ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หมอก"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
XXBlackburnXx (คุย | ส่วนร่วม) Revert to revision 8629422 dated 2019-12-14 05:30:26 by JBot using popups |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
[[ไฟล์:Fog from plane.JPG|thumb|right|300px|หมอกปกคลุมเมือง[[ซานฟรานซิสโก]]]] |
[[ไฟล์:Fog from plane.JPG|thumb|right|300px|หมอกปกคลุมเมือง[[ซานฟรานซิสโก]]]] |
||
{{สภาพอากาศ}} |
{{สภาพอากาศ}} |
||
'''หมอก''' ([[ภาษาอังกฤษ|อังกฤษ |
'''หมอก''' ([[ภาษาอังกฤษ|อังกฤษ]]: fog) คือกลุ่มละอองน้ำที่ลอยตัวอยู่ในระดับต่ำเหนือพื้นดิน ซึ่งเมฆบางครั้งก็ถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของหมอก ตัวอย่างเช่น เมฆที่เคลื่อนตัวใน[[อากาศ]]ระดับสูงจะไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นหมอก ขณะที่เมฆที่เคลื่อนตัวมาแบบสัมผัสกับพื้นดิน อาคาร หรือสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ ที่มีความสูงขนาดหนึ่ง จะถูกพิจารณาว่าเป็นหมอกมากกว่าเมฆ ซึ่งหมอกแตกต่างจาก[[ละอองหมอก]] (mist) ก็เพียงเฉพาะความหนาแน่นเท่านั้น ผลกระทบของการเกิดหมอกที่เด่นชัดคือการทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง หมอกปกติทั่วไปอาจลดความสามารถในการมองเห็นน้อยกว่า 1 [[กิโลเมตร]] ส่วนละอองหมอกจะลดความสามารถในการมองเห็นให้เหลือในระยะ 1–2 กิโลเมตร มาตรฐานการบินของ[[สหราชอาณาจักร]]กำหนดไว้ว่าประสิทธิภาพในการมองเห็นที่ระยะ 999 เมตรถึง 2 กิโลเมตร จะพิจารณาสภาพนั้นว่าเป็นละอองหมอก{{อ้างอิง}} นอกจากนี้ละอองหมอกจะต้องมีระดับ[[ความชื้นสัมพัทธ์]]ไม่ต่ำกว่า 95 เปอร์เซ็นต์หรือสูงกว่า หากมีความชื้นสัมพัทธ์น้อยกว่า 95 เปอร์เซ็นต์เราจะพิจารณาสภาพนั้นว่าเป็น[[ฟ้าหลัว]] |
||
สถานที่ที่ซึ่งเกิดหมอกมากที่สุดในโลกคือ[[แกรนด์แบงค์]]นอกชายฝั่งของ[[เกาะนิวฟันด์แลนด์]] [[แคนาดา]] สถานที่ที่ซึ่ง[[กระแสน้ำเย็นแลบราดอร์]]จากทางเหนือมาบรรจบกับ[[กระแสน้ำอุ่นกัล์ฟสตรีม]]จากทางใต้ทำให้เกิดสภาวะหมอกมากที่สุดในโลก ส่วนสถานที่บนพื้นบกที่เกิดหมอกมากที่สุดในโลกได้แก่ [[เมโนโมนี รัฐวิสคอนซิน]], [[พอยน์ตเรย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย]], [[อาร์เจนเทีย รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์]] ทั้งหมดที่กล่าวมามีวันที่หมอกหนามากกว่า 200 วันต่อปี แม้แต่[[ยุโรปใต้]]ที่มีอากาศอุ่นกว่าส่วนอื่นก็สามารถพบหมอกหนาตามพื้นที่ราบต่ำและ[[หุบเขา]] เช่นที่ หุบเขาโปในอิตาลี หุบเขาตาม[[แม่น้ำอาร์โน]]และ[[แม่น้ำไทเบอร์]]ในอิตาลี และเช่นเดียวกับ[[ที่ราบสูงสวิส]]ในช่วงปลาย[[ฤดูใบไม้ร่วง]]และปลาย[[ฤดูหนาว]] |
