคเซิน
เชื้อชาติเยอรมัน
สาขาตามลำดับอาวุโส:

สายแอ็นสท์:

สายอัลแบร์ท:

ประมุขพระองค์แรกทีเดอริคัส
ผู้นำสกุลองค์ปัจจุบันมิชชาเอิล เจ้าชายซัคเซิน-ไวมาร์-ไอเซอนัค แกรนด์ดยุกแห่งซัคเซินในนาม
ประมุขพระองค์สุดท้ายประมุขในหลายอาณาจักรจนถึง ค.ศ. 1918
สถาปนาราว ค.ศ. 900 (1,113 ปีก่อน)
สิ้นสุดค.ศ. 1918

ราชวงศ์เว็ททีน (อังกฤษ: House of Wettin) เป็นราชตระกูลกราฟ, ดยุก, เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก และกษัตริย์เชื้อชาติเยอรมันที่เคยปกครองดินแดนที่ในปัจจุบันคือรัฐซัคเซินในประเทศเยอรมนีเป็นเวลากว่า 953 ปี และปกครองซัคเซินในรัฐซัคเซิน-อันฮัลท์และรัฐทือริงเงิน เป็นเวลากว่า 800 ปี นอกจากนั้นในบางครั้งก็ยังครองโปแลนด์ และ ลิทัวเนีย, บริเตนใหญ่, โปรตุเกส, บัลแกเรีย และเบลเยียม ในปัจจุบันเหลือเพียงในบริเตนใหญ่ (สหราชอาณาจักร) กับเบลเยียมเท่านั้นที่ยังครองราชบัลลังก์อยู่

ราชวงศ์เว็ททีนสายแอ็นสท์และอัลแบร์ท

ตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์เว็ททีนสายอัลแบร์ท

ราชวงศ์ได้แบ่งเป็นทั้งหมด 2 สายปกครองใหญ่ ๆ ในปีค.ศ. 1485 เมื่อพระโอรสของฟรีดริชที่ 2 ผู้คัดเลือกแห่งซัคเซิน แบ่งดินแดนและปกครองร่วมกัน

พระโอรสพระองค์ใหญ่ แอ็นสท์ ผู้คัดเลือกแห่งซัคเซิน ได้รับตำแหน่งต่อจากพระราชบิดาในฐานะของเจ้านครรัฐผู้คัดเลือก รวมทั้งดินแดนส่วนหนึ่งที่ตกอยู่ในปกครองของพระองค์ ได้แก่ รัฐผู้คัดเลือกซัคเซินและทือริงเงิน ในขณะที่พระโอรสพระองค์เล็ก คือ ดยุกอัลเบิร์ตที่ 3 แห่งซัคเซิน ได้รับดินแดนรัฐมาร์เกรฟไมเซิน ซึ่งทรงปกครองจากเดรสเดิน ในฐานะที่พระองค์ทรงปกครองในฐานะ "ดยุกแห่งซัคเซิน"

สายที่อาวุโสกว่า คือ สายแอ็นสท์นั้นเป็นสายหลักที่ปกครองจนกระทั่งปีค.ศ. 1547 และมีบทบาทสำคัญยิ่งในช่วงแรกของการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ บทบาทหลักของสายแอ็นสท์นั้นสิ้นสุดลงหลังจากสงครามชมัลกัลดิก ซึ่งได้สนับสนุนกับฝ่ายโปรเตสแตนท์ของกลุ่มสันนิบาตชมัลกัลดิก กับจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 และถึงแม้ว่าสายอัลแบร์ทจะเป็นโปรเตสแตนท์ด้วย แต่ก็ยกทัพเข้ากับฝ่ายของจักรพรรดิ พระองค์จึงพระราชทานรางวัลให้โดยตัดสมาชิกสายแอ็นสท์จากสิทธิ์ในการเป็นเจ้านครรัฐผู้คัดเลือก รวมทั้งดินแดนรัฐผู้คัดเลือกซัคเซินอีกด้วย ส่วนสายแอ็นสท์นั้นเหลือแต่การปกครองในดินแดนทือริงเงินเท่านั้น แต่นั้นมาราชวงศ์สายนี้ก็ระส่ำระสาย

สายอัลแบร์ทนั้นได้คุมอำนาจการปกครองดินแดนแห่งซัคเซิน และเป็นราชวงศ์สายที่มีอำนาจมากในดินแดนแถบนั้น และใช้การแบ่งดินแดนเล็ก ๆ เพื่อให้รัชทายาทปกครองตามอาวุโส ซึ่งบางดินแดนนั้นอยู่รอดผ่านมาได้เป็นเวลายาวนาน ในขณะที่ราชวงศ์เว็ททีนสายแอ็นสท์นั้น ได้เลือกที่จะแบ่งดินแดนเป็นดัชชีและราชรัฐต่าง ๆ ในทือริงเงิน

