ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 119: บรรทัด 119:
สำหรับกบฏบวรเดชนั้น ระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ พระยาทรงสุรเดชมิได้พำนักอยู่ในประเทศไทย จึงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
สำหรับกบฏบวรเดชนั้น ระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ พระยาทรงสุรเดชมิได้พำนักอยู่ในประเทศไทย จึงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง


== [[กบฏพระยาทรงสุรเดช]] ==
== กบฏพระยาทรงสุรเดช ==
''ดูเนื้อหาหลักที่ [[กบฏพระยาทรงสุรเดช]]''
''ดูเนื้อหาหลักที่ [[กบฏพระยาทรงสุรเดช]]''



รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:51, 6 กรกฎาคม 2561

พันเอก พระยาทรงสุรเดช
(เทพ พันธุมเสน)
รัฐมนตรีที่ไม่ได้ประจำกระทรวง
ดำรงตำแหน่ง
10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 – 1 เมษายน พ.ศ. 2476
เจ้ากรมยุทธการทหารบก[1]
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2475 – พ.ศ. 2475
ก่อนหน้าพันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร
ถัดไปพันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด12 สิงหาคม พ.ศ. 2435
จังหวัดพระนคร
เสียชีวิต1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 (อายุ 80 ปี)
เขมรประเทศกัมพูชา
ศาสนาพุทธ
พรรคการเมืองคณะราษฎร
คู่สมรสคุณหญิงทรงสุรเดช
(ห่วง ทรงสุรเดช)
4 ทหารเสือ (จากซ้าย) พ.อ.พระยาทรงสุรเดช, พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา, พ.อ.พระยาฤทธิอัคเนย์ และ พ.ท.พระประศาสน์พิทยายุทธ

พันเอก พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) (12 สิงหาคม พ.ศ. 2435 - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516) เป็น 1 ใน 4 ทหารเสือที่ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นผู้ที่วางแผนการยึดอำนาจทั้งหมด เป็นผู้ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้เป็น และถูกกล่าวหาว่าคิดก่อการกบฏล้มล้างรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในกบฏพระยาทรงสุรเดช ถูกเนรเทศไปอยู่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาจนเสียชีวิตเมื่อพ.ศ. 2487 ในวัย 52 ปี

ประวัติ

เทพ พันธุมเสน เป็นบุตรของร้อยโทไท้ พันธุมเสน นายทหารกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 เกิดที่ถนนเจริญกรุง จังหวัดพระนคร จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ซึ่งระหว่างที่เรียนหนังสือที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกอยู่นั้น บิดาและมารดาได้เสียชีวิตไป จึงต้องได้รับการอุปการะจากพี่ชาย[2] แต่ทว่าเป็นบุคคลที่เรียนดี จึงได้ทุนไปศึกษาต่อวิชาทหารช่างที่เยอรมนี เมื่อจบแล้วได้ยศนายสิบ แล้วจึงเรียนต่อระดับสัญญาบัตร ได้ยศร้อยตรี ก่อนไปประจำการที่กองทหารในมัคเดอบวร์ค และเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2458 รวมทั้งสิ้นเป็นระยะเวลา 8 ปี

จากนั้นเริ่มรับราชการทหารจนได้รับพระราชทานยศเป็น ร้อยเอกหลวงรณรงค์สงคราม เมื่อ พ.ศ. 2461 และย้ายไปเป็นผู้บังคับการทหารช่างรถไฟ กองพันที่ 2 กรมทหารบกที่ 3 มีผลงานสำคัญคือ

ท่านได้รับพระราชทานยศ พันเอก และบรรดาศักดิ์เป็นพระยาทรงสุรเดช เมื่อปี พ.ศ. 2475 ในตำแหน่งเจ้ากรมยุทธการทหารบก

