ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เอเลนอร์แห่งอังกฤษ พระราชินีแห่งกัสติยา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Darkydury (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{ต้องการอ้างอิง}}
{{ต้องการอ้างอิง}}
{{เก็บกวาด}}
{{เก็บกวาด}}
'''เอเลนอร์แห่งอังกฤษ''' ({{Lang-en|Eleanor of England}}, {{Lang-es|Leonor}}) หรือ '''เอเลนอร์ แพลนทาเจเนต''' เป็นพระราชินีแห่งคาสตีลและโตเลโดในฐานะพระมเหสีของ[[พระเจ้าอัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีล|อัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีล]] พระองค์เป็นลูกคนที่หกและพระธิดาคนที่สองของ[[พระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ]]กับ[[เอลิเนอร์แห่งอากีแตน|เอเลนอร์แห่งอากีแตน]]
'''เอเลนอร์แห่งอังกฤษ''' ({{Lang-en|Eleanor of England}}, {{Lang-es|Leonor}}) หรือ '''เอเลนอร์ แพลนทาเจเนต''' เป็นพระราชินีแห่งคาสตีลและโตเลโด<ref>Fraser 2000.</ref> ในฐานะพระมเหสีของ[[พระเจ้าอัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีล|อัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีล]]<ref>''Crónica Latina'', ''Anales Toledanos''</ref><ref>Cerda 2012.</ref> พระองค์เป็นลูกคนที่หกและพระธิดาคนที่สองของ[[พระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ]]กับ[[เอลิเนอร์แห่งอากีแตน|เอเลนอร์แห่งอากีแตน]]<ref name=":0">José Manuel Cerda, ''The marriage of Alfonso VIII of Castile and Leonor Plantagenet: the first bond between Spain and England in the Middle Ages''</ref><ref>Gillingham 2005.</ref>


== ชีวิตช่วงแรก ==
== ชีวิตช่วงแรกและครอบครัว ==



เอเลนอร์เสด็จพระราชสมภพในปราสาทที่ดมฟรงต์ [[แคว้นนอร์ม็องดี|นอร์มองดี]] ในปี ค.ศ. 1161 ทรงเป็นพระธิดาคนที่สองของ[[พระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ]]กับพระมเหสี [[เอลิเนอร์แห่งอากีแตน|เอเลนอร์แห่งอากีแตน]] และได้รับการทำพิธีศีลล้างบาปโดยอองรีแห่งมาร์ซี มีพี่น้องร่วมแม่ คือ [[มารีแห่งฝรั่งเศส เคานท์เทสแห่งชองปาญ|เคานเตสมารี]]และ[[อลิกซ์แห่งฝรั่งเศส เคานเทสแห่งบลัวส์|เคานเตสอลิกซ์]] และพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน คือ [[เฮนรียุวกษัตริย์]], [[มาทิลดาแห่งอังกฤษ ดัชเชสแห่งซัคเซิน|ดัชเชสมาทิลดา]], [[พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าริชาร์ด]], [[เจฟฟรีที่ 2 ดยุกแห่งบริตานี|ดยุคเจฟฟรีย์]], [[โจนแห่งอังกฤษ พระราชินีแห่งซิซิลี|พระราชินีโจน]] และ[[พระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษ|พระเจ้าจอห์น]] เอเลนอร์มีพระเชษฐาอีกคน คือ [[วิลเลียม เคานท์แห่งปัวตีเยร์|วิลเลียม]] พระโอรสคนแรกของเฮนรีที่ 2 กับเอเลนอร์แห่งอากีแตน ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคลมชักที่ปราสาทวอลลิงฟอร์ดและถูกฝังในเรดิงแอบบีย์ที่ปลายเท้าของพระปัยกา [[พระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าเฮนรีที่ 1]]
เอเลนอร์เสด็จพระราชสมภพในปราสาทที่ดมฟรงต์ ดัชชีนอร์ม็องดี ในปี ค.ศ. 1161<ref>Vann 1993, p. 128.</ref> เป็นพระธิดาคนที่สองของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษกับพระมเหสี เอเลนอร์ ดัชเชสแห่งอากีแตน และมีอองรีแห่งมัร์กซีเป็นผู้ทำพิธีศีลล้างบาป พระเชษฐภคินีต่างบิดาของพระองค์คือเคานเตสมารีกับเคานเตสอลิกซ์ ส่วนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับพระองค์คือเฮนรียุวกษัตริย์, ดัชเชสมาทิลดา, พระเจ้าริชาร์ด, ดยุคเจฟฟรีย์, พระราชินีโจน และพระเจ้าจอห์น เอเลนอร์มีพระเชษฐาอีกหนึ่งคน คือ วิลเลียม พระโอรสคนโตของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 กับเอเลนอร์แห่งอากีแตนที่สิ้นพระชนม์ในการยึดปราสาทวอลลองฟอร์ด และถูกฝังในอาสนวิหารเรดิงที่ปลายเท้าของพระปัยกา พระเจ้าเฮนรีที่ 1
<br />


