ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อาสนวิหารเฮริฟอร์ด"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ "มหาวิหาร" → "อาสนวิหาร" ด้วยสจห.
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
<!---ออกเสียง ''แฮ ระ ฟอร์ด'' - อย่าการันต์ ''ร''--->
<!---ออกเสียง ''แฮ ระ ฟอร์ด'' - อย่าการันต์ ''ร''--->
{{ใช้ปีคศ|width=300px}}
{{ใช้ปีคศ|width=300px}}
[[ไฟล์:Hereford cathedral 001.JPG|thumb|300px|มหาวิหารเฮริฟอร์ด]]
[[ไฟล์:Hereford cathedral 001.JPG|thumb|300px|อาสนวิหารเฮริฟอร์ด]]
'''มหาวิหารเฮริฟอร์ด''' ({{lang-en|Hereford Cathedral}}) เป็น[[มหาวิหาร]]ตั้งอยู่ที่เมือง[[เฮริฟอร์ด]]ใน[[สหราชอาณาจักร]] มหาวิหารปัจจุบันเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1079 และเสร็จ เมื่อ ค.ศ. 1535 สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นของมหาวิหารคือ “[[แผนที่โลกเฮริฟอร์ด]]” (Hereford Mappa Mundi) ซึ่งเป็นแผนที่ที่วาดขึ้นในสมัย[[ยุคกลาง]]จากศตวรรษที่ 13
'''อาสนวิหารเฮริฟอร์ด''' ({{lang-en|Hereford Cathedral}}) เป็น[[อาสนวิหาร]]ตั้งอยู่ที่เมือง[[เฮริฟอร์ด]]ใน[[สหราชอาณาจักร]] อาสนวิหารปัจจุบันเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1079 และเสร็จ เมื่อ ค.ศ. 1535 สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นของอาสนวิหารคือ “[[แผนที่โลกเฮริฟอร์ด]]” (Hereford Mappa Mundi) ซึ่งเป็นแผนที่ที่วาดขึ้นในสมัย[[ยุคกลาง]]จากศตวรรษที่ 13


==ประวัติ==
==ประวัติ==
[[ไฟล์:Hereford cathedral 032.JPG|thumb|300px|รูปปั้นภายในที่ฝังศพใต้ดิน]]
[[ไฟล์:Hereford cathedral 032.JPG|thumb|300px|รูปปั้นภายในที่ฝังศพใต้ดิน]]
มหาวิหารอุทิศให้[[นักบุญ]]สององค์คือ[[พระแม่มารี]] และ นักบุญเอเธลเบิร์ต (Saint Ethelbert) ผู้ถูกประหารชีวิตโดย[[พระเจ้าออฟฟาแห่งเมอร์เซีย]] (Offa of Mercia) เมื่อปี ค.ศ. 792 ตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าออฟฟายกพระราชธิดาให้พระเจ้าเอเธลเบิร์ตแต่งงาน แต่ทำไมพระเจ้าออฟฟามาทรงเปลี่ยนพระทัยแล้วกลับมาสังหารพระเจ้าเอเธลเบิร์ตก็ไม่เป็นที่ทราบ ว่ากันว่าการสังหารหรือฆาตกรรมเกิดขึ้น 4 ไมล์จากเมืองเฮริฟอร์ด ที่ซัททัน (Sutton) ร่างของพระเจ้าเอเธลเบิร์ตถูกนำกลับมาที่ในปัจจุบันเป็นมหาวิหาร ตั้งแต่นั้นก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่ที่ฝังร่างของเอเธลเบิร์ต เมื่อราวปีค.ศ. 830 ขุนนางชาวเมอร์เซียชื่อมิลเฟรด (Milfrid) มีความประทับใจจากเรื่องราวของปาฏิหาริย์ต่างๆ ของนักบุญเอเธลเบิร์ตจึงสร้างวัดทำด้วยหินขึ้นแทนวัดเดิมและอุทิศวัดให้กับนักบุญพระเจ้าเอเธลเบิร์ต
อาสนวิหารอุทิศให้[[นักบุญ]]สององค์คือ[[พระแม่มารี]] และ นักบุญเอเธลเบิร์ต (Saint Ethelbert) ผู้ถูกประหารชีวิตโดย[[พระเจ้าออฟฟาแห่งเมอร์เซีย]] (Offa of Mercia) เมื่อปี ค.ศ. 792 ตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าออฟฟายกพระราชธิดาให้พระเจ้าเอเธลเบิร์ตแต่งงาน แต่ทำไมพระเจ้าออฟฟามาทรงเปลี่ยนพระทัยแล้วกลับมาสังหารพระเจ้าเอเธลเบิร์ตก็ไม่เป็นที่ทราบ ว่ากันว่าการสังหารหรือฆาตกรรมเกิดขึ้น 4 ไมล์จากเมืองเฮริฟอร์ด ที่ซัททัน (Sutton) ร่างของพระเจ้าเอเธลเบิร์ตถูกนำกลับมาที่ในปัจจุบันเป็นอาสนวิหาร ตั้งแต่นั้นก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่ที่ฝังร่างของเอเธลเบิร์ต เมื่อราวปีค.ศ. 830 ขุนนางชาวเมอร์เซียชื่อมิลเฟรด (Milfrid) มีความประทับใจจากเรื่องราวของปาฏิหาริย์ต่างๆ ของนักบุญเอเธลเบิร์ตจึงสร้างวัดทำด้วยหินขึ้นแทนวัดเดิมและอุทิศวัดให้กับนักบุญพระเจ้าเอเธลเบิร์ต