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

พระยาทรงสุรเดชได้ถูกชวนให้เป็นสมาชิกคณะราษฎร ขณะที่เดินทางไปศึกษาดูงานการทหารที่ทวีปยุโรป พร้อมกับ พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม แต่ยังมิได้ตกปากรับคำในขณะนั้น เพียงแต่เป็นการสนทนาเบื้องต้นเพื่อหยั่งรู้ความคิดก่อนจากทางร้อยโทประยูร ภมรมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่ให้การต้อนรับและรับรองทั้งคู่ขณะอยู่ยังประเทศฝรั่งเศส[3]

โดยพระยาทรงสุรเดชได้บันทึกจากความทรงจำถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ช่วงนี้ไว้อย่างละเอียด ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น พระยาทรงสุรเดชเป็นผู้ที่ประสานให้นายทหารระดับสูงที่มีแนวคิดเดียวกัน เช่น พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เข้าร่วมกับคณะราษฎร ซึ่งตัวพระยาทรงสุรเดชเองเคยพูดว่า "พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แทบทั้งหมด มุ่งแต่เพียงทำตัวให้โปรดปรานไว้เนื้อเชื่อใจจากพระเจ้าแผ่นดินไม่ว่าด้วยวิธีใด ตลอดทั้งวิธีที่ต้องสละเกียรติยศด้วย..."

ในแผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น การประชุมในประเทศไทย คณะราษฎรได้ประชุมกัน 2 ครั้ง ครั้งแรกประชุมกันเพียงไม่กี่เดือนก่อนลงมือ ที่บ้านพักของพระยาทรงสุรเดชที่สะพานควาย และครั้งที่ 2 ที่บ้านพักของ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี ที่ถนนเศรษฐศิริ ซึ่งพระยาทรงสุรเดชในตอนแรกนั้นได้เสนอแผนการว่า ใช้ทหารยึดพระที่นั่งอัมพรสถานซึ่งเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 7 ในเวลากลางคืน และขอถวายความอารักขาแก่ในหลวงในฐานองค์ประกัน แล้วบังคับให้ลงพระปรมาภิไธยพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย แต่แผนนี้มีผู้ไม่เห็นด้วย เพราะระหว่างที่บุกเข้าไปอาจเกิดการปะทะกันกับทหารมหาดเล็กจนถึงขึ้นนองเลือด และผู้ก่อการได้ตกลงในหลักการของการปฏิวัติครั้งนี้คือ จะต้องพยายามมิให้เกิดการนองเลือด จะต้องไม่กระเทือนต่อพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์เกินควร และตกลงว่าจะทำการปฏิวัติในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานประทับที่พระราชวังไกลกังวล

การประชุมกันหนที่ 2 ที่บ้านของร้อยโทประยูร ในวันที่ 12 มิถุนายน พระยาทรงสุรเดชจึงเสนอแผนการทั้งหมด 3 แผน

  • แผนที่ 1 ให้นัดประชุมบรรดานายทหารที่กรมเสนาธิการ หรือที่กรมยุทธศึกษา หรือที่ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน ผู้ใดไม่เห็นด้วยก็จะเข้าควบคุมตัวไว้ ในระหว่างนั้นคณะผู้ก่อการฝ่ายทหารเรือและพลเรือนแยกย้ายกันไปคุมตัวเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มากักตัวไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคมหรือบนเรือรบ
  • แผนที่ 2 ให้จัดส่งหน่วยต่าง ๆ ไปคุมตามวังเจ้านายและข้าราชการคนสำคัญ ในขณะเดียวกันให้จัดหน่วยออกทำการตัดการสื่อสารติดต่อ เช่น โทรเลข โทรศัพท์ และให้จัดการรวบรวมกำลังทหารไปชุมนุม ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยวิธีออกคำสั่งลวงในตอนเช้าตรู่แล้วประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อหน้าทหารเหล่านั้น และจัดนายทหารฝ่ายก่อการเข้าควบคุมบังคับบัญชาทหารเหล่านั้นแทนผู้บังคับบัญชาคนเดิมแล้ว ทหารก็คงจะฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาคนใหม่ต่อไป การณ์ก็คงสำเร็จลงโดยเรียบร้อยโดยมิต้องมีการต่อสู้จนเลือดนองแผ่นดิน
  • แผนที่ 3 ให้หน่วยทหารหนึ่งจู่โจมเข้าไปในวังบางขุนพรหม และเข้าจับกุมพระองค์กรมพระนครสวรรค์วรพินิตมาประทับที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อเป็นประกันความปลอดภัยของคณะราษฎร และให้ดำเนินการอย่างอื่น ๆ ตามที่กล่าวแล้วในแผนที่ 2

