ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กินซะ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Phyblas (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ZeroSixTwo (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Ginza Wako Clock.jpg|thumb|right|300px|ร้าน[[Wako (retailer)|วะโก]]กับหอนาฬิกาที่กินซะ]]
[[ไฟล์:Ginza Wako Clock.jpg|thumb|right|300px|ร้าน[[Wako (retailer)|วาโก]]กับหอนาฬิกาที่กินซะ]]


'''กินซะ''' ({{nhg1|銀座|Ginza}}) หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า "กินซ่า" เป็นแขวงใน[[Chūō, Tokyo|เขตชูโอ]] [[กรุงโตเกียว]] เหนือแขวง[[ชิมบะชิ]] ใต้ย่าน[[ยะเอะซุ]]กับ[[เคียวบะชิ]] ทางตะวันตกของแขวง[[สึกิจิ]] และทางตะวันออกของย่าน[[ยูระกุโช]]กับ[[อุชิไซไวโช]] มีชื่อเสียงเพราะมากด้วยร้านรวงหรูหรา ทั้งยังถือกันว่าเป็นย่านการค้าราคาแพงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
'''กินซะ''' ({{nhg1|銀座|Ginza}}) หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า "กินซ่า" เป็นย่านใน[[ชูโอ (โตเกียว)|ชูโอ]] [[กรุงโตเกียว]] เหนือแขวง[[ชิมบาชิ]] ใต้ย่าน[[ยาเอซุ]]กับ[[เคียวบาชิ]] ทางตะวันตกของแขวง[[สึกิจิ]] และทางตะวันออกของย่าน[[ยูรากูโจ]]กับ[[อูชิไซไวโช]] มีชื่อเสียงเพราะมากด้วยร้านรวงหรูหรา ทั้งยังถือกันว่าเป็นย่านการค้าราคาแพงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก


กินซะนั้นเดิมเป็นหนองบึง ต่อมาได้รับการถมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ครั้น ค.ศ. 1612 ตรงกับ[[ยุคเอะโดะ]] มีการตั้งโรงกษาปณ์ขึ้น ณ ที่นั้นเรียก กินซะ ที่ดินจึงได้ชื่อตามโรงกษาปณ์ไปด้วย<ref name=DK>{{cite book|title=Dk eyewitness travel guide japan.|publisher=Dk Publishing|location=[S.l.]|isbn=9780756694739|pages=66-67}}</ref>
กินซะนั้นเดิมเป็นหนองบึง ต่อมาได้รับการถมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ครั้น ค.ศ. 1612 ตรงกับ[[ยุคเอโดะ]] มีการตั้งโรงกษาปณ์ขึ้น ณ ที่นั้นเรียก กินซะ ที่ดินจึงได้ชื่อตามโรงกษาปณ์ไปด้วย<ref name=DK>{{cite book|title=Dk eyewitness travel guide japan.|publisher=Dk Publishing|location=[S.l.]|isbn=9780756694739|pages=66-67}}</ref>


