ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ย้อนการแก้ไขที่ 8450402 สร้างโดย Kritsnp (พูดคุย)
ป้ายระบุ: ทำกลับ
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{Infobox Person
{{Infobox Person
| name = หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา
| honorific prefix = หม่อม
| name = ศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา
| image = หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา01.jpg
| image = หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา01.jpg
| caption = ภาพนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายให้ด้วยฝีพระหัตถ์และทรงตั้งไว้ในห้องพระบรรทม
| caption = ภาพนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายให้ด้วยฝีพระหัตถ์และทรงตั้งไว้ในห้องพระบรรทม
บรรทัด 22: บรรทัด 23:
| footnotes =
| footnotes =
}}
}}
'''หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา''' (นามเดิม '''เจ้าศรี ณ น่าน''', 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 - 25 กันยายน พ.ศ. 2521) พระธิดาใน[[พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช]] [[เจ้าผู้ครองนครน่าน|พระเจ้านครเมืองน่าน]] กับหม่อมศรีคำ (ชาว[[เวียงจันทน์]]) เป็นหม่อมเอกใน[[หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร]] ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ “กสิกร” มีนักวิชาการ /ผู้รู้ เสนอบทความต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อม เจ้าศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำ[[แฮม]] และ[[เบคอน]] เป็นต้น
'''หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา''' (นามเดิม '''เจ้าศรี ณ น่าน''', 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 - 25 กันยายน พ.ศ. 2521) เจ้าธิดาใน[[พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช]] [[เจ้าผู้ครองนครน่าน|พระเจ้านครเมืองน่าน]] กับหม่อมศรีคำ (ชาว[[เวียงจันทน์]]) เป็นหม่อมเอกใน[[หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร]] ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ “กสิกร” มีนักวิชาการ /ผู้รู้ เสนอบทความต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อม เจ้าศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำ[[แฮม]]และ[[เบคอน]] เป็นต้น


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==
เจ้าศรีพรหมาเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 มีพระนามเดิมว่า ''เจ้าศรี'' เป็นพระธิดาใน[[พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช]] พระเจ้านครเมืองน่าน กับหม่อมศรีคำ หญิงเชลยศึกชาว[[เวียงจันทน์]] มีเจ้าพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 5 องค์ เป็นชาย 3 องค์ (ถึงแก่กรรมหมด) หญิง 2 องค์ คือ เจ้าบัวแก้ว ณ น่าน และเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน (ซึ่งท่านเป็นองค์สุดท้อง)
เจ้าศรีพรหมาเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 มีพระนามเดิมว่า ''เจ้าศรี'' เป็นพระธิดาใน[[พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช]] พระเจ้านครเมืองน่าน กับหม่อมศรีคำ หญิงเชลยศึกชาว[[เวียงจันทน์]] มีเจ้าพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 5 องค์ เป็นชาย 3 องค์ (ถึงแก่กรรมหมด) หญิง 2 องค์ คือ เจ้าบัวแก้ว ณ น่าน และเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน (ซึ่งท่านเป็นองค์สุดท้อง)


[[พระยามหิบาลบริรักษ์ (สวัสดิ์ ภูมิรักษ์)]] และคุณหญิงอุ๊น ภริยา ได้ทูลขอเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน กับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเป็นธิดาบุญธรรมเมื่ออายุได้ 3 ปีเศษ ตามบิดาและมารดาบุญธรรมไปกรุงเทพ เข้าศึกษาที่[[โรงเรียนสุนันทาลัย]] เป็นเวลา 5 เดือน และ[[โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง]] (โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) 8 เดือน
[[พระยามหิบาลบริรักษ์ (สวัสดิ์ ภูมิรักษ์)]] และคุณหญิงอุ๊น ภริยา ได้ทูลขอเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน กับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเป็นธิดาบุญธรรมเมื่ออายุได้ 3 ปีเศษ ตามบิดาและมารดาบุญธรรมไปกรุงเทพฯ เข้าศึกษาที่[[โรงเรียนสุนันทาลัย]] เป็นเวลา 5 เดือน และ[[โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง]] (โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) 8 เดือน


