ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ผู้ใช้:Kinkku Ananas/ทดลองเขียน"
Kinkku Ananas (คุย | ส่วนร่วม) ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
Kinkku Ananas (คุย | ส่วนร่วม) ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 69: | บรรทัด 69: | ||
== นิยาม == |
== นิยาม == |
||
นิยามของสาขาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มักใช้การเปรียบเทียบความแตกต่างจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบมาตรฐานหรือ[[เศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก]]{{r|Simon 1987|Camerer & Loewenstein 2003}} |
นิยามของสาขาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มักใช้การเปรียบเทียบความแตกต่างจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบมาตรฐานหรือ[[เศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก]]{{r|Simon 1987|Camerer & Loewenstein 2003}} |
||
== หัวข้อการศึกษา == |
|||
=== การตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน === |
|||
=== การตัดสินใจแบบมีจุดอ้างอิง === |
|||
=== การตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับเวลา === |
|||
=== ความพอใจเชิงสังคม === |
|||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:38, 3 มกราคม 2563
นี่คือหน้าทดลองเขียนของ Kinkku Ananas หน้าทดลองเขียนเป็นหน้าย่อยของหน้าผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้มีไว้ทดลองเขียนหรือไว้พัฒนาหน้าต่าง ๆ แต่นี่ไม่ใช่หน้าบทความสารานุกรม ทดลองเขียนได้ที่นี่ หน้าทดลองเขียนอื่น ๆ: หน้าทดลองเขียนหลัก |
อุปสงค์และอุปทาน
ในทางเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์และอุปทาน (อังกฤษ: demand and supply) เป็นแบบจำลองพื้นฐานที่อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าในตลาดที่มีการแข่งขัน อุปสงค์ หมายถึง ความต้องการซื้อสินค้าและบริการ ในขณะที่อุปทาน หมายถึง ความต้องการขายสินค้าและบริการ[1][2] อุปสงค์และอุปทานของสินค้าต่างๆ เป็นตัวกำหนดปริมาณและราคาของสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาด โดยตลาดอยู่ในภาวะสมดุลถ้าปริมาณอุปสงค์เท่ากับปริมาณอุปทาน[3]
อุปสงค์อุปทานและจุดสมดุล
แนวคิดอุปสงค์และอุปทาน ตั้งอยู่บนข้อสมมติว่าผู้บริโภคและผู้ผลิตตอบสนองต่อราคาในตลาด โดยที่ตัวผู้ซื้อและผู้ขายไม่สามารถต่อรองราคาหรือมีอำนาจในการกำหนดราคาตลาดได้เอง ข้อสมมตินี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายแต่ละรายไม่มีอำนาจในการต่อรองราคา[4]
ปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อนั้นขึ้นอยู่กับราคาของสินค้า และปัจจัยอื่นๆ เช่น รายได้ รสนิยมของผู้บริโภค เป็นต้น หากสมมติว่าปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสินค้าที่ต้องการซื้อกับราคานั้นเรียกว่าอุปสงค์ ซึ่งสามารถเขียนออกมาในลักษณะฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์โดยให้ปริมาณความต้องการซื้อเป็นฟังก์ชันของราคา และมักจะวาดออกมาในรูปแบบของแผนภูมิเส้น การวาดแผนภูมิอุปสงค์มักให้แกนตั้งหมายถึงราคาและแกนนอนหมายถึงปริมาณ โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าแต่ละชนิดจะมีความสัมพันธ์เชิงลบกับราคา นั่นคือ หากว่าราคาของสินค้าชนิดหนึ่งสูงขึ้นโดยที่ปัจจัยอื่นๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิดนั้นจะลดลง ความสัมพันธ์เชิงลบนี้เรียกว่ากฎอุปสงค์ (law of demand) สามารถเขียนออกมาในรูปแผนภูมิเส้นได้เป็นเส้นที่มีลักษณะความชันลาดลง[5]