พอ ค.ศ. 1872 เกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนบริเวณนั้นเกือบสิ้น<ref name=DK/> เมื่อเพลิงสงบ รัฐบาลเมจิจึงกำหนดให้ใช้ย่านกินซะเป็น "ตัวอย่างการพัฒนาให้ทันสมัย" โดยเตรียมสร้างอาคารด้วยอิฐกันไฟ พร้อมด้วยถนนหนทางกว้างขวางเชื่อมกับสถานีรถไฟชิมบะชิ เขตสัมปทานต่างชาติในแขวงสึกิจิ ตลอดจนสำนักราชการบ้านเมืองหลายแห่ง [[Thomas Waters|ทอมัส วอเตอส์]] (Thomas Waters) สถาปนิกชาวไอริช รับหน้าที่วางแผนปรับปรุงที่ดินดังกล่าว<ref name=DK/> ส่วนทบวงโยธาธิการ กระทรวงการคลัง รับหน้าที่ก่อสร้าง ครั้นปีถัดมา จึงได้เห็นเส้นทางสำหรับเดินทอดน่องท่องเที่ยวอย่างตะวันตกเริ่มตั้งแต่ปลายสะพานชิมบะชิไปจนสุดสะพานเคียวชะบิด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเขตชูโอ
พอ ค.ศ. 1872 เกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนบริเวณนั้นเกือบสิ้น<ref name=DK/> เมื่อเพลิงสงบ รัฐบาลเมจิจึงกำหนดให้ใช้ย่านกินซะเป็น "ตัวอย่างการพัฒนาให้ทันสมัย" โดยเตรียมสร้างอาคารด้วยอิฐกันไฟ พร้อมด้วยถนนหนทางกว้างขวางเชื่อมกับสถานีรถไฟชิมบาชิ เขตสัมปทานต่างชาติในแขวงสึกิจิ ตลอดจนสำนักราชการบ้านเมืองหลายแห่ง [[Thomas Waters|ทอมัส วอเตอส์]] (Thomas Waters) สถาปนิกชาวไอริช รับหน้าที่วางแผนปรับปรุงที่ดินดังกล่าว<ref name=DK/> ส่วนทบวงโยธาธิการ กระทรวงการคลัง รับหน้าที่ก่อสร้าง ครั้นปีถัดมา จึงได้เห็นเส้นทางสำหรับเดินทอดน่องท่องเที่ยวอย่างตะวันตกเริ่มตั้งแต่ปลายสะพานชิมบะชิไปจนสุดสะพานเคียวชะบิด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเขตชูโอ


อย่างไรก็ดี อาคารฝรั่งหลายแห่งบัดนี้ได้สูญสิ้นลงหมดแล้ว เหลือไม่กี่แห่งซึ่งมีอายุมากและคงรักษาไว้อยู่ ในจำนวนนี้รวมถึง ร้าน[[Wako (retailer)|วะโก]] (和光) ซึ่งมีหอนาฬิกาที่ปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์ของย่านกินซะ ร้านค้าและหอนาฬิกาดังกล่าวเป็นผลงานของคินตะโร ฮัตโตะริ (服部 金太郎) ผู้ก่อตั้งบริษัทนาฬิกา[[Seiko|เซโกะ]] (ไซโก้)
อย่างไรก็ดี อาคารฝรั่งหลายแห่งบัดนี้ได้สูญสิ้นลงหมดแล้ว เหลือไม่กี่แห่งซึ่งมีอายุมากและคงรักษาไว้อยู่ ในจำนวนนี้รวมถึง ร้าน[[Wako (retailer)|วาโก]] (和光) ซึ่งมีหอนาฬิกาที่ปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์ของย่านกินซะ ร้านค้าและหอนาฬิกาดังกล่าวเป็นผลงานของคินตาโร ฮัตโตริ (服部 金太郎) ผู้ก่อตั้งบริษัทนาฬิกา[[Seiko|เซโกะ]] (ไซโก้)


ส่วนความเป็นไปในสมัยหลังของกินซะนั้นเกี่ยวเนื่องกับห้างร้านอย่างฝรั่งเสียมาก เนื่องจากกินซะได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางอันได้รับความนิยมมากในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งมีการปิดการจราจรบนเส้นทางหลักตั้งแต่เหนือจรดใต้เพื่อประโยชน์ในการท่องเที่ยวมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 ตามคำสั่งของ[[Ryokichi Minobe|เรียวกิชิ มิโนะเบะ]] (美濃部 亮吉) ผู้ว่าราชการกรุงโตเกียว
ส่วนความเป็นไปในสมัยหลังของกินซะนั้นเกี่ยวเนื่องกับห้างร้านอย่างฝรั่งเสียมาก เนื่องจากกินซะได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางอันได้รับความนิยมมากในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งมีการปิดการจราจรบนเส้นทางหลักตั้งแต่เหนือจรดใต้เพื่อประโยชน์ในการท่องเที่ยวมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 ตามคำสั่งของ[[เรียวกิจิ มิโนะเบะ]] (美濃部 亮吉) ผู้ว่าราชการกรุงโตเกียวในสมัยนั้น


