ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กระสือ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
.
บรรทัด 17: บรรทัด 17:


== ความเชื่อเกี่ยวกับกระสือ ==
== ความเชื่อเกี่ยวกับกระสือ ==
กระสือเป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิงซึ่งโดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินเวลา[[กลางคืน]]และไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วน[[ร่างกายมนุษย์|ร่างกาย]]คงทิ้งไว้ที่[[บ้าน]] เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมี[[แสง]][[สีแดง]] แต่ส่วนมากจะเป็น[[แสง]][[สีเขียว]]เรืองวับๆ โดยจะเริ่มออกหากินตั้งแต่เวลาหัวค่ำไปจนถึงทั้งคืน และจะกลับเข้าร่างเวลาใกล้[[ย่ำรุ่ง|รุ่งสาง]]
กระสือ หรือนางอินทิรา สู้ดี เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิงซึ่งโดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินเวลา[[กลางคืน]]และไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วน[[ร่างกายมนุษย์|ร่างกาย]]คงทิ้งไว้ที่[[บ้าน]] เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมี[[แสง]][[สีแดง]] แต่ส่วนมากจะเป็น[[แสง]][[สีเขียว]]เรืองวับๆ โดยจะเริ่มออกหากินตั้งแต่เวลาหัวค่ำไปจนถึงทั้งคืน และจะกลับเข้าร่างเวลาใกล้[[ย่ำรุ่ง|รุ่งสาง]]


เวลากลางวันจะมีลักษณะร่างกายเหมือนคนทั่วไป แต่มีพฤติกรรมหรืออาการแบบแปลกๆ ผิดปกติ เช่น ไม่ชอบสบตาคน เงียบๆ ไม่พูดไม่จากับใคร ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว บ้างก็ไม่ชอบแสงสว่างก็มี
เวลากลางวันจะมีลักษณะร่างกายเหมือนคนทั่วไป แต่มีพฤติกรรมหรืออาการแบบแปลกๆ ผิดปกติ เช่น ไม่ชอบสบตาคน เงียบๆ ไม่พูดไม่จากับใคร ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว บ้างก็ไม่ชอบแสงสว่างก็มี

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:26, 21 ตุลาคม 2562

กระสือ / អាប
กระสือ (ไทย) หรือ อ๊าบ (เขมร) และ "ปาลาซิก", "กูยัง", "เลอัก", "ป็อปโป", "ปารากัง", "เซอลักเมอเติม" (อินโดนีเซีย), "สกัล" (กาโร) ผี
กลุ่มปีศาจ
กลุ่มย่อยออกหากินเวลากลางคืน, เรืองแสง
เทพปกรณัมตำนานพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชื่ออื่นอ๊าป, ปินังกาลัน, เลอยัก, "กูยัง", "ปาลาซิก"
ประเทศประเทศไทย, ประเทศลาว, ประเทศกัมพูชา, ประเทศเวียดนาม, ประเทศมาเลเซีย, ประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศอินเดีย
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กระสือ เป็นชื่อผีชนิดหนึ่งที่ถือว่าเข้าสิงในตัวผู้หญิงและชอบกินของโสโครก คู่กับ "กระหัง" ซึ่งเข้าสิงในตัวผู้ชาย

ความเชื่อเกี่ยวกับกระสือ

กระสือ หรือนางอินทิรา สู้ดี เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิงซึ่งโดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินเวลากลางคืนและไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมีแสงสีแดง แต่ส่วนมากจะเป็นแสงสีเขียวเรืองวับๆ โดยจะเริ่มออกหากินตั้งแต่เวลาหัวค่ำไปจนถึงทั้งคืน และจะกลับเข้าร่างเวลาใกล้รุ่งสาง

เวลากลางวันจะมีลักษณะร่างกายเหมือนคนทั่วไป แต่มีพฤติกรรมหรืออาการแบบแปลกๆ ผิดปกติ เช่น ไม่ชอบสบตาคน เงียบๆ ไม่พูดไม่จากับใคร ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว บ้างก็ไม่ชอบแสงสว่างก็มี

กระสือเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดก็ยังไม่เป็นที่ทราบ ซึ่งคนในสมัยโบราณมักจะเรียกว่า "ผีลากไส้" และต่อมาก็จึงเรียกว่า "กระสือ"หรือ "ผีกระสือ" ในสมัยปัจจุบันนี้