== การเป็นพระราชินี ==
== การเป็นพระราชินี ==
[[File:The_betrothal_of_Alphonso_of_Castile_and_Eleanor_Plantagenet.jpg|link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:The_betrothal_of_Alphonso_of_Castile_and_Eleanor_Plantagenet.jpg|left|thumb|การหมั้นหมายของอัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีลกับเอเลนอร์แห่งอังกฤษ]]
เฮนรีตัดสินใจใช้การแต่งงานของเอเลนอร์กระชับความสัมพันธ์กับ[[ราชอาณาจักรกัสติยา|ราชอาณาจักรคาสตีล]]และยับยั้งไม่ให้คาสตีลเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1170 ราอูล เดอ เฟย์ เซเนชัลแห่งปัวตูและที่ปรึกษาผู้เป็นที่ไว้ใจของเอเลนอร์เจรจาเรื่องการแต่งงานของเอเลนอร์วัย 9 พรรษากับ[[พระเจ้าอัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีล]]วัย 15 พรรษาที่สืบทอดต่อบัลลังก์ตอนพระชนมายุ 3 พรรษา สนธิสัญญาแต่งงานทำให้อัลฟองโซได้พันธมิตรที่ทรงอำนาจมาต่อกรกับพระปิตุลา [[พระเจ้าซานโจที่ 6 แห่งนาวาร์]] ที่ยึดเอาดินแดนของอัลฟองโซตามแนวชายแดนคาสตีล-นาวาร์ไป สนธิสัญญายังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับชายแดนตามแนว[[เทือกเขาพิรินี|เทือกเขาพีรีนีส์]]ระหว่างอาณาเขตฝรั่งเศสของเฮนรีกับราชอาณาจักรสเปน เอเลนอร์ได้รับ[[กัสกอญ|เคานตี้แกสโคนี]] ตรงไปทางเหนือของเทือกเขาพีรีนีส์ เป็นสินสอดแต่ต้องหลังพระมารดาสิ้นพระชนม์เท่านั้น เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในอาณาเขตของพระมารดา ด้วยอายุของเจ้าสาวที่ยังน้อย การแต่งงานจึงยังไม่สมบูรณ์ ในเดือนกันยายนของปี ค.ศ. 1177 เอเลนอร์ถูกส่งตัวไปคาสตีลที่พระองค์แต่งงานกับอัลฟองโซที่ 8 ที่[[อาสนวิหารบูร์โกส|มหาวิหารบูร์โกส]] หลังจากนั้นพระองค์เป็นที่รู้จักในชื่อเลโอนอร์ เอเลนอร์ในภาษาสเปน การแต่งงานเป็นการแต่งงานที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ


เอเลนอร์สนใจสนับสนุนสถาบันศาสนาเป็นพิเศษ ในปี ค.ศ. 1179 พระองค์ได้สร้างแท่นบูชาในมหาวิหารโตเลโดเพื่อเป็นเกียรติแก่[[ทอมัส แบ็กกิต|นักบุญโธมัส เบคเกต]] อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์บรี ที่ถูกฆาตกรรมที่[[อาสนวิหารแคนเทอร์เบอรี|มหาวิหารแคนเทอร์บรี]]โดยอัศวินสี่คนของพระบิดาของพระองค์ ในปี ค.ศ. 1187 เอเลนอร์กับอัลฟองโซก่อตั้งแอบบีย์ซานตา มาเรีย ลา เรอัล เดอ ลาส ฮูเอลกาส อารามของแม่ชี[[คณะซิสเตอร์เชียน|ซิสเตอร์เชียน]]ที่ตั้งอยู่ใกล้กับ[[บูร์โกส|นครบูร์โกส]]ที่ตอนนี้อยู๋ในสเปน อารามกลายเป็นที่ฝังศพของราชตระกูลของคาสตีล ยังมีการสร้างโรงพยาบาลที่แอบบีย์เพื่อให้อาหารและดูแลผู้แสวงบุญที่เดินทางมาตามคามิโน เดอ ซานติอาโก ถนนสู่แท่นบูชาของ[[อัครทูต]] [[ยากอบ บุตรเศเบดี|นักบุญยากอบองค์ใหญ่]] ในมหาวิหารซานติอาโก เดอ กอมโปสเตลา ในสเปนตะวันตกเฉียงเหนือ พระธิดาคนสุดท้องของอัลฟองโซกับเอเลนอร์ กอนสตันซา กลายเป็นแม่ชีที่แอบบีย์ซานตา มาเรีย ลา เรอัล เดอ ลาส ฮูเอลกาส


ในปี ค.ศ. 1170 เอเลนอร์อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีลในบูร์กอส<ref name=":0" /> บิดามารดาของพระองค์จัดแจงการแต่งงานครั้งนี้ขึ้นมาเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับพรมแดนพีรีนีส์ของอากีแตน ขณะที่พระเจ้าอัลฟองโซกำลังมองหาพันธมิตรมาช่วยต่อสู้กับพระเจ้าซานโชที่ 6 แห่งนาวาร์ ในปี ค.ศ. 1177 ทำให้พระเจ้าเฮนรีได้เข้ามากำกับดูแลการชี้ขาดเรื่องความขัดแย้งด้านพรมแดน<ref>Shadis 2010, p. 25-31.</ref>
พระเจ้าอัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีลสิ้นพระชนม์จากอาการไข้ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1214 ด้วยพระชนมายุ 58 พรรษา เอเลนอร์เสียใจกับการสิ้นพระชนม์จนไม่สามารถเข้าร่วมพิธีศพได้ พระธิดาคนโต เบเรนกาเรีย ไปร่วมพิธีศพแทนพระองค์ ต่อมาเอเลนอร์ล้มป่วยและสิ้นพระชนม์ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1214 ด้วยพระชนมายุ 53 พรรษา ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังการสิ้นพระชนม์ของพระสวามี เอเลนอร์กับอัลฟองโซถูกฝังที่แอบบีย์ที่ทั้งคู่ก่อตั้ง แอบบีย์ซานตา มาเรีย ลา เรอัล เดอ ลาส ฮูเอลกาส หลุมฝังศพที่มีซากอัฐิของอัลฟองโซที่ 8 กษัตริย์แห่งคาสตีลกับเอเลนอร์ พระราชินีแห่งคาสตีลถูกตั้งอยู่เคียงคู่กัน


การแต่งงานของเอเลนอร์กับอัลฟองโซให้กำเนิดพระโอรสธิดามากมาย พระโอรสหลายพระองค์ที่ถูกคาดหวังให้เป็นรัชทายาทของพระบิดาสิ้นพระชนม์ในวัยเด็ก พระโอรสคนสุดท้อง เฮนรีหรือเอนริเก มีชีวิตอยู่จนได้สืบทอดตำแหน่งของพระบิดา


