ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{กล่องข้อมูล ตำแหน่งทางการเมือง |
{{กล่องข้อมูล ตำแหน่งทางการเมือง |
||
| post =สมเด็จพระสังฆราช<br>สกลมหาสังฆปริณายก |
|||
| post =สกลมหาสังฆปริณายก<br>แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ |
|||
| insignia = Umbrella of the Supreme Patriarch of Thailand.svg |
| insignia = Umbrella of the Supreme Patriarch of Thailand.svg |
||
| insigniasize = 80px |
| insigniasize = 80px |
||
บรรทัด 7: | บรรทัด 7: | ||
| image = ไฟล์:อัมพร อัมพโร.jpg |
| image = ไฟล์:อัมพร อัมพโร.jpg |
||
| imagesize = 150px |
| imagesize = 150px |
||
| incumbent = [[ |
| incumbent = [[สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร)]] |
||
| incumbentsince = 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 |
| incumbentsince = 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 |
||
| style = ฝ่าพระบาท |
| style = ฝ่าพระบาท |
||
บรรทัด 16: | บรรทัด 16: | ||
| succession = |
| succession = |
||
| salary =34,200 บาท<ref>{{cite web|title=บัญชีนิตยภัต ฉบับปรับปรุงใหม่ เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป|url=http://pkt.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=148&Itemid=132|publisher=สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดภูเก็ต|date=27 เมษายน 2555|accessdate=15 กุมภาพันธ์ 2559}}</ref> |
| salary =34,200 บาท<ref>{{cite web|title=บัญชีนิตยภัต ฉบับปรับปรุงใหม่ เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป|url=http://pkt.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=148&Itemid=132|publisher=สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดภูเก็ต|date=27 เมษายน 2555|accessdate=15 กุมภาพันธ์ 2559}}</ref> |
||
| inaugural = [[ |
| inaugural = [[สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)]] |
||
| website = |
| website = |
||
}} |
}} |
||
บรรทัด 26: | บรรทัด 26: | ||
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นตำแหน่งสมณะศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ราชอาณาไทย ทรงเป็นองค์ประธานการปกครองคณะสงฆ์ ตำแหน่งนี้น่าจะมีที่มาจากคณะสงฆ์ไทย นำแบบอย่างมาจาก ลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่ของลังกา ที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย |
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นตำแหน่งสมณะศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ราชอาณาไทย ทรงเป็นองค์ประธานการปกครองคณะสงฆ์ ตำแหน่งนี้น่าจะมีที่มาจากคณะสงฆ์ไทย นำแบบอย่างมาจาก ลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่ของลังกา ที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย |
||
ในสมัย[[กรุงศรีอยุธยา]] ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็น'''สกลมหาสังฆปริณายก''' มีอำนาจว่ากล่าวออกไปถึงหัวเมือง โดยมี[[สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์]] เจ้าคณะใหญ่ฝ่าย[[คามวาสี]] เป็นพระสังฆราชขวา [[สมเด็จพระวันรัต]]เจ้าคณะใหญ่ฝ่าย[[อรัญวาสี]] เป็นสังฆราชซ้าย องค์ใดมีพรรษายุกาลมากกว่า ก็ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในปลาย[[สมัยกรุงศรีอยุธยา]] พระอริยมุนี ได้ไปสืบอายุพระพุทธศาสนาที่[[ประเทศศรีลังกา|ลังกาทวีป]] มีความชอบมาก เมื่อกลับมาได้รับ[[สมณศักดิ์]]สูงขึ้นตามลำดับจนเป็นสมเด็จพระสังฆราช [[ |