สถานที่ที่ซึ่งเกิดหมอกมากที่สุดในโลกคือ[[แกรนด์แบงค์]]นอกชายฝั่งของ[[เกาะนิวฟันด์แลนด์]] [[แคนาดา]] สถานที่ที่ซึ่ง[[กระแสน้ำเย็นแลบราดอร์]]จากทางเหนือมาบรรจบกับ[[กระแสน้ำอุ่นกัล์ฟสตรีม]]จากทางใต้ทำให้เกิดสภาวะหมอกมากที่สุดในโลก ส่วนสถานที่บนพื้นบกที่เกิดหมอกมากที่สุดในโลกได้แก่ [[เมโนโมนี รัฐวิสคอนซิน]], [[พอยน์ตเรย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย]], [[อาร์เจนเทีย รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์]] ทั้งหมดที่กล่าวมามีวันที่หมอกหนามากกว่า 200 วันต่อปี แม้แต่[[ยุโรปใต้]]ที่มีอากาศอุ่นกว่าส่วนอื่นก็สามารถพบหมอกหนาตามพื้นที่ราบต่ำและ[[หุบเขา]] เช่นที่ หุบเขาโปในอิตาลี หุบเขาตาม[[แม่น้ำอาร์โน]]และ[[แม่น้ำไทเบอร์]]ในอิตาลี และเช่นเดียวกับ[[ที่ราบสูงสวิส]]ในช่วงปลาย[[ฤดูใบไม้ร่วง]]และปลาย[[ฤดูหนาว]] |
||
== ลักษณะ |
== ลักษณะ == |
||
หมอกก่อตัวขึ้นในสภาวะที่เกิดความแตกต่างกันของ[[อุณหภูมิ]]หรือ[[จุดน้ำค้าง]] (dew point) โดยทั่วไปในสภาพที่อุณหภูมิต่ำกว่า 2.5 [[องศาเซลเซียส]]หรือ 4 [[องศาฟาเรนไฮต์]] หมอกเริ่มก่อตัวด้วยการที่[[ไอน้ำ]]เกิด[[การควบแน่น]]ในอากาศ ซึ่งไอน้ำเหล่านั้นเกิดจา[[การระเหย]]ของ[[น้ำ]]หรือ[[การระเหิด]]ของ[[น้ำแข็ง]] ทำให้เกิดละอองน้ำมากมายในอากาศจนรวมตัวกันในรูปของหมอกหรือบางครั้งก็เป็นเมฆ |
หมอกก่อตัวขึ้นในสภาวะที่เกิดความแตกต่างกันของ[[อุณหภูมิ]]หรือ[[จุดน้ำค้าง]] (dew point) โดยทั่วไปในสภาพที่อุณหภูมิต่ำกว่า 2.5 [[องศาเซลเซียส]]หรือ 4 [[องศาฟาเรนไฮต์]] หมอกเริ่มก่อตัวด้วยการที่[[ไอน้ำ]]เกิด[[การควบแน่น]]ในอากาศ ซึ่งไอน้ำเหล่านั้นเกิดจา[[การระเหย]]ของ[[น้ำ]]หรือ[[การระเหิด]]ของ[[น้ำแข็ง]] ทำให้เกิดละอองน้ำมากมายในอากาศจนรวมตัวกันในรูปของหมอกหรือบางครั้งก็เป็นเมฆ |
||
บรรทัด 26: | บรรทัด 26: | ||
== สมุดภาพ == |
== สมุดภาพ == |
||
<gallery> |
<gallery> |
||
ไฟล์:GGB in fog 2007 edit.jpg |
ไฟล์:GGB in fog 2007 edit.jpg| |
||
ไฟล์:Crepuscular rays with reflection in GGP.jpg |
ไฟล์:Crepuscular rays with reflection in GGP.jpg| |
||
ไฟล์:Fog shadow of GGB.jpg |
ไฟล์:Fog shadow of GGB.jpg| |
||
ไฟล์:Fog shadow tv tower.jpg |
ไฟล์:Fog shadow tv tower.jpg| |
||
ไฟล์:Lienz SG8.JPG |
ไฟล์:Lienz SG8.JPG| |
||
ไฟล์:Nebelostfriesland.jpg |
ไฟล์:Nebelostfriesland.jpg| |
||
ไฟล์:San francisco in fog with rays.jpg |
ไฟล์:San francisco in fog with rays.jpg |
||