สายที่อาวุโสน้อยกว่า คือ สายอัลแบร์ทนั้นได้ปกครองในฐานะ เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก (ค.ศ. 1546 - 1806) และต่อมากษัตริย์แห่งซัคเซิน (ค.ศ. 1806 – 1918) และยังมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของโปแลนด์: สมาชิกสองพระองค์ได้เป็นกษัตริย์แห่งโปแลนด์ (ระหว่างปีค.ศ. 1697 - 1763) และอีกพระองค์ปกครองดัชชีแห่งวอร์ซอ (ค.ศ. 1807 - 1814) ในฐานะตัวแทนของจักรพรรดินโปเลียน และหลังจากสงครามนโปเลียน ได้สูญเสียดินแดนของสายนี้ไปถึง 40% รวมถึงดินแดนรัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน ให้กับปรัสเซีย ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของรัฐซัคเซินในยุคถัดมา (ดูรายละเอียดใน การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา)

สมาชิกฝ่ายโรมันคาทอลิกของราชวงศ์เว็ททีนนั้นฝังอยู่ที่คริพท์ในโบสถ์คาทอลิกแห่งราชสำนักซัคเซิน (Katholische Hofkirche) ที่เดรสเดิน

ราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา

หลังจากที่สมาชิกอาวุโสสายแอ็นสท์ได้สูญเสียสิทธิการเป็นเจ้านครรัฐผู้คัดเลือกให้แก่สายอัลแบร์ทในปีค.ศ. 1547 แต่ยังคงถือสิทธิ์ในดินแดนทือริงเงิน โดยแบ่งเป็นราชรัฐเล็ก ๆ หลายแห่ง โดยหนึ่งในนั้นได้แก่ สายซัคเซิน-โคบวร์คและซาลเฟลด์ และต่อมาเปลี่ยนเป็น สายซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ตั้งแต่ปีค.ศ. 1826 เป็นต้นไป และจากนั้นได้รับการคัดเลือกเป็นกษัตริย์แห่งชาวเบลเยียม (ตั้งแต่ปีค.ศ. 1831) และบัลแกเรีย (ค.ศ. 1908 - 1946) รวมถึงการส่งเจ้าชายไปอภิเษกกับประมุขแห่งโปรตุเกส (พระเจ้าเฟอร์นันโดที่ 2 แห่งโปรตุเกส) และสหราชอาณาจักร (เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี) ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ราชบัลลังก์ของบริเตนใหญ่ และโปรตุเกสนั้นสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เว็ททีน

ตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ 1 จนกระทั่งสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ราชวงศ์แห่งอังกฤษนั้นมักจะถูกเรียกบ่อยครั้งว่า ฮันโนเฟอร์, เบราน์ชไวค์ และเกลฟ ต่อมาปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงมีพระราชโองการให้ราชสำนักสืบค้นราชสกุลที่ถูกต้องที่สุดของพระราชสวามี คือ เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาซึ่งราชสกุลนี้จะกลายเป็นนามของพระราชวงศ์ที่จะใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระราชโอรสของพระองค์ และภายหลังจากการสืบค้นอย่างถี่ถ้วนแล้วสามารถสรุปได้ว่าเป็นราชวงศ์เว็ททีน แต่กระนั้นก็มิเคยเห็นนามนี้ปรากฏในพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระราชินีนาถ พระราชโอรส หรือแม้กระทั่งพระราชนัดดาเลย โดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 และพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้ทรงให้ออกพระนามพระราชวงศ์ว่า "ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา"

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้กระแสการต่อต้านเยอรมันนั้นรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อพระราชวงศ์ เนื่องจากนามพระราชวงศ์นั้นออกเสียงไปในทางแบบเยอรมัน ที่ปรึกษาของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้พยายามค้นหาชื่อที่เหมาะสมกว่าสำหรับพระราชวงศ์ แต่ "เว็ททีน" ก็ยังถูกปฏิเสธเนื่องจากความไม่เหมาะสม และในที่สุดก็ออกประกาศให้เปลี่ยนนามพระราชวงศ์ใหม่เป็น "วินด์เซอร์" มาจนกระทั่งปัจจุบัน

อ้างอิง