ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Narutzy (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Narutzy (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 12: บรรทัด 12:
* [[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]] (''[[ฟือเรอร์]]'') ใน[[นาซีเยอรมนี|เยอรมนี]]
* [[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]] (''[[ฟือเรอร์]]'') ใน[[นาซีเยอรมนี|เยอรมนี]]
* [[เบนิโต มุสโสลินี]] (''[[ดูเช]]'') ใน[[ราชอาณาจักรอิตาลี|อิตาลี]]
* [[เบนิโต มุสโสลินี]] (''[[ดูเช]]'') ใน[[ราชอาณาจักรอิตาลี|อิตาลี]]
* [[จักรพรรดิญี่ปุ่น]] (''[[จักรพรรดิญี่ปุ่น|เท็นโน]]'') ใน[[จักรวรรดิญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]
* [[จักรพรรดิโชวะ|จักรพรรดิฮิโระฮิโตะ]] (''[[จักรพรรดิญี่ปุ่น|เท็นโน]]'') ใน[[จักรวรรดิญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]
* [[โจเซฟ สตาลิน]] (''[[Vozhd]]'') ใน[[สหภาพโซเวียต]]
* [[โจเซฟ สตาลิน]] (''[[Vozhd]]'') ใน[[สหภาพโซเวียต]]
* [[เอียน อันโตเนสคู]] (''[[คอนดูคาเตอ]]'') ใน[[ราชอาณาจักรโรมาเนีย|โรมาเนีย]]
* [[เอียน อันโตเนสคู]] (''[[คอนดูคาเตอ]]'') ใน[[ราชอาณาจักรโรมาเนีย|โรมาเนีย]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:46, 8 มกราคม 2563

ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ (อังกฤษ: totalitarianism) เป็นระบบการเมืองที่รัฐถืออำนาจเบ็ดเสร็จเหนือสังคมและมุ่งควบคุมทุกแง่มุมของชีวิตสาธารณะและชีวิตส่วนตัวตามที่เห็นจำเป็น[1]

มโนทัศน์ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จพัฒนาขึ้นครั้งแรกในความหมายเชิงบวกในคริสต์ทศวรรษ 1920 โดยฟาสซิสต์อิตาลี มโนทัศน์ดังกล่าวกลายมาโดดเด่นในวจนิพนธ์การเมืองต่อต้านคอมมิวนิสต์ของตะวันตกระหว่างสงครามเย็น เพื่อเน้นความคล้ายที่รับรู้ระหว่างนาซีเยอรมนีและระบอบฟาสซิสต์อื่นด้านหนึ่ง กับคอมมิวนิสต์โซเวียตอีกด้านหนึ่ง[2][3][4][5][6]

ศัพทมูลวิทยา

ความคิด "ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ" อำนาจทางการเมือง "เบ็ดเสร็จ" โดยรัฐเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1923 โดย จีโอวันนี อาเมนโดลา ผู้อธิบายฟาสซิสต์อิตาลีว่าเป็นระบบที่แก่นแตกต่างจากเผด็จการตามปกติ[7] ภายหลังคำนี้ถูกให้ความหมายบวกในงานเขียนของจีโอวันนี เจนตีเล นักปรัชญาที่โดดเด่นที่สุดของอิตาลีและนักทฤษฎีฟาสซิสต์ชั้นแนวหน้า เขาใช้คำว่า "totalitario" หมายถึง โครงสร้างและเป้าหมายของรัฐใหม่ รัฐใหม่มีเพื่อ "การเป็นผู้แทนอย่างสมบูรณ์ของชาติ และคำแนะนำเป้าหมายแห่งชาติเบ็ดเสร็จ"[8] เขาอธิบายว่า ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จเป็นอุดมการณ์ที่รัฐอยู่เหนือพลเมืองส่วนใหญ่ของตน ถ้าไม่ใช่ในทางอำนาจแล้ว ก็ในทางอิทธิพล[9] เบนิโต มุสโสลินีกล่าวว่า ระบบนี้ใส่ความเป็นการเมืองแก่ทุกสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณและเป็นมนุษย์

ทุกอย่างอยู่ภายใต้รัฐ ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือรัฐ ไม่มีสิ่งใดขัดขวางรัฐได้[7]

ผู้นำสูงสุด

อ้างอิง

  1. Robert ConquestReflections on a Ravaged Century (2000) ISBN 0-393-04818-7, page 74
  2. Andrew Defty, Britain, America and Anti-Communist Propaganda 1945-1953: The Information Research Department, 2007, chapters 2-5
  3. Achim Siegel, The totalitarian paradigm after the end of Communism: towards a theoretical reassessment, 1998, page 200 "Concepts of totalitarianism became most widespread at the height of the Cold War. Since the late 1940s, especially since the Korean War, they were condensed into a far-reaching, even hegemonic, ideology, by which the political elites of the Western world tried to explain and even to justify the Cold War constellation"
  4. Nicholas Guilhot, The democracy makers: human rights and international order, 2005, page 33 "The opposition between the West and Soviet totalitarianism was often presented as an opposition both moral and epistemological between truth and falsehood. The democratic, social, and economic credentials of the Soviet Union were typically seen as "lies" and as the product of a deliberate and multiform propaganda...In this context, the concept of totalitarianism was itself an asset. As it made possible the conversion of prewar anti-fascism into postwar anti-communism
  5. David Caute, Politics and the novel during the Cold War, 2009, pages 95-99
  6. George A Reisch, How the Cold War transformed philosophy of science: to the icy slopes of logic, 2005, pages 153-154
  7. 7.0 7.1 Pipes 1995, pp. 240–281
  8. Stanley G. Payne, Fascism: Comparison and Definition (UW Press, 1980), porn. 73
  9. G. Gentile & B. Mussolini in "La dottrina del fascismo" (1932)