ไฟล์:View Point Khun Nan National Park 01.JPG|ทะเลหมอกใน[[อุทยานแห่งชาติขุนน่าน]] |
ไฟล์:View Point Khun Nan National Park 01.JPG|ทะเลหมอกใน[[อุทยานแห่งชาติขุนน่าน]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:34, 14 กุมภาพันธ์ 2563
ส่วนหนึ่งของชุดธรรมชาติ |
สภาพอากาศ |
---|
หมอก (อังกฤษ: fog) คือกลุ่มละอองน้ำที่ลอยตัวอยู่ในระดับต่ำเหนือพื้นดิน ซึ่งเมฆบางครั้งก็ถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของหมอก ตัวอย่างเช่น เมฆที่เคลื่อนตัวในอากาศระดับสูงจะไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นหมอก ขณะที่เมฆที่เคลื่อนตัวมาแบบสัมผัสกับพื้นดิน อาคาร หรือสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ ที่มีความสูงขนาดหนึ่ง จะถูกพิจารณาว่าเป็นหมอกมากกว่าเมฆ ซึ่งหมอกแตกต่างจากละอองหมอก (mist) ก็เพียงเฉพาะความหนาแน่นเท่านั้น ผลกระทบของการเกิดหมอกที่เด่นชัดคือการทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง หมอกปกติทั่วไปอาจลดความสามารถในการมองเห็นน้อยกว่า 1 กิโลเมตร ส่วนละอองหมอกจะลดความสามารถในการมองเห็นให้เหลือในระยะ 1–2 กิโลเมตร มาตรฐานการบินของสหราชอาณาจักรกำหนดไว้ว่าประสิทธิภาพในการมองเห็นที่ระยะ 999 เมตรถึง 2 กิโลเมตร จะพิจารณาสภาพนั้นว่าเป็นละอองหมอก[ต้องการอ้างอิง] นอกจากนี้ละอองหมอกจะต้องมีระดับความชื้นสัมพัทธ์ไม่ต่ำกว่า 95 เปอร์เซ็นต์หรือสูงกว่า หากมีความชื้นสัมพัทธ์น้อยกว่า 95 เปอร์เซ็นต์เราจะพิจารณาสภาพนั้นว่าเป็นฟ้าหลัว
สถานที่ที่ซึ่งเกิดหมอกมากที่สุดในโลกคือแกรนด์แบงค์นอกชายฝั่งของเกาะนิวฟันด์แลนด์ แคนาดา สถานที่ที่ซึ่งกระแสน้ำเย็นแลบราดอร์จากทางเหนือมาบรรจบกับกระแสน้ำอุ่นกัล์ฟสตรีมจากทางใต้ทำให้เกิดสภาวะหมอกมากที่สุดในโลก ส่วนสถานที่บนพื้นบกที่เกิดหมอกมากที่สุดในโลกได้แก่ เมโนโมนี รัฐวิสคอนซิน, พอยน์ตเรย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย, อาร์เจนเทีย รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ ทั้งหมดที่กล่าวมามีวันที่หมอกหนามากกว่า 200 วันต่อปี แม้แต่ยุโรปใต้ที่มีอากาศอุ่นกว่าส่วนอื่นก็สามารถพบหมอกหนาตามพื้นที่ราบต่ำและหุบเขา เช่นที่ หุบเขาโปในอิตาลี หุบเขาตามแม่น้ำอาร์โนและแม่น้ำไทเบอร์ในอิตาลี และเช่นเดียวกับที่ราบสูงสวิสในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและปลายฤดูหนาว
ลักษณะ
หมอกก่อตัวขึ้นในสภาวะที่เกิดความแตกต่างกันของอุณหภูมิหรือจุดน้ำค้าง (dew point) โดยทั่วไปในสภาพที่อุณหภูมิต่ำกว่า 2.5 องศาเซลเซียสหรือ 4 องศาฟาเรนไฮต์ หมอกเริ่มก่อตัวด้วยการที่ไอน้ำเกิดการควบแน่นในอากาศ ซึ่งไอน้ำเหล่านั้นเกิดจาการระเหยของน้ำหรือการระเหิดของน้ำแข็ง ทำให้เกิดละอองน้ำมากมายในอากาศจนรวมตัวกันในรูปของหมอกหรือบางครั้งก็เป็นเมฆ