กล่าวกันว่าเฮริฟอร์ดเป็นศูนย์กลางเขตการปกครองของบาทหลวงมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 ใน คริสต์ศตวรรษที่ 7 บาทหลวงพัตตา (Putta) ก็ก่อตั้งมหาวิหารขึ้นอีกครั้ง บาทหลวงพัตตามาตั้งหลักแหล่งที่เฮริฟอร์ดหลังจากที่ถูกขับไล่มาจากรอเชสเตอร์ (Rochester) โดยพระเจ้าเอเธลเบิร์ต (อีกพระองค์หนึ่ง) มหาวิหารที่สร้างโดยบาทหลวงพัตตาอยู่มาได้ถึง 200 ปี พอมาถึงสมัย[[สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ผู้สารภาพ|พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ผู้สารภาพ]]ก็ทรงสร้างวัดใหม่แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกปล้นและเผาเมื่อปีค.ศ. 1056 โดยกองทัพจาก[[เวลส์]] และ [[ไอร์แลนด์]]โดยการนำของ Gruffydd ap Llywelyn เจ้าชายจากเวลส์ อันที่จริงวัดจะมิได้ถูกทำลายแต่ผู้ดูแลวัดต่อต้านอย่างแข็งขันจนพระเสียชีวิตไป 7 องค์ วัดจึงถูกเผา
กล่าวกันว่าเฮริฟอร์ดเป็นศูนย์กลางเขตการปกครองของบาทหลวงมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 ใน คริสต์ศตวรรษที่ 7 บาทหลวงพัตตา (Putta) ก็ก่อตั้งอาสนวิหารขึ้นอีกครั้ง บาทหลวงพัตตามาตั้งหลักแหล่งที่เฮริฟอร์ดหลังจากที่ถูกขับไล่มาจากรอเชสเตอร์ (Rochester) โดยพระเจ้าเอเธลเบิร์ต (อีกพระองค์หนึ่ง) อาสนวิหารที่สร้างโดยบาทหลวงพัตตาอยู่มาได้ถึง 200 ปี พอมาถึงสมัย[[สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ผู้สารภาพ|พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ผู้สารภาพ]]ก็ทรงสร้างวัดใหม่แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกปล้นและเผาเมื่อปีค.ศ. 1056 โดยกองทัพจาก[[เวลส์]] และ [[ไอร์แลนด์]]โดยการนำของ Gruffydd ap Llywelyn เจ้าชายจากเวลส์ อันที่จริงวัดจะมิได้ถูกทำลายแต่ผู้ดูแลวัดต่อต้านอย่างแข็งขันจนพระเสียชีวิตไป 7 องค์ วัดจึงถูกเผา