ผู้ที่เป็นกระสือนั้นมักจะเป็นผู้ที่บูชาไสยศาสตร์มนต์ดำ(เดรัจฉานวิชา) แต่ทำผิดข้อห้าม จนกลายเป็นกระสือไปในที่สุด

ปกติแล้วกระสือจะไม่ทำร้ายคน ว่ากันว่าเมื่อกระสือออกหากินเวลากลางคืนแล้วเมื่อพบกับคนก็จะลอยหนีหายไป ถ้าหากคนทำให้กระสือเกิดความไม่พอใจ โกรธ กระสือจะมีความแค้น อาฆาตพยาบาท เมื่อกระสือได้ชำระแค้นกับคนๆ นั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าจะแค่บาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิตเลย

ใครคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวของเลือดจะชักนำให้ผีกระสือมาและกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูกหรือของทารกที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึงมักเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้กระสือเข้ามา เชื่อกันว่ากระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้

นอกจากของสดของคาวแล้ว กระสือยังชอบรับประทานของโสโครกเช่นอุจจาระเป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ดปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวง ๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้มกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป

กระสือนั้นเมื่อเจ็บจวนจะตายก็ไม่ตายเด็ดขาด และจะต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้สืบทายาทเป็นกระสือต่อก่อน ตนจึงจะตายได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป

การปราบกระสือนั้น ไม่สามารถไล่ผีที่มาสิงสู่ออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณนั้นได้หยั่งลึกลงในใจของคน ๆ นั้น ซึ่งสังเกตได้ว่าเป็นการหยั่งลึกในขั้นที่วิญญาณ (กายทิพย์) สามารถบังคับให้ร่างกาย (กายหยาบ) ของผู้ถูกสิงนั้นอยู่ในสภาพที่วิปลาสผิดธรรมชาติได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นการถอดหัวและอวัยวะภายในให้หลุดออกมาจากร่างกาย รวมถึงการลอยตัวอยู่ในอากาศ ฉะนั้น ร่างกายของคนๆนั้นเมื่อถูกวิญญาณร้ายบังคับให้ทำในสิ่งที่หากมนุษย์ธรรมดาทำแล้วเสียชีวิต ก็เท่ากับว่ากายนั้นเป็นร่างกายที่ไร้สิ้นซึ่งความเป็นมนุษย์ เป็นร่างกายที่เสียหายและยังคงมีชีวิตอยู่ได้โดยอำนาจของวิญญาณภูติกระสือที่อยู่ในร่างเท่านั้น ถึงแม้กระสือจะถูกไล่ออกจากร่างไป แต่ร่างการนั้นก็ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างคนปกติ ดังนั้นการปราบกระสือก็เท่ากับต้องฆ่าคน ๆ นั้นไปด้วยเลย บางท้องที่เล่าว่ากระสือชราเมื่อมีการถ่ายทอดความเป็นกระสือสู่ลูกหลานรุ่นต่อไปแล้ว ตนเองจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานก่อนจะเสียชีวิตในสภาพที่หัวกับอวัยวะภายในหลุดออกมาจากตัว ซึ่งเป็นผลพวงจากการถูกวิญญาณร้ายบังคับให้แยกออกไปหากินเมื่อครั้งยังมีกระสืออยู่ในร่าง เมื่อถ่ายทอดกระสือออกจากร่างไปแล้ว หัวกับตัวก็จะไม่สามารถต่อติดเชื่อมกันอีกต่อไป

ลักษณะของกระสือ

กระสือในรูปแบบที่รับรู้กันในยุคปัจจุบัน คือ เป็นผีผู้หญิงแก่ที่ล่องลอยไปพร้อมกับหัวและไส้และอวัยวะส่วนอื่น เช่น หัวใจ, ปอด และเรืองแสงได้เรือง ๆ แต่ทว่าตามนิยามของ เสฐียรโกเศศ แล้ว กระสือเป็นเพียงผีผู้หญิงแก่ที่มีเพียงหัวกับไส้ที่ส่องแสงเรือง ๆ โดยที่ไม่มีอวัยวะส่วนอื่นใด ซึ่งที่มาของกระสือที่มีหัวกับไส้และอวัยวะส่วนอื่น ๆ แบบที่คุ้นเคยกันนั้น มาจากภาพวาดของ ทวี วิษณุกร ที่แต่งเติมเอาจากจินตนาการในใบปิดภาพยนตร์เรื่อง "กระสือสาว" ที่ฉายเมื่อปี พ.ศ. 2516 นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ พิศมัย วิไลศักดิ์ [1]