ปี พ.ศ. 2442 พระยามหิบาลฯ และภริยา ต้องเดินทางไปรับราชการที่[[ประเทศรัสเซีย]] จึงต้องถวายตัวเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ไว้ในพระอุปการะ[[สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ]] ใน[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] เจ้าศรีพรหมา ณ น่าน จึงใช้ชีวิตและทรงเรียนหนังสืออยู่ในวังกับเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ เป็นเวลา 3 ปี ต่อจากนั้นจึงตามพระยามหิบาลฯ และครอบครัวไปอยู่ที่ประเทศรัสเซีย และ[[ประเทศอังกฤษ]] ตามลำดับ หลังจากกลับจากต่างประเทศ ก็กลับเข้ารับราชการ ในพระราชสำนักของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในหน้าที่[[นางสนองพระโอษฐ์]] ในบางครั้งยังทำหน้าที่เป็น[[ล่าม]]ติดต่อกับชาวต่างประเทศ
ปี พ.ศ. 2442 พระยามหิบาลฯ และภริยา ต้องเดินทางไปรับราชการที่[[ประเทศรัสเซีย]] จึงต้องถวายตัวเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ไว้ในพระอุปการะ[[สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง|สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ]]ใน[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] เจ้าศรีจึงใช้ชีวิตและทรงเรียนหนังสืออยู่ในวังกับเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ เป็นเวลา 3 ปี ต่อจากนั้นจึงตามพระยามหิบาลฯ และครอบครัวไปอยู่ที่ประเทศรัสเซีย และ[[ประเทศอังกฤษ]] ตามลำดับ หลังจากกลับจากต่างประเทศ ก็กลับเข้ารับราชการ ในพระราชสำนักของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในหน้าที่[[นางสนองพระโอษฐ์]] ในบางครั้งยังทำหน้าที่เป็น[[ล่าม]]ติดต่อกับชาวต่างประเทศ


มีเรื่องเล่าว่า "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ทรงพึงพอพระราชหฤทัย ถึงกับทรงออกพระโอษฐ์ ตรัสขอเจ้าศรีพรหมาด้วยพระองค์เอง ให้รับราชการในตำแหน่ง[[เจ้าจอม]] เจ้าศรีพรหมาได้กราบบังคมทูลพระกรุณาปฏิเสธเป็น[[ภาษาอังกฤษ]]ว่า ท่านเคารพพระองค์ท่าน ในฐานะพระเจ้าอยู่หัว แต่มิได้รักใคร่พระองค์ในทางชู้สาว"<ref>[http://www.romanticgals.com/modules.php?name=News&file=print&sid=18 เจ้าศรีพรหมา]</ref> ในกราบบังคมทูลปฏิเสธ โดยเลี่ยงไม่ใช้[[ภาษาไทย]] แต่กลับใช้ภาษาอังกฤษ" เป็นการง่ายต่อการกราบบังคมทูลปฏิเสธ และไม่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท รัชกาลที่ 5 ก็ทรงเมตตาให้เป็นไปตามอัธยาศัย เรื่องความกล้าของเจ้าศรีพรหมาครั้งนี้ และพระมหากรุณาของรัชกาลที่ 5 ที่มีต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมา มิทรงได้ถือโทษ ยังพระราชทานเมตตาต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมาตราบจนเสด็จสวรรคต
มีเรื่องเล่าว่า "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ทรงพึงพอพระราชหฤทัย ถึงกับทรงออกพระโอษฐ์ ตรัสขอเจ้าศรีพรหมาด้วยพระองค์เอง ให้รับราชการในตำแหน่ง[[เจ้าจอม]] เจ้าศรีพรหมาได้กราบบังคมทูลพระกรุณาปฏิเสธเป็น[[ภาษาอังกฤษ]]ว่า ท่านเคารพพระองค์ท่าน ในฐานะพระเจ้าอยู่หัว แต่มิได้รักใคร่พระองค์ในทางชู้สาว"<ref>[http://www.romanticgals.com/modules.php?name=News&file=print&sid=18 เจ้าศรีพรหมา]</ref> ในกราบบังคมทูลปฏิเสธ โดยเลี่ยงไม่ใช้[[ภาษาไทย]] แต่กลับใช้ภาษาอังกฤษ" เป็นการง่ายต่อการกราบบังคมทูลปฏิเสธ และไม่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท รัชกาลที่ 5 ก็ทรงเมตตาให้เป็นไปตามอัธยาศัย เรื่องความกล้าของเจ้าศรีพรหมาครั้งนี้ และพระมหากรุณาของรัชกาลที่ 5 ที่มีต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมา มิทรงได้ถือโทษ ยังพระราชทานเมตตาต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมาตราบจนเสด็จสวรรคต


ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนามเจ้าศรี เป็น "เจ้าศรีพรหมา" ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 ทรงขอเจ้าศรีพรหมาให้อภิเษกสมรสกับ[[หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร]] เจ้าศรีพรหมาจึงมีฐานะเป็น “หม่อมศรีพรหมา” มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ [[หม่อมราชวงศ์อนุพร กฤดากร]] และ[[หม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี กฤดากร|หม่อมราชวงศ์หญิงเพ็ญศรี กฤดากร]] หม่อมเจ้าสิทธิพร ซึ่งรับราชการในตำแหน่งอธิบดี ใน[[กระทรวงเกษตร]] ถวายบังคมลาออกจากราชการซึ่งก็ถูกห้ามปรามอย่างมาก ทั้งสองพระองค์ประกอบอาชีพ[[เกษตรกรรม]] อยู่ที่[[บางเบิด]] (ปัจจุบันคือตำบลทรายทอง [[อำเภอบางสะพานน้อย]]) [[จังหวัดประจวบคีรีขันธ์]] เริ่มทำการเกษตรบนที่ดินของหม่อมเจ้าศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา ที่ได้รับเป็นมรดกจากท่านเจ้าคุณมหิบาลฯ โดยปลูกผักสวนครัว พืชไร่ เลี้ยงไก่ สุกรพันธุ์เนื้อ และโคนม และต่อมาขยายกิจการเป็น[[ฟาร์ม]] มีผลผลิตประสบความสำเร็จครั้งแรกของไทย ฟาร์มนี้ยังเป็นสถานีทดลองทางการเกษตรที่มีผลต่อ กสิกรรมในวงกว้าง เป็นผลทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ของไทย
ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนามเจ้าศรี เป็น "เจ้าศรีพรหมา" ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 ทรงขอเจ้าศรีพรหมาให้อภิเษกสมรสกับ[[หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร]] เจ้าศรีพรหมาจึงมีฐานะเป็น “หม่อมศรีพรหมา” มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ [[หม่อมราชวงศ์อนุพร กฤดากร|หม่อมราชวงศ์อนุพร]] และ[[หม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี กฤดากร|หม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี]] หม่อมเจ้าสิทธิพร ซึ่งรับราชการในตำแหน่งอธิบดี[[กระทรวงเกษตร]] ถวายบังคมลาออกจากราชการซึ่งก็ถูกห้ามปรามอย่างมาก ทั้งสองพระองค์ประกอบอาชีพ[[เกษตรกรรม]]ที่[[บางเบิด]] (ปัจจุบันคือตำบลทรายทอง [[อำเภอบางสะพานน้อย]]) [[จังหวัดประจวบคีรีขันธ์]] เริ่มทำการเกษตรบนที่ดินของหม่อมศรีพรหมาที่ได้รับเป็นมรดกจากท่านเจ้าคุณมหิบาลฯ โดยปลูกผักสวนครัว พืชไร่ เลี้ยงไก่ สุกรพันธุ์เนื้อ และโคนม และต่อมาขยายกิจการเป็น[[ฟาร์ม]] มีผลผลิตประสบความสำเร็จครั้งแรกของไทย ฟาร์มนี้ยังเป็นสถานีทดลองทางการเกษตรที่มีผลต่อ กสิกรรมในวงกว้าง เป็นผลทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ของไทย


ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ “กสิกร” มีนักวิชาการ /ผู้รู้ เสนอบทความต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย นอกจากนี้ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อม เจ้าศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำ[[แฮม]] และ[[เบคอน]] เป็นต้น ซึ่งหม่อม เจ้าศรีพรหมานับเป็นคนไทยคนแรกที่ทำหมูแฮมและเบคอนได้ในประเทศไทยในสมัยที่ยังไม่มีตู้เย็น
ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ “กสิกร” มีนักวิชาการ/ผู้รู้ เสนอบทความต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย นอกจากนี้ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อมศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำ[[แฮม]]และ[[เบคอน]] เป็นต้น ซึ่งหม่อมศรีพรหมานับเป็นคนไทยคนแรกที่ทำหมูแฮมและเบคอนได้ในประเทศไทยในสมัยที่ยังไม่มีตู้เย็น


ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] โปรดฯ ให้หม่อมเจ้าสิทธิพรกลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมตรวจกสิกรรม กระทรวงเกษตร เจ้าศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยาจึงต้องติดตามมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย ซึ่งในวาระที่หม่อมเจ้าสิทธิพรดำรงตำแหน่งอยู่ กรมตรวจกสิกรรมสามารถส่งข้าวเข้าประกวดได้รางวัลชนะเลิศเป็นที่ 1 ของโลก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]โปรดฯ ให้หม่อมเจ้าสิทธิพรกลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมตรวจกสิกรรม กระทรวงเกษตร หม่อมศรีพรหมาจึงต้องติดตามมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย ซึ่งในวาระที่หม่อมเจ้าสิทธิพรดำรงตำแหน่งอยู่ กรมตรวจกสิกรรมสามารถส่งข้าวเข้าประกวดได้รางวัลชนะเลิศเป็นที่ 1 ของโลก


แต่ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องออกจากราชการ และเกิด[[กบฏบวรเดช]] ซึ่งพระเชษฐา คือ[[พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช]]ทรงเป็นหัวหน้าในการก่อการแย่งชิงอำนาจกลับคืนจากคณะราษฎรผู้ปกครองแผ่นดิน ซึ่งเปลี่ยนระบบการปกครองระบอบ [[สมบูรณาญาสิทธิราชย์]] มาเป็นระบอบ[[ประชาธิปไตย]] หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมก่อการด้วย แต่การก่อการไม่สำเร็จ ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องโทษจำคุกตลอดพระชนม์ชีพ ที่[[เกาะตะรุเตา]] และ[[เกาะเต่า]] ภายหลังได้รับพระราชทานนิรโทษกรรม จึงจำคุกเพียง 11 ปี หม่อม เจ้าศรีพรหมาต้องรับภาระหนักทั้งเลี้ยงดูโอรสธิดา ดูแลกิจการที่อำเภอบางเบิด และ ตามไปส่งอาหารและยาให้หม่อมเจ้าสิทธิพรตามสถานที่ต่างๆ ที่ถูกคุมขังไว้
แต่ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องออกจากราชการ และเกิด[[กบฏบวรเดช]] ซึ่งพระเชษฐาคือ[[พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช]] ทรงเป็นหัวหน้าในการก่อการแย่งชิงอำนาจกลับคืนจาก[[คณะราษฎร]]ผู้ปกครองแผ่นดิน ซึ่งเปลี่ยนระบบการปกครองระบอบ[[สมบูรณาญาสิทธิราชย์]]มาเป็นระบอบ[[ประชาธิปไตย]] หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมก่อการด้วย แต่การก่อการไม่สำเร็จ ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องโทษจำคุกตลอดพระชนม์ชีพที่[[เกาะตะรุเตา]]และ[[เกาะเต่า]] ภายหลังได้รับพระราชทานนิรโทษกรรม จึงจำคุกเพียง 11 ปี หม่อมศรีพรหมาต้องรับภาระหนักทั้งเลี้ยงดูโอรสธิดา ดูแลกิจการที่อำเภอบางเบิด และ ตามไปส่งอาหารและยาให้หม่อมเจ้าสิทธิพรตามสถานที่ต่างๆ ที่ถูกคุมขังไว้


ในรัฐบาลของนาย[[ควง อภัยวงศ์]] หลังจากหม่อมเจ้าสิทธิพรพ้นโทษแล้ว ก็ได้ทรงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ถึง 2 สมัย หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา จึงได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งหม่อมเจ้าสิทธิพรสิ้นชีพิตักษัย เมื่อ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514 หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา จึงได้ผลักดันให้เกิด “มูลนิธิสิทธิพร กฤดากร” เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ของหม่อมเจ้าสิทธิพร และส่งเสริมการจัดตั้ง[[โรงเรียน]]เพื่อประโยชน์ทางการเกษตร
ในรัฐบาลของนาย[[ควง อภัยวงศ์]] หลังจากหม่อมเจ้าสิทธิพรพ้นโทษแล้ว ก็ได้ทรงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ถึง 2 สมัย หม่อมศรีพรหมาจึงได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งหม่อมเจ้าสิทธิพรสิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514 หม่อมศรีพรหมาจึงได้ผลักดันให้เกิด “มูลนิธิสิทธิพร กฤดากร” เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ของหม่อมเจ้าสิทธิพร และส่งเสริมการจัดตั้ง[[โรงเรียน]]เพื่อประโยชน์ทางการเกษตร


หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา พิราลัยเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2521 ชันษาได้ 90 ปี พระอัฐิของท่านได้นำมาประดิษฐานไว้ที่ ณ [[วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร]] ร่วมกับพระอัฐิของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร
หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2521 สิริอายุได้ 90 ปี อัฐิของท่านได้นำมาประดิษฐานไว้ที่ ณ [[วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร]] ร่วมกับพระอัฐิของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร


== หนังสืออัตชีวประวัติ ==
== หนังสืออัตชีวประวัติ ==
ได้มีการพิมพ์หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2522 โดยการจัดทำของ [[สุลักษณ์ ศิวรักษ์]] แบ่งเป็นสี่ภาค คือ ประวัติ, ข้อเขียนของท่าน, บทสัมภาษณ์ และ จาก กสิกร และมีการตีพิมพ์ใหม่ในปี 2550 โดยคงโครงและเนื้อหาเดิมไว้เกือบทั้งหมด แต่ตั้งชื่อหมวดใหม่ คือ “ประวัติเจ้าศรีพรหมา เรียบเรียงโดย ส.ศิวรักษ์” “อัตชีวประวัติ” ” สัมภาษณ์หม่อมศรีพรหมา กฤษดากร” “การถนอมอาหาร จากหนังสือพิมพ์กสิกร” ตามลำดับ และเพิ่มภาคผนวก “เล่าเรื่องแม่” ของ ม.ร.ว. เพ็ญศรี กฤดากร เข้าไว้ด้วย<ref> [http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=News&file=article&sid=1346 ในแผง-นอกแผง: อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ]</ref> หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" ติดอยู่ใน [[หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน|รายชื่อหนังสือดี 100 เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน]] (พ.ศ. 2408-2519)<ref> [http://www.rsu.ac.th/soc/corner1.html หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน] บทสรุปโครงการวิจัย</ref>
ได้มีการพิมพ์หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2522 โดยการจัดทำของ[[สุลักษณ์ ศิวรักษ์]] แบ่งเป็นสี่ภาค คือ ประวัติ, ข้อเขียนของท่าน, บทสัมภาษณ์ และ จาก กสิกร และมีการตีพิมพ์ใหม่ในปี 2550 โดยคงโครงและเนื้อหาเดิมไว้เกือบทั้งหมด แต่ตั้งชื่อหมวดใหม่ คือ “ประวัติเจ้าศรีพรหมา เรียบเรียงโดย ส.ศิวรักษ์” “อัตชีวประวัติ” ” สัมภาษณ์หม่อมศรีพรหมา กฤษดากร” “การถนอมอาหาร จากหนังสือพิมพ์กสิกร” ตามลำดับ และเพิ่มภาคผนวก “เล่าเรื่องแม่” ของ ม.ร.ว. เพ็ญศรี กฤดากร เข้าไว้ด้วย<ref> [http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=News&file=article&sid=1346 ในแผง-นอกแผง: อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ]</ref> หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" ติดอยู่ใน [[หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน|รายชื่อหนังสือดี 100 เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน]] (พ.ศ. 2408-2519)<ref> [http://www.rsu.ac.th/soc/corner1.html หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน] บทสรุปโครงการวิจัย</ref>


== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==
== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==
{{ต.จ.|2459}}<ref>ราชกิจานุเบกษา [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2459/D/2193.PDF พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า] เล่ม 33 หน้า 2198 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2459 ลำดับที่ 3</ref>
{{ต.จ.ฝ่ายใน|2459}}<ref>ราชกิจานุเบกษา [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2459/D/2193.PDF พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า] เล่ม 33 หน้า 2198 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2459 ลำดับที่ 3</ref>


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
บรรทัด 59: บรรทัด 60:
[[หมวดหมู่:ราชสกุลกฤดากร]]
[[หมวดหมู่:ราชสกุลกฤดากร]]
[[หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายลาว]]
[[หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายลาว]]
[[หมวดหมู่:เจ้านายฝ่ายเหนือ]]
[[หมวดหมู่:สกุล ณ น่าน]]
[[หมวดหมู่:สกุล ณ น่าน]]
[[หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดน่าน]]
[[หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดน่าน]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:00, 7 พฤศจิกายน 2562