ในสมัย[[กรุงศรีอยุธยา]] ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็น'''สกลมหาสังฆปริณายก''' มีอำนาจว่ากล่าวออกไปถึงหัวเมือง โดยมี[[สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์]] เจ้าคณะใหญ่ฝ่าย[[คามวาสี]] เป็นพระสังฆราชขวา [[สมเด็จพระวันรัต]]เจ้าคณะใหญ่ฝ่าย[[อรัญวาสี]] เป็นสังฆราชซ้าย องค์ใดมีพรรษายุกาลมากกว่า ก็ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในปลาย[[สมัยกรุงศรีอยุธยา]] พระอริยมุนี ได้ไปสืบอายุพระพุทธศาสนาที่[[ประเทศศรีลังกา|ลังกาทวีป]] มีความชอบมาก เมื่อกลับมาได้รับ[[สมณศักดิ์]]สูงขึ้นตามลำดับจนเป็นสมเด็จพระสังฆราช [[สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์]]มีพระราชดำริให้คง[[ราชทินนาม]]นี้ไว้ จึงทรงตั้งราชทินนามสมเด็จพระสังฆราชเป็น สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี และมาเป็น '''สมเด็จพระอริยวงษญาณ''' ใน[[สมัยกรุงธนบุรี]] และได้ใช้ต่อมาจนถึง รัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] จึงได้ทรงปรับปรุงเพิ่มเติมเป็น "[[สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ]]" ซึ่งได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน |
||
ตามทำเนียบสมณศักดิ์ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่มีตำแหน่งสังฆปริณายก 2 องค์ ที่เรียกว่า พระสังฆราชซ้าย/ขวา ดังกล่าวแล้ว ยังมีคำอธิบายอีกประการหนึ่งว่า '''สมเด็จพระอริยวงศ์''' เป็นพระสังฆราชฝ่ายขวาว่า คณะเหนือ '''พระพนรัตน์'''เป็นพระสังฆราชฝ่ายซ้ายว่า คณะใต้ มี'''พระสุพรรณบัฏ'''จารึกพระนามเมื่อทรงตั้งทั้ง 2 พระองค์ แต่ที่สมเด็จพระพนรัตน์ โดยปกติไม่ได้เป็นสมเด็จ ส่วนพระสังฆราชฝ่ายขวานั้นเป็นสมเด็จทุกพระองค์ จึงเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นมหาสังฆปริณายก มีศักดิ์สูงกว่าพระสังฆราชฝ่ายซ้าย ที่พระพนรัตน์แต่เดิม ทรงยกพระเกียรติยศเป็นสมเด็จแต่บางองค์ มาในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]] จึงเป็นสมเด็จทุกพระองค์ |
ตามทำเนียบสมณศักดิ์ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่มีตำแหน่งสังฆปริณายก 2 องค์ ที่เรียกว่า พระสังฆราชซ้าย/ขวา ดังกล่าวแล้ว ยังมีคำอธิบายอีกประการหนึ่งว่า '''สมเด็จพระอริยวงศ์''' เป็นพระสังฆราชฝ่ายขวาว่า คณะเหนือ '''พระพนรัตน์'''เป็นพระสังฆราชฝ่ายซ้ายว่า คณะใต้ มี'''พระสุพรรณบัฏ'''จารึกพระนามเมื่อทรงตั้งทั้ง 2 พระองค์ แต่ที่สมเด็จพระพนรัตน์ โดยปกติไม่ได้เป็นสมเด็จ ส่วนพระสังฆราชฝ่ายขวานั้นเป็นสมเด็จทุกพระองค์ จึงเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นมหาสังฆปริณายก มีศักดิ์สูงกว่าพระสังฆราชฝ่ายซ้าย ที่พระพนรัตน์แต่เดิม ทรงยกพระเกียรติยศเป็นสมเด็จแต่บางองค์ มาในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]] จึงเป็นสมเด็จทุกพระองค์ |
||
บรรทัด 32: | บรรทัด 32: | ||
เมื่อครั้ง[[กรุงสุโขทัย]]เป็นราชธานี วิธีการปกครองพระราชอาณาจักรในครั้งนั้น หัวเมืองใหญ่ที่ห่างไกลจากราชธานี เป็นเมืองประเทศราชโดยมาก แม้เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ราชธานี ก็ตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์เสด็จออกไปครองเมือง ทำนองเจ้าประเทศราช เมืองใหญ่แต่ละเมือง จึงน่าจะมีพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง เป็นสังฆปรินายกของสังฆบริษัทในเมืองนั้น ดังปรากฏเค้าเงื่อนในทำเนียบชั้นหลัง ยังเรียกเจ้าคณะเมืองว่าพระสังฆราชอยู่หลายเมือง จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงเปลี่ยนมาเป็น[[สังฆปาโมกข์]] |
เมื่อครั้ง[[กรุงสุโขทัย]]เป็นราชธานี วิธีการปกครองพระราชอาณาจักรในครั้งนั้น หัวเมืองใหญ่ที่ห่างไกลจากราชธานี เป็นเมืองประเทศราชโดยมาก แม้เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ราชธานี ก็ตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์เสด็จออกไปครองเมือง ทำนองเจ้าประเทศราช เมืองใหญ่แต่ละเมือง จึงน่าจะมีพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง เป็นสังฆปรินายกของสังฆบริษัทในเมืองนั้น ดังปรากฏเค้าเงื่อนในทำเนียบชั้นหลัง ยังเรียกเจ้าคณะเมืองว่าพระสังฆราชอยู่หลายเมือง จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงเปลี่ยนมาเป็น[[สังฆปาโมกข์]] |