อัลฟองโซอ้างสิทธิ์ในแกสโคนีที่เป็นส่วนหนึ่งในสินสอดของเอเลอนร์ ทรงรุกรานดัชชีในนามของพระมเหสีในปี ค.ศ. 1205 และล้มเลิกการอ้างสิทธิ์ไปในปี ค.ศ. 1208


เอเลนอร์ใช้อำนาจที่พระองค์มี และยังเป็นผู้อุปถัมภ์สถานที่และสถาบันทางศาสนาหลายแห่ง รวมถึงซานตา มาเรีย ลา รีอัลที่ลาส ฮูเอลกาสที่ครอบครัวของพระองค์หลายคนเป็นแม่ชีที่นี่


พระองค์สนับสนุนนักขับลำนำทรูบาดูร์ให้เข้ามาในราชสำนัก ทรงช่วยจัดแจงให้พระธิดา เบเรนกาเรีย อภิเษกสมรสกับกษัตริย์แห่งลีออน


พระธิดาอีกคน อูร์ราคา ถูกจับแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์แห่งโปรตุเกส พระเจ้าอัลฟองโซที่ 2 พระธิดาคนที่สาม บลังกา ถูกจับแต่งงานกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศส พระธิดาคนที่สี่ เลโอนอร์ แต่งงานกับกษัตริย์แห่งอารากอน (แม้ต่อมาศาสนจักรจะล้มเลิกการแต่งงาน) พระธิดาคนอื่นๆ อย่างมาฟัลดาแต่งงานกับพระโอรสเลี้ยงของพระเชษฐภคินี เบเรนกาเรีย ส่วนคอนสตานซากลายเป็นพระอธิการิณี


พระสวามีของพระองค์แต่งตั้งให้พระองค์เป็นผู้ปกครองคู่กับพระโอรสหลังพระองค์สิ้นพระชนม์ ทั้งยังแต่งตั้งให้พระองค์เป็นผู้จัการมรดก
<br />

== การสิ้นพระชนม์ ==


แม้เอเลนอร์จะกลายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้พระโอรส เอนริเก เมื่อพระสวามีสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1214 ตอนเอนริเกพระชนมายุเพียง 10 พรรษา ทรงโทมนัสจนพระธิดา เบเรนกาเรีย ต้องเป็นคนจัดการเรื่องพิธีฝังศพของพระเจ้าอัลฟองโซ เอเลนอร์สิ้นพระชนม์ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1214 หลังพระเจ้าอัลฟองโซสิ้นพระชนม์ไม่ถึงเดือน ทิ้งให้เบเรนกาเรียเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้พระอนุชา เอนริเกสิ้นพระชนม์ตอนพระชนมายุ 13 พรรษาจากกระเบื้องหลังคาที่ตกลงมา
<br />


== ทายาท ==
== ทายาท ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:42, 4 ธันวาคม 2561

เอเลนอร์แห่งอังกฤษ (อังกฤษ: Eleanor of England, สเปน: Leonor) หรือ เอเลนอร์ แพลนทาเจเนต เป็นพระราชินีแห่งคาสตีลและโตเลโด[1] ในฐานะพระมเหสีของอัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีล[2][3] พระองค์เป็นลูกคนที่หกและพระธิดาคนที่สองของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษกับเอเลนอร์แห่งอากีแตน[4][5]