==สมัยนอร์มัน (โรมาเนสก์)==
==สมัยนอร์มัน (โรมาเนสก์)==
มหาวิหารเฮริฟอร์ดอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมจนกระทั่งโรเบิร์ตแห่งลอร์เรน (Robert of Lorraine) ได้รับแต่งตั้งเป็นบาทหลวงของสังฆมณฑลเฮริฟอร์ดเมื่อ ค.ศ. 1079 ท่านก็เริ่มปฏิสังขรณ์วัดและมาทำต่อโดยบาทหลวงเรเนลม (Reynelm) ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยสำหรับแคนนอน “[[การปฏิรูปสถาบันคริสต์ศาสนา|เซ็คคิวลาร์]]” ติดกับมหาวิหาร บาทหลวงเรเนลมสิ้นชีวิตเมื่อค.ศ. 1115 วัดมาสร้างเสร็จเอาระหว่างที่โรเบิร์ต เดอ เบทุน (Robert de Betun) เป็นบาทหลวงระหว่างปีค.ศ. 1131 ถึง 1148
อาสนวิหารเฮริฟอร์ดอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมจนกระทั่งโรเบิร์ตแห่งลอร์เรน (Robert of Lorraine) ได้รับแต่งตั้งเป็นบาทหลวงของสังฆมณฑลเฮริฟอร์ดเมื่อ ค.ศ. 1079 ท่านก็เริ่มปฏิสังขรณ์วัดและมาทำต่อโดยบาทหลวงเรเนลม (Reynelm) ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยสำหรับแคนนอน “[[การปฏิรูปสถาบันคริสต์ศาสนา|เซ็คคิวลาร์]]” ติดกับอาสนวิหาร บาทหลวงเรเนลมสิ้นชีวิตเมื่อค.ศ. 1115 วัดมาสร้างเสร็จเอาระหว่างที่โรเบิร์ต เดอ เบทุน (Robert de Betun) เป็นบาทหลวงระหว่างปีค.ศ. 1131 ถึง 1148