ในลักษณะเดียวกัน อุปทานหมายถึงความต้องการขายสินค้าของผู้ผลิตที่ราคาแต่ละระดับ โดยที่ปริมาณความต้องการขายเป็นฟังก์ชันของราคา ฟังก์ชันอุปทานสามารถเขียนออกมาในรูปแบบของแผนภูมิเส้นเช่นเดียวกัน ปริมาณอุปทานมักมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคา นั่นคือ หากราคาตลาดของสินค้าชนิดหนึ่งสูงขึ้นโดยที่ปัจจัยอื่นๆ คงที่ ปริมาณความต้องการขายสินค้าชนิดนั้นจะเพิ่มขึ้น เรียกว่ากฎอุปทาน (law of supply) สามารถเขียนออกมาในรูปแผนภูมิเส้นได้เป็นเส้นที่มีลักษณะความชันขึ้น[5]
แบบจำลองอุปสงค์และอุปทานอธิบายว่าอุปสงค์และอุปทานเป็นปัจจัยที่กำหนดราคาของสินค้าในตลาด โดยใช้แนวคิดของจุดสมดุล (equilibrium) จุดสมดุลในแบบจำลองนี้คือภาวะที่ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าเท่ากับปริมาณความต้องการขายสินค้า ราคาสินค้าที่ทำให้ปริมาณความต้องการซื้อเท่ากับปริมาณความต้องการขายนี้เรียกว่าราคาสมดุล และปริมาณสินค้าที่ซื้อขายในจุดสมดุลเรียกว่าปริมาณสมดุล ในแผนภูมิเส้นที่แสดงอุปสงค์และอุปทาน จุดสมดุลคือจุดที่เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานตัดกัน หากปริมาณอุปสงค์มากกว่าปริมาณอุปทาน ซึ่งเกิดเมื่อราคาสินค้าต่ำกว่าราคาดุลยภาพของสินค้านั้น จะเกิดการขาดแคลนสินค้า หรือเรียกว่ามีอุปสงค์ส่วนเกิน ในขณะที่เมื่อปริมาณอุปทานมากกว่าปริมาณอุปสงค์ คือเมื่อราคาสินค้าสูงกว่าราคาดุลยภาพ จะเกิดสินค้าล้นตลาด หรืออุปทานส่วนเกิน โดยเมื่อเกิดกรณีเหล่านี้ ผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดจะตอบสนองจนกระทั่งตลาดเข้าสู่ดุลยภาพต่อเนื่องกัน
การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์และอุปทาน
แผนภูมิเส้นของอุปสงค์และอุปทานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณกับราคาโดยที่ปัจจัยอื่นๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากว่าปัจจัยอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ผู้บริโภคมีรายได้มากขึ้น หรือต้นทุนการผลิตสินค้าลดต่ำลง ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นำเสนอออกมาในรูปของการเปลี่ยนเส้นอุปสงค์หรือเส้นอุปทานทั้งเส้นเป็นเส้นใหม่ นั่นคือ ปริมาณความต้องการซื้อหรือความต้องการขายมีการเปลี่ยนแปลงที่ทุกๆ ระดับราคา[6]
ปัจจัยหนึ่งที่สามารถส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์คือรายได้ของผู้บริโภค หากว่าผู้บริโภคต้องการซื้อชนิดหนึ่งมากขึ้นเมื่อมีรายได้มากขึ้น สินค้าชนิดนั้นเรียกว่าเป็นสินค้าปกติ แต่หากว่าผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้าชนิดหนึ่งน้อยลงเมื่อมีรายได้มากขึ้นแล้ว สินค้าชนิดนั้นจะเรียกว่าเป็นสินค้าด้อย[6]
ความยืดหยุ่น
ความเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อหรือความต้องการขายเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนนั้นสามารถแตกต่างกันไปได้ระหว่างสินค้าแต่ละชนิด ความยืดหยุ่นของอุปสงค์เป็นอัตราร้อยละของความเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อหากว่าราคาเปลี่ยนแปลงไปร้อยละ 1 ทั้งนี้ ความยืดหยุ่นของอุปทานสามารถนิยามได้ในลักษณะเดียวกันโดยเปลี่ยนจากปริมาณความต้องการซื้อเป็นปริมาณความต้องการขาย
หากกำหนดให้ หมายถึงปริมาณสินค้า หมายถึงราคาสินค้า และ กับ หมายถึงความเปลี่ยนแปลงของปริมาณกับราคาตามลำดับ อัตราส่วนของความเปลี่ยนแปลงปริมาณสามารถเขียนได้ว่า ในขณะที่อัตราส่วนความเปลี่ยนแปลงราคาสามารถเขียนได้ว่า นิยามของความยืดหยุ่น () จึงสามารถเขียนออกมาได้ว่า