หมอกโดยปกติจะเกิดเมื่อมีความชื้นสัมพัทธ์ที่ระดับใกล้กับ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้หมอกยังสามารถก่อตัวขึ้นจากการเกิดความชื้นขึ้นมากมายในอากาศ หรืออุณหภูมิของอากาศในบริเวณโดยรอบลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งหมอกยังสามารถก่อตัวได้ในระดับความชื้นที่ต่ำกว่า การอ่านค่าความชื้นสัมพัทธ์ได้ที่ระดับ 100 เปอร์เซ็นต์หมายความว่าอากาศในบริเวณและขณะดังกล่าวไม่สามารถรองรับความชื้นได้อีกต่อไป หากมีความชื้นเพิ่มขึ้นอีกอากาศจะเกิดการอิ่มตัวยิ่งยวด จนทำให้เกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝนในที่สุด
การก่อตัวขึ้นของหมอกมีองค์ประกอบในการเกิดเช่นเดียวกันกับการก่อตัวของเมฆ นอกจากนี้หมอกยังสามารถเกิดขึ้นและสลายตัวไปอย่างรวดเร็วซึ่งขึ้นอยู่กับจุดน้ำค้างในอุณหภูมิขณะนั้น เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า แฟลชฟ็อก (flash fog) และการก่อตัวขึ้นโดยทั่วไปอีกหนึ่งอย่างคือด้วยการสนับสนุนจากหมอกทะเลซึ่งนี้คือปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดของเกลือ ที่เหนือพื้นผิวมหาสมุทรอนุภาคโดยส่วนใหญ่คือเกลือจากละอองเกลือที่เกิดจากการที่คลื่นทะเลเกิดการกระจาย ยกเว้นบริเวณที่เกิดพายุ บริเวณที่เกิดการแตกกระจายของคลื่นทะเลเป็นประจำคือตามแนวริ่มชายฝั่งทะเล ฉะนั้นบริเวณที่เกิดอนุภาคเกลือในอากาศมากที่สุดก็คือบริเวณดังกล่าวนั้นเอง ส่วนการสูญสลายของอนุภาคเกลือในอากาศจะเกิดขึ้นในสภาพที่ความชิ้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นหมอกจึงยังจะสามารถก่อตัวขึ้นในสถานที่ที่มีอากาศแห้ง ๆ ได้เช่นบริเวณชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีการค้นพบเร็ว ๆ นี้ว่า ส่วนประกอบที่ทำให้เกิดนิวเคลียสการสูญสลายของอนุภาคหมอกคือสาหร่ายสีน้ำตาล นักวิจัยพบว่าภายใต้ภาวะวิกฤต เช่นแสงแดดจัด อัตราการระเหยของน้ำมาก จะทำให้สาหร่ายสีน้ำตาลปลดปล่อยไอโอดีนออกมา ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นนิวเคลียสสูญสลายของไอน้ำ
หมอกในบางครั้งทำให้เกิดหยาดน้ำฟ้าในรูปของฝนตกประปรายหรือหิมะตกประปราย ฝนตกประปรายเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อหมอกมีระดับความชื้นมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ และเมื่ออนุภาคของเมฆเกิดการรวมตัวกับอนุภาคของเมฆที่ใหญ่กว่า อีกทั้งยังเกิดขึ้นเมื่อหมอกถึงยกตัวขึ้นไปในบรรยากาศที่สูงกว่าจนเย็นตัวมากเพียงพอ ซึ่งฝนตกประปรายนี้จะแข็งตัวก็ต่อเมื่ออุณหภูมิในบริเวณและขณะดังกล่าวลดลงถึงจุดเยือกแข็ง ส่วนความหนาของหมอกขึ้นอยู่กับระดับความสูงและสภาพอากาศในขณะนั้น ซึ่งหากบรรยากาศด้านบนมีความกดอากาศต่ำก็สามารถจะทำให้หมอกขยายตัวออกได้