ชีวิตช่วงแรกและครอบครัว

เอเลนอร์เสด็จพระราชสมภพในปราสาทที่ดมฟรงต์ ดัชชีนอร์ม็องดี ในปี ค.ศ. 1161[6] เป็นพระธิดาคนที่สองของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษกับพระมเหสี เอเลนอร์ ดัชเชสแห่งอากีแตน และมีอองรีแห่งมัร์กซีเป็นผู้ทำพิธีศีลล้างบาป พระเชษฐภคินีต่างบิดาของพระองค์คือเคานเตสมารีกับเคานเตสอลิกซ์ ส่วนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับพระองค์คือเฮนรียุวกษัตริย์, ดัชเชสมาทิลดา, พระเจ้าริชาร์ด, ดยุคเจฟฟรีย์, พระราชินีโจน และพระเจ้าจอห์น เอเลนอร์มีพระเชษฐาอีกหนึ่งคน คือ วิลเลียม พระโอรสคนโตของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 กับเอเลนอร์แห่งอากีแตนที่สิ้นพระชนม์ในการยึดปราสาทวอลลองฟอร์ด และถูกฝังในอาสนวิหารเรดิงที่ปลายเท้าของพระปัยกา พระเจ้าเฮนรีที่ 1

การเป็นพระราชินี

ในปี ค.ศ. 1170 เอเลนอร์อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอัลฟองโซที่ 8 แห่งคาสตีลในบูร์กอส[4] บิดามารดาของพระองค์จัดแจงการแต่งงานครั้งนี้ขึ้นมาเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับพรมแดนพีรีนีส์ของอากีแตน ขณะที่พระเจ้าอัลฟองโซกำลังมองหาพันธมิตรมาช่วยต่อสู้กับพระเจ้าซานโชที่ 6 แห่งนาวาร์ ในปี ค.ศ. 1177 ทำให้พระเจ้าเฮนรีได้เข้ามากำกับดูแลการชี้ขาดเรื่องความขัดแย้งด้านพรมแดน[7]


การแต่งงานของเอเลนอร์กับอัลฟองโซให้กำเนิดพระโอรสธิดามากมาย พระโอรสหลายพระองค์ที่ถูกคาดหวังให้เป็นรัชทายาทของพระบิดาสิ้นพระชนม์ในวัยเด็ก พระโอรสคนสุดท้อง เฮนรีหรือเอนริเก มีชีวิตอยู่จนได้สืบทอดตำแหน่งของพระบิดา


อัลฟองโซอ้างสิทธิ์ในแกสโคนีที่เป็นส่วนหนึ่งในสินสอดของเอเลอนร์ ทรงรุกรานดัชชีในนามของพระมเหสีในปี ค.ศ. 1205 และล้มเลิกการอ้างสิทธิ์ไปในปี ค.ศ. 1208


เอเลนอร์ใช้อำนาจที่พระองค์มี และยังเป็นผู้อุปถัมภ์สถานที่และสถาบันทางศาสนาหลายแห่ง รวมถึงซานตา มาเรีย ลา รีอัลที่ลาส ฮูเอลกาสที่ครอบครัวของพระองค์หลายคนเป็นแม่ชีที่นี่


พระองค์สนับสนุนนักขับลำนำทรูบาดูร์ให้เข้ามาในราชสำนัก ทรงช่วยจัดแจงให้พระธิดา เบเรนกาเรีย อภิเษกสมรสกับกษัตริย์แห่งลีออน


พระธิดาอีกคน อูร์ราคา ถูกจับแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์แห่งโปรตุเกส พระเจ้าอัลฟองโซที่ 2 พระธิดาคนที่สาม บลังกา ถูกจับแต่งงานกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศส พระธิดาคนที่สี่ เลโอนอร์ แต่งงานกับกษัตริย์แห่งอารากอน (แม้ต่อมาศาสนจักรจะล้มเลิกการแต่งงาน) พระธิดาคนอื่นๆ อย่างมาฟัลดาแต่งงานกับพระโอรสเลี้ยงของพระเชษฐภคินี เบเรนกาเรีย ส่วนคอนสตานซากลายเป็นพระอธิการิณี


พระสวามีของพระองค์แต่งตั้งให้พระองค์เป็นผู้ปกครองคู่กับพระโอรสหลังพระองค์สิ้นพระชนม์ ทั้งยังแต่งตั้งให้พระองค์เป็นผู้จัการมรดก