กระสือในทางวิทยาศาสตร์

กระสือมักได้รับการอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ว่า คือ ดวงไฟที่ลุกโชนจากโมเลกุลของก๊าซมีเทนที่เกิดจากการสะสมของซากเน่าเปื่อยของอินทรียสารในนาข้าวหรือท้องทุ่ง แต่ในทัศนะของ รองศาสตราจารย์ ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร นักวิชาการผู้ศึกษาเรื่องพลังงานธรรมชาติแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เห็นว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะก๊าซมีเทนในนาข้าวนั้นไม่ได้มีปริมาณมากพอที่จะเกิดการลุกไหม้ อีกทั้งถ้าลุกไหม้จริงก็จะปรากฏอยู่บริเวณเฉพาะผิวหน้าของวัตถุ มิได้ลอยขึ้นไปในอากาศหรือเคลื่อนที่ได้[1]

อีกทั้งในทางกายวิภาค ร่างกายมนุษย์เมื่อถอดส่วนหัวแล้ว อวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น ไส้, หัวใจ หรือปอด ก็จะไม่ติดออกมาด้วย[1]

ผีที่คล้ายกัน

ผีกระสือมลายู ฮันตูปินังกาลัน

กระสือในกัมพูชาเรียกว่า "เอิบ" ([អាប อาบ] ข้อผิดพลาด: {{Lang-xx}}: ข้อความมีมาร์กอัปตัวเอียง (ช่วยเหลือ)) มีการสันนิษฐานว่ากระสือมีที่มาจากประเทศกัมพูชา โดยเกิดจากผู้ที่บูชาไสยศาสตร์มนต์ดำเขมร แล้วทำผิดข้อห้าม

ในลาวเรียก "กะสือ" (ลาว: ກະສື)

ในเวียดนามเรียก "มาลาย" (เวียดนาม: ma lai)[2][3][4]

ในแถบมาเลเซียยังมีเรื่องของผีที่มีลักษณะคล้ายกระสือของไทยด้วย เรียกว่า "ฮันตูปินังกาลัน" หรือ "ปินังกาลัน" (มลายู: Hantu penanggal, Penanggalan)

มีเรื่องเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก วันหนึ่งในตอนกลางคืน ผู้เป็นพ่อได้ออกไปธุระข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่ปิดประตูอยู่ในห้อง แล้วนางก็หยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยติดออกมาด้วย เวลาที่ออกหากินจะเห็นเป็นแสงสีเหลือง และมีเสียงดังดุจลมพัดตลอดเวลาที่นางลอยไปเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่จะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง ผู้เป็นลูกได้แอบเห็นดังนั้นจึงลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาลองทาดูบ้าง ขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยเกิดกลัวจนร้องโวยวายออกมาว่า "ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว" จนชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าเยี่ยมหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงร้องโวยวายก็เงียบลง หลังจากวันนั้น ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีไปจากที่นั่น และไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย

ซึ่งความแตกต่างของฮันตูปินังกาลัน และกระสือ ต่างกันที่สีของดวงไฟ ที่กระสือจะเป็นสีเขียวหรือแดง และฮันตูปินังกาลันจะเป็นสีเหลือง อีกทั้งฮันตูปินังกาลันยังมีความดุร้ายกว่าด้วย[5]

ที่ฟิลิปปินส์ มีความเชื่อเรื่องมานานังเกล (ตากาล็อก: Manananggal) ผีดูดเลือดที่มีปีกเหมือนค้างคาวขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง เมื่ออกล่าเหยื่อจะถอดลำตัวท่อนบนออกแล้วบินไปในอากาศในเวลากลางคืน รวมถึงยังชอบที่จะกินเด็กทารกจากครรภ์ผู้เป็นแม่อีกด้วย[2][3][4]