หม่อม

ศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา
ไฟล์:หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา01.jpg
ภาพนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายให้ด้วยฝีพระหัตถ์และทรงตั้งไว้ในห้องพระบรรทม
เกิดเจ้าศรี ณ น่าน
19 มีนาคม พ.ศ. 2431
นครน่าน
เสียชีวิต25 กันยายน พ.ศ. 2521 (90 ปี)
คู่สมรสหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร
บุตรหม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี ประดิษฐพงศ์
หม่อมราชวงศ์อนุพร กฤดากร
บุพการีพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช
หม่อมศรีคำ ณ น่าน

หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา (นามเดิม เจ้าศรี ณ น่าน, 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 - 25 กันยายน พ.ศ. 2521) เจ้าธิดาในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครเมืองน่าน กับหม่อมศรีคำ (ชาวเวียงจันทน์) เป็นหม่อมเอกในหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ “กสิกร” มีนักวิชาการ /ผู้รู้ เสนอบทความต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อม เจ้าศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำแฮมและเบคอน เป็นต้น

ประวัติ

เจ้าศรีพรหมาเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 มีพระนามเดิมว่า เจ้าศรี เป็นพระธิดาในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครเมืองน่าน กับหม่อมศรีคำ หญิงเชลยศึกชาวเวียงจันทน์ มีเจ้าพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 5 องค์ เป็นชาย 3 องค์ (ถึงแก่กรรมหมด) หญิง 2 องค์ คือ เจ้าบัวแก้ว ณ น่าน และเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน (ซึ่งท่านเป็นองค์สุดท้อง)

พระยามหิบาลบริรักษ์ (สวัสดิ์ ภูมิรักษ์) และคุณหญิงอุ๊น ภริยา ได้ทูลขอเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน กับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเป็นธิดาบุญธรรมเมื่ออายุได้ 3 ปีเศษ ตามบิดาและมารดาบุญธรรมไปกรุงเทพฯ เข้าศึกษาที่โรงเรียนสุนันทาลัย เป็นเวลา 5 เดือน และโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง (โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) 8 เดือน

ปี พ.ศ. 2442 พระยามหิบาลฯ และภริยา ต้องเดินทางไปรับราชการที่ประเทศรัสเซีย จึงต้องถวายตัวเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ไว้ในพระอุปการะสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าศรีจึงใช้ชีวิตและทรงเรียนหนังสืออยู่ในวังกับเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ เป็นเวลา 3 ปี ต่อจากนั้นจึงตามพระยามหิบาลฯ และครอบครัวไปอยู่ที่ประเทศรัสเซีย และประเทศอังกฤษ ตามลำดับ หลังจากกลับจากต่างประเทศ ก็กลับเข้ารับราชการ ในพระราชสำนักของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในหน้าที่นางสนองพระโอษฐ์ ในบางครั้งยังทำหน้าที่เป็นล่ามติดต่อกับชาวต่างประเทศ

มีเรื่องเล่าว่า "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ทรงพึงพอพระราชหฤทัย ถึงกับทรงออกพระโอษฐ์ ตรัสขอเจ้าศรีพรหมาด้วยพระองค์เอง ให้รับราชการในตำแหน่งเจ้าจอม เจ้าศรีพรหมาได้กราบบังคมทูลพระกรุณาปฏิเสธเป็นภาษาอังกฤษว่า ท่านเคารพพระองค์ท่าน ในฐานะพระเจ้าอยู่หัว แต่มิได้รักใคร่พระองค์ในทางชู้สาว"[1] ในกราบบังคมทูลปฏิเสธ โดยเลี่ยงไม่ใช้ภาษาไทย แต่กลับใช้ภาษาอังกฤษ" เป็นการง่ายต่อการกราบบังคมทูลปฏิเสธ และไม่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท รัชกาลที่ 5 ก็ทรงเมตตาให้เป็นไปตามอัธยาศัย เรื่องความกล้าของเจ้าศรีพรหมาครั้งนี้ และพระมหากรุณาของรัชกาลที่ 5 ที่มีต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมา มิทรงได้ถือโทษ ยังพระราชทานเมตตาต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมาตราบจนเสด็จสวรรคต