ตัววัดที่สร้างตั้งแต่สมัย[[สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์|โรมาเนสก์]]เหลืออยู่เพียงบริเวณที่ทำพิธีถึง[[หน้าต่างชั้นบน]] บริเวณกางเขนด้านใต้ (south transept) ซุ้มโค้งระหว่างด้านเหนือของบริเวณกางเขน (north transept) กับที่ทำพิธี และคูหาทางเดินข้างกระหนาบทางสู่แท่นบูชา (nave arcade) เมื่อวัดเพิ่งสร้างเสร็จได้เพียง 50 ปีเมื่อวิลเลียม เดอ เวียร์ (William de Vere) มาเป็นบาทหลวงระหว่างปี ค.ศ. 1186 ถึงปี ค.ศ. 1199 ผู้ขยายทางด้านตะวันออกโดยเพิ่มจรมุขหรือทางเดินขบวนพิธีและ “ชาเปลพระแม่มารี” (Lady Chapel) มาสร้างใหม่ไม่นานหลังจากนั้น - ระหว่างปี ค.ศ. 1226 ถึงปี ค.ศ. 1246 - เป็นแบบอังกฤษโดยมีที่ฝังศพอยู่ภายใต้ พอมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก็สร้างหน้าต่างชั้นบนใหม่ และอาจจะสร้างเพดานโค้ง ที่ทำพิธีใหม่เพราะทั้งสองอย่างได้รับความเสียหายเมื่อสร้างหอกลางทรุด เมื่ออาควาบลังคา (Bishop Aquablanca) มาเป็นบาทหลวงระหว่างปี ค.ศ. 1240 ถึงปี ค.ศ. 1268 ท่านก็ได้สร้างบริเวณกางเขนทางด้านเหนือใหม่แต่มาเสร็จในสมัยบาทหลวงสวินฟิลด์ (Bishop Swinfield) ผู้เป็นคนสร้างทางเดินสู่แท่นบูชา หรือทางเดินกลางมหาวิหาร และบริเวณกางเขนด้านตะวันออก
ตัววัดที่สร้างตั้งแต่สมัย[[สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์|โรมาเนสก์]]เหลืออยู่เพียงบริเวณที่ทำพิธีถึง[[หน้าต่างชั้นบน]] บริเวณกางเขนด้านใต้ (south transept) ซุ้มโค้งระหว่างด้านเหนือของบริเวณกางเขน (north transept) กับที่ทำพิธี และคูหาทางเดินข้างกระหนาบทางสู่แท่นบูชา (nave arcade) เมื่อวัดเพิ่งสร้างเสร็จได้เพียง 50 ปีเมื่อวิลเลียม เดอ เวียร์ (William de Vere) มาเป็นบาทหลวงระหว่างปี ค.ศ. 1186 ถึงปี ค.ศ. 1199 ผู้ขยายทางด้านตะวันออกโดยเพิ่มจรมุขหรือทางเดินขบวนพิธีและ “ชาเปลพระแม่มารี” (Lady Chapel) มาสร้างใหม่ไม่นานหลังจากนั้น - ระหว่างปี ค.ศ. 1226 ถึงปี ค.ศ. 1246 - เป็นแบบอังกฤษโดยมีที่ฝังศพอยู่ภายใต้ พอมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก็สร้างหน้าต่างชั้นบนใหม่ และอาจจะสร้างเพดานโค้ง ที่ทำพิธีใหม่เพราะทั้งสองอย่างได้รับความเสียหายเมื่อสร้างหอกลางทรุด เมื่ออาควาบลังคา (Bishop Aquablanca) มาเป็นบาทหลวงระหว่างปี ค.ศ. 1240 ถึงปี ค.ศ. 1268 ท่านก็ได้สร้างบริเวณกางเขนทางด้านเหนือใหม่แต่มาเสร็จในสมัยบาทหลวงสวินฟิลด์ (Bishop Swinfield) ผู้เป็นคนสร้างทางเดินสู่แท่นบูชา หรือทางเดินกลางอาสนวิหาร และบริเวณกางเขนด้านตะวันออก


== บาทหลวงอาควาบลังคา ==
== บาทหลวงอาควาบลังคา ==
[[ไฟล์:Hereford cathedral 008.JPG|thumb|300px|สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่ยังเหลืออยู่ในบริเวณมุขพิธี]]
[[ไฟล์:Hereford cathedral 008.JPG|thumb|300px|สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่ยังเหลืออยู่ในบริเวณมุขพิธี]]
บาทหลวงองค์มีบทบาทสำคัญที่สุดก่อน[[การปฏิรูปศาสนาที่ประเทศอังกฤษ]]ของมหาวิหารเฮริฟอร์ดก็เห็นจะเป็นบาทหลวงอาควาบลังคา อาควาบลังคาเดินทางมาอังกฤษพร้อมกับขบวนของเอเลเนอร์แห่งพรอวองซ์ (Eleanor of Provence—ทางใต้ของประเทศฝรั่งเศส) ท่านเป็นบาทหลวงทั้งมีอำนาจและกำลังเงินและบางครั้งก็โกงด้วยเมื่อมีโอกาส เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 เสด็จมาเฮริฟอร์ดเพื่อจะมาปราบ Llywelyn the Great แห่งเวลส์ ขณะที่บาทหลวงอาควาบลังคาไม่อยู่เพราะเดินทางไปเก็บภาษีที่ไอร์แลนด์ เมื่อบาทหลวงอาควาบลังคากลับมาซึ่งคงเป็นเพราะคงถูกเรียกกลับ ทั้งบาทหลวงและญาติพี่น้องจากซาวอย (Savoy) ก็ถูกจับไว้ในมหาวิหารโดยกลุ่มขุนนางผู้ยึดทรัพย์สินซึ่งท่านไปรีดไถมาจากชาวไอร์แลนด์
บาทหลวงองค์มีบทบาทสำคัญที่สุดก่อน[[การปฏิรูปศาสนาที่ประเทศอังกฤษ]]ของอาสนวิหารเฮริฟอร์ดก็เห็นจะเป็นบาทหลวงอาควาบลังคา อาควาบลังคาเดินทางมาอังกฤษพร้อมกับขบวนของเอเลเนอร์แห่งพรอวองซ์ (Eleanor of Provence—ทางใต้ของประเทศฝรั่งเศส) ท่านเป็นบาทหลวงทั้งมีอำนาจและกำลังเงินและบางครั้งก็โกงด้วยเมื่อมีโอกาส เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 เสด็จมาเฮริฟอร์ดเพื่อจะมาปราบ Llywelyn the Great แห่งเวลส์ ขณะที่บาทหลวงอาควาบลังคาไม่อยู่เพราะเดินทางไปเก็บภาษีที่ไอร์แลนด์ เมื่อบาทหลวงอาควาบลังคากลับมาซึ่งคงเป็นเพราะคงถูกเรียกกลับ ทั้งบาทหลวงและญาติพี่น้องจากซาวอย (Savoy) ก็ถูกจับไว้ในอาสนวิหารโดยกลุ่มขุนนางผู้ยึดทรัพย์สินซึ่งท่านไปรีดไถมาจากชาวไอร์แลนด์


== คริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึง คริสต์ศตวรรษที่16==
== คริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึง คริสต์ศตวรรษที่16==
เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่14 ระหว่างสมัยบาทหลวงเทรเวนองท์ (Bishop Trevenant) ซึ่งเป็นบาทหลวงระหว่างค.ศ. 1389 ถึง ค.ศ. 1404 ทางมหาวิหารก็สร้างหอกลางใหม่ใช้การตกแต่งแบบ ball-flower ขณะเดียวกันก็สร้าง[[หอประชุมสงฆ์]] โถงทางเข้า (vestibule) และ ด้านใต้
เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่14 ระหว่างสมัยบาทหลวงเทรเวนองท์ (Bishop Trevenant) ซึ่งเป็นบาทหลวงระหว่างค.ศ. 1389 ถึง ค.ศ. 1404 ทางอาสนวิหารก็สร้างหอกลางใหม่ใช้การตกแต่งแบบ ball-flower ขณะเดียวกันก็สร้าง[[หอประชุมสงฆ์]] โถงทางเข้า (vestibule) และ ด้านใต้


เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่15 ก็เติมหอทางด้านตะวันตกของทางเดินกลาง พอถึงปลายกลางคริสต์ศตวรรษที่15 บาทหลวงแสตนบรี (Bishop Stanbury) และบาทหลวงออดลี (Bishop Audley) ก็สร้างชาเปลสามชาเปลภายในวัด บาทหลวงมาโย (Bishop Mayo) และ บาทหลวงบูธ (Bishop Booth) ผู้ปกครองมหาวิหารระหว่างปีค.ศ. 1504 ถึง ค.ศ. 1535 สร้างสิ่งก่อสร้างสุดท้ายคือทางเข้าทางด้านเหนือ วัดนี้จึงรวมเบ็ดเสร็จใช้เวลาในการสร้าง 440 ปี
เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่15 ก็เติมหอทางด้านตะวันตกของทางเดินกลาง พอถึงปลายกลางคริสต์ศตวรรษที่15 บาทหลวงแสตนบรี (Bishop Stanbury) และบาทหลวงออดลี (Bishop Audley) ก็สร้างชาเปลสามชาเปลภายในวัด บาทหลวงมาโย (Bishop Mayo) และ บาทหลวงบูธ (Bishop Booth) ผู้ปกครองอาสนวิหารระหว่างปีค.ศ. 1504 ถึง ค.ศ. 1535 สร้างสิ่งก่อสร้างสุดท้ายคือทางเข้าทางด้านเหนือ วัดนี้จึงรวมเบ็ดเสร็จใช้เวลาในการสร้าง 440 ปี