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:30, 14 กันยายน 2561

ร้านวาโกกับหอนาฬิกาที่กินซะ

กินซะ (ญี่ปุ่น: 銀座โรมาจิGinza) หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า "กินซ่า" เป็นย่านในชูโอ กรุงโตเกียว เหนือแขวงชิมบาชิ ใต้ย่านยาเอซุกับเคียวบาชิ ทางตะวันตกของแขวงสึกิจิ และทางตะวันออกของย่านยูรากูโจกับอูชิไซไวโช มีชื่อเสียงเพราะมากด้วยร้านรวงหรูหรา ทั้งยังถือกันว่าเป็นย่านการค้าราคาแพงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

กินซะนั้นเดิมเป็นหนองบึง ต่อมาได้รับการถมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ครั้น ค.ศ. 1612 ตรงกับยุคเอโดะ มีการตั้งโรงกษาปณ์ขึ้น ณ ที่นั้นเรียก กินซะ ที่ดินจึงได้ชื่อตามโรงกษาปณ์ไปด้วย[1]

พอ ค.ศ. 1872 เกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนบริเวณนั้นเกือบสิ้น[1] เมื่อเพลิงสงบ รัฐบาลเมจิจึงกำหนดให้ใช้ย่านกินซะเป็น "ตัวอย่างการพัฒนาให้ทันสมัย" โดยเตรียมสร้างอาคารด้วยอิฐกันไฟ พร้อมด้วยถนนหนทางกว้างขวางเชื่อมกับสถานีรถไฟชิมบาชิ เขตสัมปทานต่างชาติในแขวงสึกิจิ ตลอดจนสำนักราชการบ้านเมืองหลายแห่ง ทอมัส วอเตอส์ (Thomas Waters) สถาปนิกชาวไอริช รับหน้าที่วางแผนปรับปรุงที่ดินดังกล่าว[1] ส่วนทบวงโยธาธิการ กระทรวงการคลัง รับหน้าที่ก่อสร้าง ครั้นปีถัดมา จึงได้เห็นเส้นทางสำหรับเดินทอดน่องท่องเที่ยวอย่างตะวันตกเริ่มตั้งแต่ปลายสะพานชิมบะชิไปจนสุดสะพานเคียวชะบิด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเขตชูโอ

อย่างไรก็ดี อาคารฝรั่งหลายแห่งบัดนี้ได้สูญสิ้นลงหมดแล้ว เหลือไม่กี่แห่งซึ่งมีอายุมากและคงรักษาไว้อยู่ ในจำนวนนี้รวมถึง ร้านวาโก (和光) ซึ่งมีหอนาฬิกาที่ปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์ของย่านกินซะ ร้านค้าและหอนาฬิกาดังกล่าวเป็นผลงานของคินตาโร ฮัตโตริ (服部 金太郎) ผู้ก่อตั้งบริษัทนาฬิกาเซโกะ (ไซโก้)

ส่วนความเป็นไปในสมัยหลังของกินซะนั้นเกี่ยวเนื่องกับห้างร้านอย่างฝรั่งเสียมาก เนื่องจากกินซะได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางอันได้รับความนิยมมากในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งมีการปิดการจราจรบนเส้นทางหลักตั้งแต่เหนือจรดใต้เพื่อประโยชน์ในการท่องเที่ยวมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 ตามคำสั่งของเรียวกิจิ มิโนะเบะ (美濃部 亮吉) ผู้ว่าราชการกรุงโตเกียวในสมัยนั้น

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 Dk eyewitness travel guide japan. [S.l.]: Dk Publishing. pp. 66–67. ISBN 9780756694739.