การสิ้นพระชนม์

แม้เอเลนอร์จะกลายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้พระโอรส เอนริเก เมื่อพระสวามีสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1214 ตอนเอนริเกพระชนมายุเพียง 10 พรรษา ทรงโทมนัสจนพระธิดา เบเรนกาเรีย ต้องเป็นคนจัดการเรื่องพิธีฝังศพของพระเจ้าอัลฟองโซ เอเลนอร์สิ้นพระชนม์ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1214 หลังพระเจ้าอัลฟองโซสิ้นพระชนม์ไม่ถึงเดือน ทิ้งให้เบเรนกาเรียเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้พระอนุชา เอนริเกสิ้นพระชนม์ตอนพระชนมายุ 13 พรรษาจากกระเบื้องหลังคาที่ตกลงมา

ทายาท

เอเลนอร์กับอัลฟองโซมีพระโอรสธิดาสิบสองคน คือ

  • เบเรนกาเรีย พระราชินีแห่งคาสตีล (ค.ศ. 1180 – 1246) แต่งงานกับ (1) คอนรัดที่ 2 ดยุคแห่งสวาเบีย ไม่มีทายาท การแต่งงานถูกประกาศเป็นโมฆะ (2) พระเจ้าอัลฟองโซที่ 10 แห่งเลออน มีทายาท ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้พระอนุชาผู้เยาว์วัย พระเจ้าเอนริเกที่ 1 จากนั้นเป็นพระราชินีแห่งคาสตีลด้วยสิทธิ์ของพระองค์เองหลังการสิ้นพระชนม์ของเอนริเก ทรงสละราชสมบัติเพื่อหลีกทางให้พระโอรส แฟร์นันโดที่ 3 แห่งคาสตีล ผู้ที่จะรวมราชอาณาจักรคาสตีลและเลออนเข้าด้วยกันอีกครั้ง
  • ซานโจ (ประสูติและสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1181)
  • ซานจา (ค.ศ. 1182 – 1184)
  • เอนริเก (ประสูติและสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1184)
  • อูร์ราคา (ค.ศ. 1186 – 1220) อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอัลฟองโซที่ 2 แห่งโปรตุเกส มีทายาท
  • บลังกา (ค.ศ. 1188 – 1252) อภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศส มีทายาท
  • แฟร์นันโด (ค.ศ. 1189 – 1211) ไม่แต่งงาน
  • มาฟาลดา (ค.ศ. 1191 – 1204) ไม่แต่งงาน
  • เลโอนอร์ (ค.ศ. 1200 – 1244) แต่งงนกับพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอารากอน มีทายาท การแต่งงานถูกประกาศเป็นโมฆะ
  • กอนสตันซา (ค.ศ. 1202 – 1243) แม่ชีที่อารามนิกายซิสเตอร์เชียน ซานตา มาเรีย ลา เรอัล ที่ลาส ฮูเอลกาส
  • เอนริกาที่ 1 กษัตริย์แห่งคาสตีล (ค.ศ. 1204 – 1217) ไม่แต่งงาน พระโอรสคนเดียวที่รอดชีวิต สืบทอดต่อจากพระบิดาภายใต้การสำเร็จราชการแผ่นดินของพระมารดาตามด้วยพระเชษฐภคินี สิ้นพระชนม์ในตอนที่กระเบื้องจากหลังคาตกใส่

แหล่งข้อมูล

http://www.unofficialroyalty.com/eleanor-of-england-queen-of-castile/

  1. Fraser 2000.
  2. Crónica Latina, Anales Toledanos
  3. Cerda 2012.
  4. 4.0 4.1 José Manuel Cerda, The marriage of Alfonso VIII of Castile and Leonor Plantagenet: the first bond between Spain and England in the Middle Ages
  5. Gillingham 2005.
  6. Vann 1993, p. 128.
  7. Shadis 2010, p. 25-31.