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนามเจ้าศรี เป็น "เจ้าศรีพรหมา" ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 ทรงขอเจ้าศรีพรหมาให้อภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เจ้าศรีพรหมาจึงมีฐานะเป็น “หม่อมศรีพรหมา” มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์อนุพร และหม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี หม่อมเจ้าสิทธิพร ซึ่งรับราชการในตำแหน่งอธิบดีกระทรวงเกษตร ถวายบังคมลาออกจากราชการซึ่งก็ถูกห้ามปรามอย่างมาก ทั้งสองพระองค์ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่บางเบิด (ปัจจุบันคือตำบลทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เริ่มทำการเกษตรบนที่ดินของหม่อมศรีพรหมาที่ได้รับเป็นมรดกจากท่านเจ้าคุณมหิบาลฯ โดยปลูกผักสวนครัว พืชไร่ เลี้ยงไก่ สุกรพันธุ์เนื้อ และโคนม และต่อมาขยายกิจการเป็นฟาร์ม มีผลผลิตประสบความสำเร็จครั้งแรกของไทย ฟาร์มนี้ยังเป็นสถานีทดลองทางการเกษตรที่มีผลต่อ กสิกรรมในวงกว้าง เป็นผลทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ของไทย

ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ “กสิกร” มีนักวิชาการ/ผู้รู้ เสนอบทความต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย นอกจากนี้ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อมศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำแฮมและเบคอน เป็นต้น ซึ่งหม่อมศรีพรหมานับเป็นคนไทยคนแรกที่ทำหมูแฮมและเบคอนได้ในประเทศไทยในสมัยที่ยังไม่มีตู้เย็น

ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้หม่อมเจ้าสิทธิพรกลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมตรวจกสิกรรม กระทรวงเกษตร หม่อมศรีพรหมาจึงต้องติดตามมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย ซึ่งในวาระที่หม่อมเจ้าสิทธิพรดำรงตำแหน่งอยู่ กรมตรวจกสิกรรมสามารถส่งข้าวเข้าประกวดได้รางวัลชนะเลิศเป็นที่ 1 ของโลก

แต่ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องออกจากราชการ และเกิดกบฏบวรเดช ซึ่งพระเชษฐาคือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ทรงเป็นหัวหน้าในการก่อการแย่งชิงอำนาจกลับคืนจากคณะราษฎรผู้ปกครองแผ่นดิน ซึ่งเปลี่ยนระบบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมก่อการด้วย แต่การก่อการไม่สำเร็จ ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องโทษจำคุกตลอดพระชนม์ชีพที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่า ภายหลังได้รับพระราชทานนิรโทษกรรม จึงจำคุกเพียง 11 ปี หม่อมศรีพรหมาต้องรับภาระหนักทั้งเลี้ยงดูโอรสธิดา ดูแลกิจการที่อำเภอบางเบิด และ ตามไปส่งอาหารและยาให้หม่อมเจ้าสิทธิพรตามสถานที่ต่างๆ ที่ถูกคุมขังไว้

ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ หลังจากหม่อมเจ้าสิทธิพรพ้นโทษแล้ว ก็ได้ทรงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ถึง 2 สมัย หม่อมศรีพรหมาจึงได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งหม่อมเจ้าสิทธิพรสิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514 หม่อมศรีพรหมาจึงได้ผลักดันให้เกิด “มูลนิธิสิทธิพร กฤดากร” เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ของหม่อมเจ้าสิทธิพร และส่งเสริมการจัดตั้งโรงเรียนเพื่อประโยชน์ทางการเกษตร

หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2521 สิริอายุได้ 90 ปี อัฐิของท่านได้นำมาประดิษฐานไว้ที่ ณ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ร่วมกับพระอัฐิของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร

หนังสืออัตชีวประวัติ

ได้มีการพิมพ์หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2522 โดยการจัดทำของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ แบ่งเป็นสี่ภาค คือ ประวัติ, ข้อเขียนของท่าน, บทสัมภาษณ์ และ จาก กสิกร และมีการตีพิมพ์ใหม่ในปี 2550 โดยคงโครงและเนื้อหาเดิมไว้เกือบทั้งหมด แต่ตั้งชื่อหมวดใหม่ คือ “ประวัติเจ้าศรีพรหมา เรียบเรียงโดย ส.ศิวรักษ์” “อัตชีวประวัติ” ” สัมภาษณ์หม่อมศรีพรหมา กฤษดากร” “การถนอมอาหาร จากหนังสือพิมพ์กสิกร” ตามลำดับ และเพิ่มภาคผนวก “เล่าเรื่องแม่” ของ ม.ร.ว. เพ็ญศรี กฤดากร เข้าไว้ด้วย[2] หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" ติดอยู่ใน รายชื่อหนังสือดี 100 เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน (พ.ศ. 2408-2519)[3]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

อ้างอิง