สินค้าที่ไม่เป็นไปตามกฎอุปสงค์หรือกฎอุปทาน
ที่มาทางทฤษฎีของอุปสงค์และอุปทาน
ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค ฟังก์ชันอุปสงค์และฟังก์ชันอุปทานมีที่มาจากการหาค่าเหมาะที่สุดของผู้บริโภคและผู้ผลิต โดยผู้บริโภคเลือกปริมาณสินค้าเพื่อให้ได้อรรถประโยชน์สูงสุดภายใต้ราคาสินค้าและงบประมาณที่กำหนด ในขณะที่ผู้ผลิตเลือกปริมาณการผลิตเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด ภายใต้ราคาที่กำหนด
ทฤษฎีผู้บริโภค
ในตัวอย่างแบบจำลองอย่างง่าย สมมติว่ามีสินค้าสองชนิด เรียกว่าสินค้าชนิดที่ 1 และสินค้าชนิดที่ 2 (แบบจำลองสามารถเขียนออกมาได้ในรูปแบบที่มีจำนวนสินค้าเป็นจำนวนเต็มบวกใดๆ ก็ได้) กำหนดให้ หมายถึงเป็นปริมาณสินค้าชนิดที่ 1 และ 2 ผู้บริโภคสามารถจัดลำดับความพึงพอใจที่มีต่อปริมาณการบริโภคแต่ละรูปแบบได้ โดยสมมติว่าความพึงพอใจนี้แสดงออกมาได้ในรูปของค่าฟังก์ชันอรรถประโยชน์
ให้ และ เป็นราคาสินค้าชนิดที่ 1 และ 2 ตามลำดับ โดยราคาทั้งสองเป็นจำนวนจริงบวกและผู้บริโภคไม่สามารถส่งผลเปลี่ยนแปลงราคานี้ได้ด้วยตนเอง ผู้บริโภคมีงบประมาณคงที่เท่ากับ ปัญหาการหาค่าอรรถประโยชน์สูงสุดคือการที่ผู้บริโภคเลือกปริมาณ เพื่อให้ได้ค่าอรรถประโยชน์ สูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดว่า ราคาสินค้าทั้งหมดที่ซื้อไม่เกินงบประมาณที่มี หรือ คำตอบ (อาร์กิวเมนต์) ของปัญหานี้ สามารถเขียนออกมาได้รูป และ ซึ่งก็คือฟังก์ชันอุปสงค์ของสินค้าชนิดที่ 1 และ 2 ตามลำดับ อุปสงค์ในลักษณะที่เป็นคำตอบของปัญหาการหาค่าอรรถประโยชน์สูงสุดนี้เรียกว่าเป็นอุปสงค์แบบปรกติ หรือบางครั้งเรียกว่าอุปสงค์แบบมาร์แชล (ตามชื่อของอัลเฟรด มาร์แชล) หรืออุปสงค์แบบวาลรัส (ตามชื่อของเลอง วาลรัส)[9]: 50-51 [10]: 21
ให้ และ หมายถึงราคาสินค้าชนิดที่ 1 ที่แตกต่างกัน กฎของอุปสงค์ที่ระบุว่า ปริมาณอุปสงค์มีความสัมพันธ์สวนทางกันกับราคาของสินค้านั้นๆ สามารถเขียนออกมาได้สำหรับสินค้าชนิดที่ 1 ได้ดังนี้[11]
ทฤษฎีผู้ผลิต
อ้างอิง
- ↑ Bannock G., R.E. Baxter, and R. Rees. (1985), "Demand". The Penguin Dictionary of Economics, 3rd ed. Harmondsworth: Penguin Books Ltd, 114. ISBN 0-14-051134-2. (อังกฤษ)
- ↑ Bannock G., R.E. Baxter, and R. Rees. (1985), "Supply". The Penguin Dictionary of Economics, 3rd ed. Harmondsworth: Penguin Books Ltd, 420. ISBN 0-14-051134-2. (อังกฤษ)
- ↑ Mankiw, N.G. (2004). Principles of Economics, 3rd ed. Mason, Ohio : Thomson/South-Western, 63. ISBN 0-324-16862-4 (อังกฤษ)
- ↑ "8.2 The market and the equilibrium price". The Economy. CORE. 2017. สืบค้นเมื่อ 2019-07-01.
- ↑ 5.0 5.1 OpenStax (2019-03-13). "3.1 Demand, Supply, and Equilibrium in Markets for Goods and Services". Principles of Economics (2 ed.). OpenStax CNX. สืบค้นเมื่อ 2019-07-01.
- ↑ 6.0 6.1 OpenStax (2019-03-13). "3.2 Shifts in Demand and Supply for Goods and Services". Principles of Economics (2 ed.). OpenStax CNX. สืบค้นเมื่อ 2019-07-01.
- ↑ "Leibniz 7.8.1 The elasticity of demand". The Economy. CORE. 2017. สืบค้นเมื่อ 2019-07-01.
- ↑ OpenStax (2019-03-13). "5.1 Price Elasticity of Demand and Price Elasticity of Supply". Principles of Economics (2 ed.). OpenStax CNX. สืบค้นเมื่อ 2019-07-01.