||
พระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีนี้มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คือฝ่ายที่พำนักอยู่ใกล้เมืองเพื่อศึกษา[[พระธรรมวินัย]] เรียกว่าคามวาสี อีกฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญสมณธรรมในที่สงบเงียบตามป่าเขา ห่างไกลจากบ้านเมืองเรียกว่าอรัญวาสี [[ภิกษุ]] |
พระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีนี้มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คือฝ่ายที่พำนักอยู่ใกล้เมืองเพื่อศึกษา[[พระธรรมวินัย]] เรียกว่าคามวาสี อีกฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญสมณธรรมในที่สงบเงียบตามป่าเขา ห่างไกลจากบ้านเมืองเรียกว่าอรัญวาสี [[ภิกษุ]]แต่ละฝ่ายยังแบ่งออกเป็นคณะ แต่ละคณะจะมี[[พระราชาคณะ]]ปกครอง หัวหน้าพระราชาคณะเรียกว่า[[สมเด็จพระราชาคณะ]] |
||
[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เป็น '''[[สมเด็จพระมหาสมณเจ้า]]'''<ref>ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2464/A/10.PDF พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า], เล่ม ๓๘, ตอน ๐ ก ,๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔, หน้า ๑๐ </ref> ทรงเศวตฉัตร 5 ชั้น พระราชวงศ์ชั้นรองลงมา เท่าที่ปรากฏ มีชั้นหม่อมเจ้าผู้ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีคำนำหน้า พระนามว่า '''สมเด็จพระสังฆราชเจ้า''' ทรงฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น |
[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เป็น '''[[สมเด็จพระมหาสมณเจ้า]]'''<ref>ราชกิจจานุเบกษา, [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2464/A/10.PDF พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า], เล่ม ๓๘, ตอน ๐ ก ,๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔, หน้า ๑๐ </ref> ทรงเศวตฉัตร 5 ชั้น พระราชวงศ์ชั้นรองลงมา เท่าที่ปรากฏ มีชั้นหม่อมเจ้าผู้ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีคำนำหน้า พระนามว่า '''สมเด็จพระสังฆราชเจ้า''' ทรงฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น |
||
บรรทัด 83: | บรรทัด 83: | ||
* เครื่องประโคมสังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง กลองชนะ จ่าปี่ จ่ากลอง |
* เครื่องประโคมสังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง กลองชนะ จ่าปี่ จ่ากลอง |
||
[[ไฟล์:Phra Kot Kudan Yai for Somdej Phra Yannasangwon (3).jpg|500px|center|thumb|พระโกศกุดั่นใหญ่ประกอบพระอิสริยยศพระศพ[[สมเด็จพระญาณสังวร |
[[ไฟล์:Phra Kot Kudan Yai for Somdej Phra Yannasangwon (3).jpg|500px|center|thumb|พระโกศกุดั่นใหญ่ประกอบพระอิสริยยศพระศพ[[สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)]]]] |
||
== รายพระนาม == |
== รายพระนาม == |
||
บรรทัด 106: | บรรทัด 106: | ||
{{สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์}} |
{{สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์}} |
||
{{สมณศักดิ์พระสงฆ์ไทย}} |
{{สมณศักดิ์พระสงฆ์ไทย}} |
||
[[หมวดหมู่:สมเด็จพระสังฆราช |
[[หมวดหมู่:สมเด็จพระสังฆราชไทย| ]] |
||
[[หมวดหมู่:อภิธานศัพท์ศาสนาพุทธ]] |
[[หมวดหมู่:อภิธานศัพท์ศาสนาพุทธ]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:05, 4 ตุลาคม 2561
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก | |
---|---|
พระเศวตฉัตร 3 ชั้น ประจำองค์สมเด็จพระสังฆราช | |
การเรียกขาน | ฝ่าพระบาท |
จวน | พระอารามหลวง |
ผู้แต่งตั้ง | พระมหากษัตริย์ไทย |
วาระ | ตลอดพระชนม์ชีพ |
ผู้ประเดิมตำแหน่ง | สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) |
สถาปนา | พ.ศ. 2325 |
เงินตอบแทน | 34,200 บาท[1] |
