ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อริยสัจ 4"
จตุพล เอมอุดม (คุย | ส่วนร่วม) เพิ่มหัวข้อความสำคัญของอริยสัจ 4 |
ปรับความหมายให้ชัดเจน |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
==== ความหมาย ==== |
==== ความหมาย ==== |
||
'''อริยสัจ 4''' '''หรือ''' '''จตุราริยสัจ''' '''คือ''' ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่พระ[[สัมมาสัมพุทธเจ้า]]ทุกพระองค์รวมถึง[[พระโคตมพุทธเจ้า]]ได้ตรัสรู้และประกาศสอน เป็นสัจจะความจริงที่ผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นแจ้งและแทงตลอดในสัจจะความจริงนี้แล้ว จะทำให้ผู้นั้นเป็นบุคคลผู้ประเสริฐหรือเป็น[[อริยบุคคล]]ได้ ซึ่งทางพระศาสดาได้ทรงตรัสไว้หลายนัยยะ ดังนี้ |
'''อริยสัจ 4''' '''หรือ''' '''จตุราริยสัจ''' '''คือ''' ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่พระ[[สัมมาสัมพุทธเจ้า]]ทุกพระองค์รวมถึง[[พระโคตมพุทธเจ้า]]ได้ตรัสรู้และประกาศสอน เป็นสัจจะความจริงที่ผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นแจ้งและแทงตลอดในสัจจะความจริงนี้แล้ว จะทำให้ผู้นั้นเป็นบุคคลผู้ประเสริฐหรือเป็น[[อริยบุคคล]]และ กระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ สิ้นชาติ ชรา และ มรณะ ได้ ซึ่งทางพระศาสดาได้ทรงตรัสอริยสัจ 4 ไว้หลายนัยยะ ดังนี้ |
||
==== '''นัยยะทั่วไป''' ==== |
==== '''นัยยะทั่วไป''' ==== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:43, 15 กุมภาพันธ์ 2562
ความหมาย
อริยสัจ 4 หรือ จตุราริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมถึงพระโคตมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และประกาศสอน เป็นสัจจะความจริงที่ผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นแจ้งและแทงตลอดในสัจจะความจริงนี้แล้ว จะทำให้ผู้นั้นเป็นบุคคลผู้ประเสริฐหรือเป็นอริยบุคคลและ กระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ สิ้นชาติ ชรา และ มรณะ ได้ ซึ่งทางพระศาสดาได้ทรงตรัสอริยสัจ 4 ไว้หลายนัยยะ ดังนี้
นัยยะทั่วไป
- ทุกข์ (Sanskrit: Duhkha) ภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือความจริงอันประเสริฐ เรื่องความทุกข์ คือ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ กล่าวโดยย่อ ขันธ์ 5 ที่ประกอบด้วยอุปาทานเป็นทุกข์
- สมุทัย (Sanskrit: Samudaya ) ภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือความจริงอันประเสริฐ เรื่องแดนเกิดของความทุกข์ คือ ตัณหา อันเป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีก อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจของความเพลิน อันเป็นเครื่องให้เพลิดเพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ ตัณหาในกาม ตัณหาในความมีความเป็น ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น
- นิโรธ (Sanskrit: Nirodha) ภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือความจริงอันประเสริฐ เรื่องความดับไม่เหลือของความทุกข์ คือ ความดับสนิทเพราะจางไปโดยไม่มีเหลือของตัณหานั้นนั่นเอง คือ ความสลัดทิ้ง ความสลัดคืน ความปล่อย ความทำไม่ให้มีที่อาศัย ซึ่งตัณหานั้น
- มรรค (Sanskrit: Marga) ภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือความจริงอันประเสริฐ เรื่องข้อปฏิบัติอันทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือของความทุกข์ คือ ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐอันประกอบด้วยองค์8 ประการนี้ ได้แก่ ความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ความดำริที่ถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ) การพูดจาที่ถูกต้อง (สัมมาวาจา) การทำงานที่ถูกต้อง (สัมมากัมมันตะ) การมีอาชีพที่ถูกต้อง (สัมมาอาชีวะ) ความพากเพียรที่ถูกต้อง (สัมมาวายามะ) ความระลึกที่ถูกต้อง (สัมมาสติ) ความตั้งใจมั่นคงที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ)
นัยยะของอายตนะ 6
- ทุกข์ (Sanskrit: Duhkha) ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ควรจะกล่าวว่าได้แก่อายตนะภายใน6 อายตนะภายใน6 เหล่าไหนเล่า คือ จักขุอายตนะ (ตา) โสตะอายตนะ (หู) ฆานะอายตนะ (จมูก) ชิวหาอายตนะ (ลิ้น) กายะอายตนะ (กาย) มนะอายตนะ (ใจ) ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าอริยสัจคือทุกข์
- สมุทัย (Sanskrit: Samudaya ) ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกขสมุทัย เป็นอย่างไรเล่า คือ ตัณหาอันใดนี้ ที่เป็นเครื่องนำให้มีการเกิดอีก อันประกอบด้วยความกำหนัดเพราะอำนาจความเพลิน มักทำให้เพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าอริยสัจคือทุกขสมุทัย