ซึ่งทั้งหมดเห็นด้วยกับแผนที่ 3 นี้ จึงตกลงทำตามนี้ และได้กำหนดวันดำเนินการในชั้นแรกว่าให้เป็นวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน

โอกาสในการลงมือยึดอำนาจการปกครองนั้น ต้องอยู่ในช่วงระยะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปหัวหิน เพื่อทอดพระเนตรการทดลองการยิงปืนใหญ่ ซึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แม่ทัพ นายกอง ไปร่วมในการประลองอาวุธในครั้งนั้นเป็นส่วนมาก ส่วนมากที่จะคุม จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตนั้น คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สืบทราบมาว่า จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตมักจะเสด็จประพาสลำน้ำเจ้าพระยาในวันเสาร์และจะเสด็จกลับในวันจันทร์ ถ้าดำเนินการในวันอาทิตย์ก็อาจจะไม่ได้พระองค์ท่านมาเป็นองค์ประกันจึงได้เลื่อนการปฏิบัติการไปเป็นวันอังคารที่ 21 มิถุนายน

ต่อมาที่ประชุมได้ตกลงเลื่อนวันปฏิบัติการไปเป็นวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน เนื่องจากได้รับรายงานว่า ในวันอังคาร เรือรบยามฝั่งยังไม่กลับ หากตกลงทำการในวันพฤหัสบดีที่ 23 ก็จะขาดทหารเรือ

ในวันพุธที่ 22 มิถุนายน ก็มีรายงานว่า บรรดาสมาชิกคณะราษฎรยังไม่พร้อมที่จะทำการยึดอำนาจในวันที่ 23 มิถุนายน ดังนั้นวันปฏิบัติจึงเลื่อนไปวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน แทน แต่ทั้งหมดก็ยังไม่รู้ว่า พระยาทรงสุรเดชจะนำทหารออกมาใช้ยึดอำนาจได้อย่างไร

บทบาทของพระยาทรงสุรเดชในวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น คือ การปล่อยข่าวลวงและล่อหลอก เพื่อชักนำให้ทหารแต่ละกรมกองมาชุมนุมร่วมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อให้เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างไม่ขัดขืน

ในเวลาเย็นของวันที่ 23 มิถุนายน พระยาทรงสุรเดชในฐานะเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาทหาร ของโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้ไปพบ พันโท พระเหี้ยมใจหาญ ผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อย เพื่อขอให้นำนักเรียนนายร้อยทั้งหมดพร้อมอาววุธปืนบรรจุกระสุนไปที่ลานหน้าพระบรมรูปทรงม้าในตอนเช้าตรู่วันที่ 24 มิถุนายน เพื่อฝึกยุทธวิธีทหารราบต่อสู้รถถัง โดยจะใช้นักเรียนนายร้อยทำหน้าที่ทหารราบและนำรถถังจากกรมทหารม้ามาใช้ในการฝึก ต่อจากนั้นได้ไปพบผู้บังคับกองพันทหารราบที่รู้จักอีกสองคน เพื่อขอร้องให้นำทหารไปฝึกหน้าลานพระบรมรูปทรงม้าเวลาหกโมงเช้า และไปพบผู้บังคับการกองพันทหารช่างที่บางซื่อ เพื่อขอร้องให้นำทหารมาที่สนามหน้าโรงทหารในเวลาหกโมงเช้าเช่นกัน เพื่อจะนำไปฝึกต่อสู้กับรถถัง