- ↑ Mas-Colell, Andreu; Whinston, Michael D.; Green, Jerry R. (1995). Microeconomic theory. Oxford University Press. ISBN 0-19-510268-1.
- ↑ Jehle, Geoffrey A.; Rehny, Philip J. (2011). Advanced microeconomic theory (3 ed.). Harlow: Financial Times Prentice Hall. ISBN 978-0-273-73191-7.
- ↑ Jerison, Michael; Quah, John K.-H. (2008). "Law of demand". New Palgrave dictionary of economics. London: Palgrave Macmillan. doi:10.1057/978-1-349-95121-5_2413-1. ISBN 978-1-349-95121-5.
เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (อังกฤษ: behavioral economics) เป็นการศึกษาปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ด้วยสมมติฐานเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ที่มีความสมจริงทางจิตวิทยากว่าข้อสมมติมาตรฐานในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมศึกษาความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมจริงของมนุษย์และแบบจำลองมาตรฐานในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ และศึกษาว่าความแตกต่างเหล่านี้มีผลอย่างไรในบริบททางเศรษฐศาสตร์บ้าง
นิยาม
นิยามของสาขาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มักใช้การเปรียบเทียบความแตกต่างจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบมาตรฐานหรือเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก[1][2]
หัวข้อการศึกษา
การตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน
การตัดสินใจแบบมีจุดอ้างอิง
การตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับเวลา
ความพอใจเชิงสังคม
อ้างอิง
- ↑ Simon, Herbert A. (1987). "Behavioural economics". New Palgrave dictionary of economics. London: Palgrave Macmillan. doi:10.1057/978-1-349-95121-5_413-1. ISBN 978-1-349-95121-5.
- ↑ Camerer, Colin F.; Loewenstein, George (2003). "Behavioral economics: Past, present, future". ใน Camerer, Colin F.; Loewenstein, George; Rabin, Matthew (บ.ก.). Advances in behavioral economics. Princeton, NJ: Princeton University Press. ISBN 978-0-691-11681-5.
เศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก
เศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก (อังกฤษ: neoclassical economics)
นิยาม
คำเรียกแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบ "นีโอคลาสสิก" ถูกใช้ครั้งแรกโดยทอร์สไตน์ เวเบล็น ในปี 1900 โดยใช้เรียกแนวคิดเศรษฐศาสตร์ของอัลเฟรด มาร์แชล[1] คำว่า "นีโอคลาสสิก" อ้างอิงถึงสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิก ซึ่งหมายถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ในลักษณะของเดวิด ริคาร์โดและอดัม สมิธ[2][3]
อ้างอิง
- ↑ Aspromourgos, Tony (1987). "'Neoclassical'". New Palgrave dictionary of economics. London: Palgrave Macmillan. doi:10.1057/978-1-349-95121-5_723-1. ISBN 978-1-349-95121-5.
- ↑ Colander, David; Holt, Richard; Rosser, Barkley Jr (2004). "The changing face of mainstream economics". Review of Political Economy. 16 (4): 485–499. doi:10.1080/0953825042000256702.
- ↑ Lawson, Tony (2013). "What is this 'school' called neoclassical economics?". Cambridge Journal of Economics. 37 (5): 947–983. doi:10.1093/cje/bet027.
ภาษาฝรั่งเศส
ภาษาฝรั่งเศส (le français เสียงอ่านภาษาฝรั่งเศส: lə fʁɑ̃se) เป็นภาษากลุ่มโรมานซ์ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน
ประวัติ
ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษากลุ่มโรมานซ์ ซึ่งหมายถึงภาษาที่มีที่มาจากภาษาละติน ภาษาฝรั่งเศสวิวัฒนาการมาจากภาษาละตินที่ใช้พูดกันในเขตกอลตอนเหนือ (เทียบได้กับประเทศฝรั่งเศสตอนเหนือและประเทศเบลเยียมในปัจจุบัน) ก่อนหน้าที่ชาวโรมันจะเข้ามาปกครองดินแดนกอล ชนชาติที่อาศัยในบริเวณนี้ใช้ภาษากลุ่มเคลต์ที่เรียกว่าภาษากอล หลังจากที่จักรวรรดิโรมันยึดครองดินแดนกอลได้สำเร็จ 52 ปีก่อนคริสตกาล ภาษาละตินของชาวโรมันก็เป็นภาษาที่ใช้การการปกครอง ภาษาละตินในกอลได้รับอิทธิพลในด้านคำศัพท์จากภาษากอล