- นิโรธ (Sanskrit: Nirodha) ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกขนิโรธ เป็นอย่างไรเล่า คือ ความดับสนิทเพราะความจางคลายไปโดยไม่มีเหลือของตัณหานั้น ความสลัดทิ้ง ความสลัดคืน ความปล่อยวาง ความไม่อาลัยถึง ซึ่งตัณหานั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าอริยสัจคือทุกขนิโรธ
- มรรค (Sanskrit: Marga) ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า คือ หนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการนี้นั่นเอง ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ความดำริที่ถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ) การพูดจาที่ถูกต้อง (สัมมาวาจา) การทำงานที่ถูกต้อง (สัมมากัมมันตะ) การมีอาชีพที่ถูกต้อง (สัมมาอาชีวะ) ความพากเพียรที่ถูกต้อง (สัมมาวายามะ) ความระลึกที่ถูกต้อง (สัมมาสติ) ความตั้งใจมั่นคงที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ)
นัยยะของขันธ์ 5
- ทุกข์ (Sanskrit: Duhkha) ภิกษุทั้งหลาย ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า คำตอบคือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น 5 อย่าง (อุปาทานขันธ์ 5) ห้าอย่างนั้นอะไรเล่า ห้าอย่างคือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์
- สมุทัย (Sanskrit: Samudaya ) ภิกษุทั้งหลาย ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า คือ ตัณหาอันใดนี้ ที่เป็นเครื่องนำให้มีการเกิดอีก อันประกอบด้วยความกำหนัดเพราะอำนาจความเพลิน มักทำให้เพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ ตัณหาในกาม ตัณหาในความมีความเป็น ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น ภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์
- นิโรธ (Sanskrit: Nirodha) ภิกษุทั้งหลาย ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า คือ ความดับสนิทเพราะความจางคลายไปโดยไม่มีเหลือของตัณหานั้น ความสละลงเสีย ความสลัดทิ้งไป ความปล่อยวาง ความไม่อาลัยถึง ซึ่งตัณหานั้นเอง อันใด ภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า ความจริงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือของทุกข์
- มรรค (Sanskrit: Marga) ภิกษุทั้งหลาย ความจริงอันประเสริฐ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า คือ หนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดนี้นั่นเอง ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) การพูดจาชอบ (สัมมาวาจา) การทำงานชอบ (สัมมากัมมันตะ) การเลี้ยงชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) ความพากเพียรชอบ (สัมมาวายามะ) ความระลึกชอบ (สัมมาสติ) ความตั้งใจมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) ภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า ความจริงอันประเสริฐ คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์
ขยายความอริยมรรคมีองค์ 8
มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
ความสำคัญของอริยสัจ 4
รอการเพิ่มเนื้อหา
กิจในอริยสัจ 4
กิจในอริยสัจ คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่
- ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
- ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
- สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
ภาวนา - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา
กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ
กิจญาณเป็นส่วนหนึ่งของญาณ 3 หรือญาณทัสสนะ (สัจญาณ, กิจญาณ, กตญาณ) ซึ่งหมายถึงการหยั่งรู้ครบสามรอบ ญาณทั้งสามเมื่อเข้าคู่กับกิจในอริยสัจทั้งสี่จึงได้เป็นญาณทัสนะมีอาการ 12 ดังนี้
- สัจญาณ หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
- นี่คือทุกข์
- นี่คือเหตุแห่งทุกข์
- นี่คือความดับทุกข์
- นี่คือทางแห่งความดับทุกข์
- กิจญาณ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
- ทุกข์ควรรู้
- เหตุแห่งทุกข์ควรละ
- ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง
- ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น
- กตญาณ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
- ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
- เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
- ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
- ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว
อ้างอิง
- ราชบัณฑิตยสถาน. (2548). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. หน้า 65-66.
- พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พุทธธรรม" มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546
- พุทธทาสอินทปัญโญ. อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคต้น, 2546