เช้าวันที่ 24 มิถุนายน พระยาทรงสุรเดชตื่นตั้งแต่เวลา 04.00 น. และได้รับประทานข้าวผัดที่เหลือจากมื้อเมื่อคืน ก่อนออกจากบ้านไปพร้อมกับ ร้อยเอกหลวงทัศนัยนิยมศึก (ทัศนัย มิตรภักดี) ที่มารับถึงบ้านตามแผนที่วางได้ ไปยังจุดนัดหมายที่บริเวณทางรถไฟสายเหนือตัดกับถนนประดิพัทธ์ ย่านสะพานควาย ห่างจากบ้านไปเพียง 200 เมตร ด้วยการเดินเท้า เพื่อสมทบกับกลุ่มของ พระยาพหลพลพยุหเสนา พระประศาสน์พิทยายุทธ หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ) และพวก[4] โดยได้บอกกับคุณหญิงทรงสุรเดช ภริยาตั้งแต่คืนก่อนว่าจะไปดู "การสวนสนามที่หน้าพระลาน"

จากนั้นแผนการนำทหารออกมาใช้เปลี่ยนแปลงการปกครองของพระยาทรงสุรเดชก็ได้เปิดเผยออกมาเป็นลำดับ ทั้งหมดในเวลา 05.00 น. ก็ได้มุ่งหน้าไปยังกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ สี่แยกเกียกกาย มีเป้าหมายเพื่อยึดรถเกราะ ยึดรถรบ ยึดคลังกระสุน และหลอกพาทหารเดินมาขึ้นรถบรรทุกของกรมทหารปืนใหญ่ ภายใต้การบังคับบัญชาของพระยาฤทธิอัคเนย์ ที่อยู่ใกล้กัน ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปลานพระบรมรูปทรงม้า

เมื่อไปถึงกรมทหารม้า ด่านแรกที่จะต้องฝ่าไปให้ได้คือกองรักษาการณ์ที่ด้านหน้า สามทหารเสือ คือ พระยาทรงสุรเดช พระยาพหลพลพยุหเสนา และพระประศาสน์พิยายุทธ เข้าไปในกองรักษาการณ์ ถามหาตัวผู้บังคับการกองรักษาการณ์ แล้วผู้ก่อการก็พูดด้วยเสียงดุว่า

"เวลานี้เกิดกบฏกลางเมืองขึ้นแล้ว มัวแต่หลับนอนอยู่ได้ เอารถเกราะ รถรบ เอาทหารออกไปช่วยเดี๋ยวนี้"

ฝ่ายผู้บังคับการที่เป็นนายทหารชั้นผู้น้อย เมื่อเผชิญหน้ากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเคยเป็นอาจารย์มาก่อน ก็หลงเชื่ออย่างสนิทใจ ชั่วอึดใจเดียวเสียงเป่าแตรแจ้งสัญญาณเหตุสำคัญก็ปลุกทหารทั้งกรมตื่นขึ้นมาด้วยความโกลาหล

ช่วงเวลาแห่งความระทึกนี้ นายทหารผู้ก่อการต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ก็แยกย้ายกันไป

พระยาพหลพลพยุหเสนา ใช้กรรไกรตัดเหล็กที่พระประศาสน์พิยายุทธเตรียมมาตัดโซ่กุญแจคลังกระสุนได้สำเร็จ ช่วยกันลำเลียงกระสุนออกมาอย่างรวดเร็ว

พระประศาสน์พิทยายุทธ ตรงไปยังโรงเก็บรถพร้อม ร.อ.หลวงทัศนัยนิยมศึก เร่งระดมให้ทหารสตาร์ตรถถัง รถเกราะ ออกมาโดยเร็ว