นอกจากนั้นแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินได้ในเวลากลางคืน เรียกกันว่า นุเกะ-คุบิ (ญี่ปุ่น: ぬけ首) อาศัยอยู่แถบภูเขาบริเวณมณฑลไค จนซามูไรผู้กล้าผู้หนึ่งที่เลิกจากการเป็นซามูไรแล้ว ได้บวชเป็นพระธุดงค์ผ่านไป หัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ก็ได้นิมนต์ให้ไปพักที่บ้าน ในเวลากลางคืนพระก็ตื่นขึ้นมากลางดึก หวังจะดื่มน้ำโดยไม่รบกวนเจ้าบ้าน ขณะผ่านไปยังห้องที่เหล่าปีศาจนอนกันพบว่า ทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัวแล้ว พระตามไปดูนอกบ้าน พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา ใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้น และคุยกันว่าจะกินพระในเวลาก่อนรุ่ง พระเลยลากเอาร่างที่ไร้หัวเหล่านั้นไปซ่อนไว้ เมื่อปีศาจกลับไปดูที่บ้านไม่พบทั้งพระและร่างของตัวเองเลยตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้รุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจทำอะไรพระได้ เพราะพระเคยเป็นซามูไรมาก่อน ก็ตายลงเมื่อถึงเวลาเช้า แต่หัวของหัวหน้าปีศาจก็ได้กัดติดกับจีวรพระไม่สามารถถอดออกได้ ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อหัวปีศาจนี้จากพระ โจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้หลอกผู้คนเอาเงิน แต่ต่อมากลัวปีศาจจะมาเอาคืน เลยทำสุสานฝังให้ ว่ากันว่าสุสานแห่งนี้ยังมีปรากฏจนถึงทุกวันนี้[6]

อิทธิพลของความเชื่อเรื่องกระสือ

เห็ดกระสือ

ราชบัณฑิตยสถานว่า ความเชื่อเรื่องกระสือนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยโบราณหลายประการด้วยกัน เป็นต้นว่า

  1. ผลกล้วยที่แกร็นทั้งเครือ จะเรียกว่า "กล้วยกระสือดูด"
  2. คนตะกละกินหรือคนที่กินอย่างสวาปาม จะเรียกว่า "คนตะกละเหมือนผีกระสือ" หรือ "คนกินเหมือนผีกระสือ"
  3. โคมชนิดหนึ่งซึ่งมีที่เปิดปิดไฟได้และมีแว่นฉายแสงไปได้วาบ ๆ เรียกว่า "โคมตาวัว" หรือ "กระสือ"
  4. ไพลชนิดหนึ่งซึ่งเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า "ว่านกระสือ"
  5. เห็ดจำพวกหนึ่งสามารถเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า "เห็ดกระสือ"[7]
  6. ที่ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อ "หนองเกษม" เดิมมีชื่อว่า "หนองกระสือ" ทั้งนี้มีเสียงร่ำลือกันว่าเมื่อปี พ.ศ. 2530 มีชาวบ้านพบเห็นกระสือที่นี่ ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเพื่อลดความน่ากลัวลง[8]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 "บางอ้อ : ท้าพิสูจน์ตำนานกระสือ". บางอ้อ. June 17, 2009.
  2. 2.0 2.1 Alip, Eufronio Melo (1950). Political and Cultural History of the Philippines. Philippines.
  3. 3.0 3.1 Ramos, Maximo D. (1971). Creatures of Philippine Lower Mythology. Philippines: Phoenix Publishing. ISBN 971-06-0691-3.
  4. 4.0 4.1 Bane, Theresa (2010). Encyclopedia of Vampire Mythology. USA: McFarland & Company, Inc. ISBN 978-0-7864-4452-6.
  5. "ผีนานาชาติ, "แฟนพันธุ์แท้ 2013"". แฟนพันธุ์แท้ 2013. May 10, 2013.
  6. หนังสือเรื่องผีผี โดย แล็ฟคาดิโอ เฮิร์น แปลโดย ปาริฉัตร เสมอแข, ผุสดี นาวาวิจิต, สำนักพิมพ์ผีเสือ (กรุงเทพมหานคร, พ.ศ. 2543) ISBN 974-14-0143-4
  7. naimaew1 (May 5, 2010). "เห็ดกระสือ เรืองแสงได้อย่างไร มาดูกัน{แตกประเด็นจาก X9199871}". พันทิปดอตคอม.
  8. "ตายายพบแสงสีเขียวในบ้านล้างหนองกระสือ". มหาวิทยาลัยบูรพา.