ในประเทศไทย สมเด็จพระสังฆราช คือประมุขแห่งคณะสงฆ์ ซึ่งตามกฎหมายคณะสงฆ์บัญญัติให้ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก[2] ที่มาและอำนาจหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชเป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505[3]
พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลไทย
สมเด็จพระสังฆราช เป็นตำแหน่งที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ดังมีหลักฐานจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้จารึกคำว่าสังฆราชไว้ด้วย สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นตำแหน่งสมณะศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ราชอาณาไทย ทรงเป็นองค์ประธานการปกครองคณะสงฆ์ ตำแหน่งนี้น่าจะมีที่มาจากคณะสงฆ์ไทย นำแบบอย่างมาจาก ลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่ของลังกา ที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็นสกลมหาสังฆปริณายก มีอำนาจว่ากล่าวออกไปถึงหัวเมือง โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายคามวาสี เป็นพระสังฆราชขวา สมเด็จพระวันรัตเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี เป็นสังฆราชซ้าย องค์ใดมีพรรษายุกาลมากกว่า ก็ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พระอริยมุนี ได้ไปสืบอายุพระพุทธศาสนาที่ลังกาทวีป มีความชอบมาก เมื่อกลับมาได้รับสมณศักดิ์สูงขึ้นตามลำดับจนเป็นสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์มีพระราชดำริให้คงราชทินนามนี้ไว้ จึงทรงตั้งราชทินนามสมเด็จพระสังฆราชเป็น สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี และมาเป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ ในสมัยกรุงธนบุรี และได้ใช้ต่อมาจนถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงปรับปรุงเพิ่มเติมเป็น "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" ซึ่งได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ตามทำเนียบสมณศักดิ์ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่มีตำแหน่งสังฆปริณายก 2 องค์ ที่เรียกว่า พระสังฆราชซ้าย/ขวา ดังกล่าวแล้ว ยังมีคำอธิบายอีกประการหนึ่งว่า สมเด็จพระอริยวงศ์ เป็นพระสังฆราชฝ่ายขวาว่า คณะเหนือ พระพนรัตน์เป็นพระสังฆราชฝ่ายซ้ายว่า คณะใต้ มีพระสุพรรณบัฏจารึกพระนามเมื่อทรงตั้งทั้ง 2 พระองค์ แต่ที่สมเด็จพระพนรัตน์ โดยปกติไม่ได้เป็นสมเด็จ ส่วนพระสังฆราชฝ่ายขวานั้นเป็นสมเด็จทุกพระองค์ จึงเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นมหาสังฆปริณายก มีศักดิ์สูงกว่าพระสังฆราชฝ่ายซ้าย ที่พระพนรัตน์แต่เดิม ทรงยกพระเกียรติยศเป็นสมเด็จแต่บางองค์ มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงเป็นสมเด็จทุกพระองค์
เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี วิธีการปกครองพระราชอาณาจักรในครั้งนั้น หัวเมืองใหญ่ที่ห่างไกลจากราชธานี เป็นเมืองประเทศราชโดยมาก แม้เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ราชธานี ก็ตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์เสด็จออกไปครองเมือง ทำนองเจ้าประเทศราช เมืองใหญ่แต่ละเมือง จึงน่าจะมีพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง เป็นสังฆปรินายกของสังฆบริษัทในเมืองนั้น ดังปรากฏเค้าเงื่อนในทำเนียบชั้นหลัง ยังเรียกเจ้าคณะเมืองว่าพระสังฆราชอยู่หลายเมือง จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงเปลี่ยนมาเป็นสังฆปาโมกข์
พระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีนี้มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คือฝ่ายที่พำนักอยู่ใกล้เมืองเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย เรียกว่าคามวาสี อีกฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญสมณธรรมในที่สงบเงียบตามป่าเขา ห่างไกลจากบ้านเมืองเรียกว่าอรัญวาสี ภิกษุแต่ละฝ่ายยังแบ่งออกเป็นคณะ แต่ละคณะจะมีพระราชาคณะปกครอง หัวหน้าพระราชาคณะเรียกว่าสมเด็จพระราชาคณะ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า[4] ทรงเศวตฉัตร 5 ชั้น พระราชวงศ์ชั้นรองลงมา เท่าที่ปรากฏ มีชั้นหม่อมเจ้าผู้ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีคำนำหน้า พระนามว่า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชหนึ่งพระองค์ ตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ในการนี้ นายกรัฐมนตรีจะเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ แต่ถ้าสมเด็จพระราชาคณะดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ จะเสนอสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นตามลำดับสมณศักดิ์และความสามารถในการทำหน้าที่แทน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 ได้มีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กำหนดให้ "มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
เครื่องยศของสมเด็จพระสังฆราช
ธรรมเนียมพระยศของ สมเด็จพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ | |
---|---|
ตราประจำพระองค์ | |
การทูล | ฝ่าพระบาท |
การแทนตน | เกล้ากระหม่อม/เกล้ากระหม่อมฉัน |
การขานรับ | เกล้ากระหม่อม พะย่ะค่ะ/เพคะ |
สมเด็จพระสังฆราชจะทรงมีเครื่องพระยศประกอบพระอิสริยยศสมเด็จพระสังราช ดังนี้[5]
- พระแท่นภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น
- พัดยศสมเด็จพระสังฆราช
- บาตร พร้อมฝาบาตร เชิงบาตรถมปัด
- พานพระศรี ถมปัด
- ขันน้ำและพานรอง ถมปัด
- คณโฑ ถมปัด
- พระสุพรรณศรี ถมปัด
- พระสุพรรณราช ถมปัด
- หีบตราพระจักรี ถมปัด
- ปิ่นทรงกลม 4 ชั้น ถมปัด
- กาทรงกระบอก ถมปัด
- หม้อลักจั่น ถมปัด
- กระโถน ถมปัด
-
พระแท่นภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น
-
พัดยศสมเด็จพระสังฆราช
เมื่อสิ้นพระชนม์จะทรงได้รับเครื่องประกอบพระอิสริยยศ ได้แก่
- พระโกศกุดั่นน้อย (หรือ มากกว่า)
- พระเศวตฉัตร 3 ชั้นกางกั้นพระโกศ (หรือมากกว่า)
- เสด็จสรงน้ำพระศพ
- พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ 100 วัน
- พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเช้า-เพล 100 วัน
- ริ้วกระบวนพระอิสริยยศเชิญพระโกศพระศพไปยังพระเมรุ
- พระเมรุผ้าขาว สำหรับพระราชทานเพลิงพระศพ (ปัจจุบันใช้พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส)
- เสด็จพระราชทานเพลิงพระศพ บำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ตลอดจนฉลองพระอัฐิ
- เศวตฉัตร 3 ชั้นสุมพระอัฐิบนพระเมรุ (หรือมากกว่า)
- เครื่องประโคมสังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง กลองชนะ จ่าปี่ จ่ากลอง
รายพระนาม
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ "บัญชีนิตยภัต ฉบับปรับปรุงใหม่ เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป". สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดภูเก็ต. 27 เมษายน 2555. สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2559.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, หน้า 1,167
- ↑ พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า, เล่ม ๓๘, ตอน ๐ ก ,๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔, หน้า ๑๐
- ↑ เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑, หน้า 319
- บรรณานุกรม
- หอมรดกไทย
- พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) , พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
- พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2547, ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 121 ตอนพิเศษ 34 ก หน้า 1, 17 กรกฎาคม 2547
- ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556. 1,544 หน้า. ISBN 978-616-7073-80-4
- สมมอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2545. 428 หน้า. ISBN 974-417-530-3
แหล่งข้อมูลอื่น