ร้อยเอกหลวงรณสิทธิชัย และพรรคพวกพากันขึ้นไปยังโรงทหาร เร่งให้ทหารแต่งเครื่องแบบโดยเร็วด้วยคำสั่งที่ว่า "ทหารไม่ต้องล้างหน้า แต่งเครื่องแบบทันที"

ไม่กี่นาทีต่อมา ทหารม้าก็พร้อมแล้วที่ออกเดินทางไปขึ้นรถบรรทุกทหารภายในกรมทหารปืนใหญ่ที่ได้นัดแนะเอาไว้แล้ว พระยาฤทธิอัคเนย์สั่งให้ทหารปืนใหญ่ขึ้นรถ พระประศาสน์พิทยายุทธ นำขบวนรถถัง รถเกราะ รถขนกระสุนและปืนกลเบาราว 15 คัน ออกมาจากที่ตั้งกรม นำหน้าขบวนรถทั้งหมด มุ่งหน้าตรงไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า สมทบกับทหารหน่วยอื่น ๆ ที่นัดหมายกันไว้

เมื่อขบวนรถบรรทุกทหารแล่นผ่านกองพันทหารช่าง ซึ่งเหล่าทหารกำลังฝึกอยู่บนสนามหน้ากองพัน พระยาทรงสุรเดชก็กวักมือพลางตะโกนเรียกให้ขึ้นรถ ผู้บังคับการทหารช่างเข้าใจว่าได้เวลาที่จะไปฝึกการต่อสู้รถถังตามที่ตกลงกันเมื่อเย็นวาน จึงสั่งทหารช่างขึ้นรถบรรทุกไปด้วย

ปฏิบัติการยึดกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์สำเร็จลงอย่างรวดเร็วตามความคาดหมายภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มีคำถามมากมายว่า เพราะเหตุใดกองรักษาการณ์กรมทหารม้าจึงไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมยามคลังกระสุนจึงปล่อยให้พระยาพหลพลพยุหเสนา งัดประตูเอากระสุนออกไปได้ ทำไมนายทหารในกรมนี้จึงปล่อยให้นายทหารที่อื่นนำทหารของตัวออกไปได้โดยไม่แสดงปฏิกิริยาอันใดเลย

สำหรับคำตอบของคำถามนี้ พระยาทรงสุรเดชได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้ชัดเจนว่า

เป็นเพราะนายทหาร นายสิบ พลทหารเหล่านั้นเห็นด้วยในการปฏิวัติหรือ...เปล่าเลย ทั้งนายทหาร นายสิบ พลทหาร ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีใครเคยได้เห็นได้รู้ การปฏิวัติทำอย่างไร เพื่ออะไร มีแต่ความงงงวยเต็มไปด้วยความไม่รู้ และข้อนี้เองเป็นเหตุสำคัญแห่งความสำเร็จ ! สำหรับพลทหารทั้งหมดไม่ต้องสงสัยเลย เขาทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เขาถูกฝึกมาเช่นนั้น และหากนายทหารอื่นมาสั่งให้ทำโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เขาก็ทำเช่นเดียวกัน ทำไมเขาจะไม่ทำ เพราะในชีวิตเป็นทหารของเขา เขายังไม่เคยถูกเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะรู้ไม่ได้เลยว่าเป็นการลวง ในเมื่อเขาโดนเป็นครั้งแรก ...นายทหารทั้งหมดส่วนมากได้เรียนในโรงเรียนนายร้อยในสมัยที่ผู้อำนวยการฝ่ายทหารเป็นอาจารย์ใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงมีความเคารพและเกรงในฐานผู้ใหญ่

[5]

นอกจากนี้แล้ว ยังมีบันทึกด้วยว่า ในการประชุมภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม อันเป็นที่ประชุมและฐานบัญชาการของคณะราษฎรหลังจากที่ได้ทำการควบคุมสถานการณ์ในการปฏิวัติไว้ได้หมดแล้ว พระยาทรงสุรเดชเป็นผู้เสนอให้สำเร็จโทษพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และเปลี่ยนสถานะประเทศเป็นสาธารณรัฐ แต่ทาง นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน ได้คัดค้านอย่างที่สุด ที่สุดมีการโหวตกัน ฝ่ายนายปรีดีชนะโหวต แนวความคิดนี้จึงตกไป [6]

รัฐประหารในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2476

ดูเนื้อหาหลักที่ รัฐประหารในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2476

สืบเนื่องจากการยื่นเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจโดยนายปรีดี พนมยงค์ ที่เรียกกันว่า "สมุดปกเหลือง" ที่ต่อมาได้สร้างความขัดแย้งอย่างกว้างขวางระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้าราชการ และนักการเมืองในหมู่คณะราษฎรด้วยกัน เพราะได้มีการวิจารณ์ว่าเค้าโครงเศรษฐกิจฉบับนี้มีลักษณะเป็นสังคมนิยมคล้ายคอมมิวนิสต์ในแบบของสตาลิน พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่เห็นด้วย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้เกลี้ยกล่อมพระยาทรงสุรเดช พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาฤทธิ์อัคเนย์ และพระประศาสน์พิทยายุทธ อันเป็น "4 ทหารเสือ" ซึ่งเป็นนายทหารระดับสูงในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาทรงสุรเดชเห็นด้วยกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และได้ชักชวนพระยาฤทธิ์อัคเนย์ และพระประศาสน์พิทยายุทธ เห็นชอบด้วยกับการปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา แต่ทว่าพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรกลับเห็นด้วยกับเค้าโครงเศรษฐกิจฉบับนี้ จึงมีการกล่าวหากันว่า พระยาทรงสุรเดชพยายามที่จะโดดเดี่ยว พระยาพหลพลพยุหเสนา และคิดแย่งตำแหน่งจากพระยาพหลพลพยุหเสนา โดยเป็นผู้รับใช้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา [7]

กบฏบวรเดช

ดูเนื้อหาหลักที่ กบฏบวรเดช

สำหรับกบฏบวรเดชนั้น ระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ พระยาทรงสุรเดชมิได้พำนักอยู่ในประเทศไทย จึงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง

กบฏพระยาทรงสุรเดช

ดูเนื้อหาหลักที่ กบฏพระยาทรงสุรเดช

ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาทรงสุรเดช มีความขัดแย้งกับ หลวงพิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายทหารรุ่นหลังที่มียศชั้นต่ำกว่า หรือต่อมาก็คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในหลายเรื่องอย่างรุนแรง เช่น การประชุมวางแผนกันก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งคู่ก็มีปากเสียงกัน ถึงขนาดที่หลวงพิบูลสงคราม ปรารภออกมาหลังการประชุมว่า ตนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับพระยาทรงสุรเดชได้ [8]

และต่อมาทั้งคู่ก็มีแนวคิดต่างกันในเรื่องของโครงสร้างกองทัพ โดยพระยาทรงสุรเดชเห็นว่า นายทหารนั้นควรมียศไม่เกิน พันเอก (พ.อ.) และกองกำลังทหารนั้นไม่ควรรวมศูนย์อยู่ที่เมืองหลวง แต่ให้กระจายกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ อันเป็นภูมิลำเนาของทหารแต่ละคน อาวุธก็ให้เก็บประจำกายไว้ จนกว่าจะมีคำสั่งเรียกรวมพลหรือเรียกเพื่อการฝึกใด ๆ จึงมารวมตัวกัน อันเป็นลักษณะรูปแบบของกองทัพแบบประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่พระยาทรงสุรเดชเคยได้ศึกษาดูงานมา แต่ทางหลวงพิบูลสงคราม เห็นว่าทหารควรจะมียศชั้นสูงถึง จอมพล และอำนาจทางทหารต้องรวมไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อธำรงไว้ซึ่งเกียรติยศของทหาร[7]