หมอกอันทำให้เกิดความอันตราย
หมอกเป็นตัวการสำคัญตัวหนึ่งในการลดประสิทธิภาพการมองเห็น ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งในทางคมนาคมเช่น เรือ เครื่องบิน รถไฟ และรถยนต์ โดยส่วนมากหมอกทำให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะไม่สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันทำให้เกิดการชนหรือปะทะขึ้น อุบัติเหตุอันมีสาเหตุมาจากหมอกหรือทัศนวิสัยไม่ดีเช่น 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินรุ่น บี-25 มิตเชลล์ พุ่งชนเข้ากับตึกเอ็มไพร์สเตตเพราะหมอกลงจัด[ต้องการอ้างอิง] 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1956 เกิดการชนปะทะกันของเรือเดินสมุทร เอสเอสแอนเดรียโดเรีย กับ เอ็มเอสสต็อกโฮล์ม[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งแม้ว่าเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่จะสามารถทราบตำแหน่งของหมอกได้จากเรดาร์ รถยนต์เองก็มีไฟตัดหมอกเพื่อให้เห็นทางและขับเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะบนทางหลวงหรือทางด่วนที่มียานพาหนะมากมายและส่วนใหญ่ก็ใช้ความเร็วสูง เมื่อมีหมอกลงจัดจนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วผู้ขับขี่อาจจะพบกับอุบัติเหตุแบบฉับพลัน ซึ่งพาหนะที่ตามมาก็เช่นกันทำให้เกิดการชนกันไปเป็นทอด ๆ เช่นที่เกิดกับทางหลวงพิเศษระหว่างรัฐหมายเลข 4 เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2008 ซึ่งทำให้มีรถชนกันถึง 70 คัน[ต้องการอ้างอิง]
หมอกมักจะเป็นอันตรายอันดับต้น ๆ ในทางการบิน และมักเป็นอุปสรรคในการลงจอดและบินขึ้นของเครื่องบิน ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและจากระบบอุปกรณ์ช่วยในการลงจอด โดยเฉพาะดวงไฟตามแนวรันเวย์ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงตำแหน่งของรันเวย์ทำให้นักบินสามารถประเมินสภาพแวดล้อมในการลงจอดได้ด้วย
เงาหมอก
เงาหมอกนั้นจะเกิดขึ้นจาการที่มีหมอกบางๆ และมีแสงอาทิตย์ส่องผ่านวัตถุที่เป็นโครงสร้างหรือต้นไม้ใหญ่ ทำให้เกิดเงาไปตกกระตบบนหมอกจนเกิดเป็นภาพคล้ายกับเงาสามมิติ ซึ่งดูแปลกประหลาดซึ่งแสงที่ตกกระทบลงบนหมอกนั้นเป็นลำแสงคล้ายกับรังสีของแสงพระอาทิตย์ขณะตกดิน
สมุดภาพ
-
ทะเลหมอกในอุทยานแห่งชาติขุนน่าน
อ้างอิง
- Frost, H. (2004). Fog. Capstone Press. ISBN 978-0-7368-2093-6.