อีกทั้งเมื่อ พระยาพหลพลพยุหเสนา ประกาศไม่ขอรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่ออีกในปลายปี พ.ศ. 2481 ทั้งคู่เสมือนเป็นคู่แข่งกันในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถึงขนาดที่มีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ลงรูปและเขียนข้อความใต้ภาพของทั้งคู่เปรียบเทียบกันบนหน้าหนึ่งว่าเป็น ผู้ที่จะขึ้นเป็นนายกฯคนต่อไป[9] ในคราวแรกมีการหยั่งเสียงกัน ปรากฏว่าเสียงสนับสนุนพระยาทรงสุรเดชมีถึง 50 เสียง ขณะที่เสียงสนับสนุนหลวงพิบูลสงครามมีเพียง 5 เสียงเท่านั้น แต่ทว่าเมื่อมีการลงคะแนนเสียงจริงในสภาผู้แทนราษฎร ปรากฏว่าเสียงสนับสนุนหลวงพิบูลสงครามมีมากกว่า จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด[7] ดังนั้นความขัดแย้งกันทั้งหมดนี้ได้กลายมาเป็นข้อกล่าวหากันในคดีกบฏพระยาทรงสุรเดชในเวลาต่อมา

บั้นปลายชีวิต

หลังจากมีความขัดแย้งกับสมาชิกระดับสูงในคณะราษฎรด้วยกันเองมาตลอด พระยาทรงสุรเดชก็ได้เดินทางไปพำนักที่ศรีลังกาเป็นระยะเวลา 2 ปี จนกระทั่ง พ.ศ. 2481 เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เหมาะสมแล้วจึงเดินทางกลับประเทศ และเสนอต่อกระทรวงกลาโหมขอตั้งโรงเรียนรบขึ้นที่เชียงใหม่ สภากลาโหมอนุมัติ จึงทำนายทหารระดับหัวกะทิทั้งหมด 29 นายขึ้นไปเรียนที่นั่น แต่ทาง หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเกรงว่าจะเป็นการซ่องสุมผู้คนก่อการกบฏ จึงส่งหน่วยสอดแนมไปติดตามดูความเคลื่อนไหวเป็นระยะ

เมื่อนักเรียนรุ่นแรกศึกษาจบแล้ว พระยาทรงสุรเดชได้นำลูกศิษย์ตระเวณดูงานทหารตามกรมกองต่าง ๆ แต่เมื่อถึงกรมทหารราชบุรี ได้ถูกยื่นซองขาวมีข้อความให้ออกจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ พร้อมกับบีบบังคับให้เดินทางออกสู่ต่างประเทศ

พระยาทรงสุรเดชพร้อมนายทหารคนสนิทเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ จึงถูกให้ออกจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดและถูกบีบให้เดินทางออกนอกประเทศ ไปพร้อมกับ ร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ นายทหารคนสนิท โดยถูกควบคุมตัวขึ้นรถไฟไปที่ อำเภออรัญประเทศ และเดินทางข้ามพรมแดนต่อไปยังกัมพูชาซึ่งในขณะนั้นเป็นดินแดนในอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส หลังจากที่ลี้ภัยอยู่ที่กัมพูชาได้ไม่นาน ทางการกัมพูชาก็ไม่อนุญาตให้อยู่ จึงต้องเดินทางไปพำนักอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน โดยมีภริยาติดตามไปด้วย จากนั้นจึงได้รับอนุญาตให้กลับมาที่พนมเปญอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในระหว่างที่ยังพำนักอยู่ที่เมืองไซง่อน พระยาทรงสุรเดชได้เขียนบันทึกไว้เล่มหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2482 เกี่ยวกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งหมด ตลอดจนความล้มเหลวของผลในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ซึ่งบันทึกเล่มนี้ต่อมาได้ถูกตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513 ในชื่อ "บันทึกพระยาทรงสุรเดช"

ชีวิตพระยาทรงสุรเดชที่กัมพูชา ไม่มีทรัพย์เงินทองเหลือติดตัวอยู่เลย ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทำขนมกล้วยขายพร้อมกับภริยา ซึ่งต้องลงมือโม่แป้งด้วยตนเอง รวมทั้งรับจ้างซ่อมจักรยาน และท้ายสุดก็ถึงแก่อนิจกรรมลงในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 ที่บ้านพักใน จ.สุรินทร์ ด้วยวัย80 ปี ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิตด้วยอาการโลหิตเป็นพิษ ทั้งที่เป็นบุคคลที่มีสุขภาพดีมาโดยตลอด จึงมีข้อสงสัยกันว่าอาจถูกลอบวางยาพิษ[10] [11]

ซึ่งช่วงที่อยู่กัมพูชานั้น เมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ในปี พ.ศ. 2484 เมื่อกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้บุกเข้าประเทศไทย และบีบบังคับรัฐบาลขอใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านเพื่อที่จะบุกไปพม่า และอินเดีย พระยาทรงสุรเดชมีความคิดที่จะต่อต้านญี่ปุ่น โดยคิดว่าจะเดินข้ามพรมแดนไปประเทศไทยด้วยลำพังตัวคนเดียว แต่เนื่องจากอยู่ในที่ ๆ ห่างไกลข้อมูลข่าวสาร จึงไม่มีโอกาสได้ทราบว่าในประเทศไทย มีขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นกำเนิดขึ้นมาเหมือนกัน พระยาทรงสุรเดชจึงตกอยู่ในสภาพเสมือนว่าต่อต้านญี่ปุ่นอยู่ลำพังคนเดียว และก็ไม่มีโอกาสได้ลงมือกระทำจริง เมื่อจอมพล ป. หมดอำนาจในปี พ.ศ. 2500 พระยาทรงสุรเดชในวัย 65 ปีจึงมาพำนักที่จ.สุรินทร์จนวาระสุดท้ายของชีวิต[6]

อ้างอิง

  1. รายนามผู้บัญชาการกรมยุทธการทหารบก
  2. พระยาทรงสุรเดช (1) คอลัมน์ ส่วนร่วมสังคมไทย โดย นรนิติ เศรษฐบุตร หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
  3. นายหนหวย. เจ้าฟ้าประชาธิปกราชันผู้นิราศ. กรุงเทพฯ : พิมพ์จำหน่ายด้วยตัวเอง, 2530. 704 หน้า. หน้า 214.
  4. 24 มิถุนายน (5) คอลัมน์ ส่วนร่วมสังคมไทย โดย นรนิติ เศรษฐบุตร หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
  5. ยุทธการยึดเมือง, สารคดีฉบับที่ 172: มิถุนายน 2542
  6. 6.0 6.1 ตอนที่ 5 กบฏพระยาทรงสุรเดช, "ย้อยรอยรัฐประหารไทย" .สารคดีทางดีเอ็นเอ็น: ศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2554
  7. 7.0 7.1 7.2 หน้า 103, บทสัมภาษณ์ คุณทศ พันธุมเสน บุตรชายพันเอก พระยาทรงสุรเดช. สารคดีฉบับที่ 172: มิถุนายน 2542
  8. สองฝั่งประชาธิปไตย, "2475" .สารคดีทางไทยพีบีเอส: 26 กรกฎาคม 2555
  9. ยุคทมิฬ โดย พายัพ โรจนวิภาค (พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2554) นนทบุรี สำนักพิมพ์ศรีปัญญา ISBN 978-616-7146-22-5
  10. พระยาทรงสุรเดช (2) คอลัมน์ ส่วนร่วมสังคมไทย โดย นรนิติ เศรษฐบุตร หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
  11. นักการเมืองไร้แผ่นดิน, คอลัมน์ เรื่องเก่าเล่าใหม่ โดย โรม บุนนาค. หน้า 65-66 นิตยสาร all ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ. 2550