==แผนที่โลกเฮริฟอร์ด==
==แผนที่โลกเฮริฟอร์ด==
<!--- อย่าลบ ''Mappa Mundi'' เพราะเป็นศัพท์เฉพาะมีความหมายพิเศษ --->
<!--- อย่าลบ ''Mappa Mundi'' เพราะเป็นศัพท์เฉพาะมีความหมายพิเศษ --->
[[แผนที่]]โลกเฮริฟอร์ด ({{lang-en|Hereford Mappa Mundi}}) ตั้งแสดงอยู่ภายในมหาวิหารใกล้บริเวณที่ทำพิธีซึ่งเชื่อกันว่าเป็นฝีมือของริชาร์ดเดอลาเบลโล (Richard de Bello) ที่เขียนเมื่อราวศตวรรษที่ 13 ว่ากันว่ารูปคนขี่ม้ากับคนรับใช้ตรงมุมขวาของแผนที่คือริชาร์ดเดอลาบาเทยล์ ระหว่างสงครามกลางเมืองที่อังกฤษเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 แผนที่นี้ก็ถูกฝังไม่ไกลจาก Lady Chapel มาจนปีค.ศ.1855 จึงได้นำออกมาซ่อม
[[แผนที่]]โลกเฮริฟอร์ด ({{lang-en|Hereford Mappa Mundi}}) ตั้งแสดงอยู่ภายในอาสนวิหารใกล้บริเวณที่ทำพิธีซึ่งเชื่อกันว่าเป็นฝีมือของริชาร์ดเดอลาเบลโล (Richard de Bello) ที่เขียนเมื่อราวศตวรรษที่ 13 ว่ากันว่ารูปคนขี่ม้ากับคนรับใช้ตรงมุมขวาของแผนที่คือริชาร์ดเดอลาบาเทยล์ ระหว่างสงครามกลางเมืองที่อังกฤษเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 แผนที่นี้ก็ถูกฝังไม่ไกลจาก Lady Chapel มาจนปีค.ศ.1855 จึงได้นำออกมาซ่อม


แผนที่นี้เป็นเอกสารทางแผนที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ยังเหลืออยู่ วาดบนหนังลูกวัวชิ้นเดียวกว้าง 52 นิ้ว ยาว 64 นิ้ว เป็นแผนที่ลักษณะนี้ที่ใหญ่ที่สุดของยุคกลางที่แสดงความคิดทางสถาบัน[[นิกายโรมันคาทอลิก|คาทอลิก]]ว่า[[เยรูซาเลม]]เป็นศูนย์กลางของโลก
แผนที่นี้เป็นเอกสารทางแผนที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ยังเหลืออยู่ วาดบนหนังลูกวัวชิ้นเดียวกว้าง 52 นิ้ว ยาว 64 นิ้ว เป็นแผนที่ลักษณะนี้ที่ใหญ่ที่สุดของยุคกลางที่แสดงความคิดทางสถาบัน[[นิกายโรมันคาทอลิก|คาทอลิก]]ว่า[[เยรูซาเลม]]เป็นศูนย์กลางของโลก
บรรทัด 36: บรรทัด 36:


== ข้อมูลเพิ่มเติม ==
== ข้อมูลเพิ่มเติม ==
* [[แผนผังมหาวิหาร]]
* [[แผนผังอาสนวิหาร]]
* [[สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์]]
* [[สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์]]
* [[สถาปัตยกรรมกอธิค]]
* [[สถาปัตยกรรมกอธิค]]
* [[มหาวิหารในสหราชอาณาจักร]]
* [[อาสนวิหารในสหราชอาณาจักร]]


== แหล่งข้อมูลอื่น==
== แหล่งข้อมูลอื่น==
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Hereford Cathedral|มหาวิหารเฮริฟอร์ด}}
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Hereford Cathedral|อาสนวิหารเฮริฟอร์ด}}
* [http://www.herefordcathedral.org/ เว็บไซต์ของมหาวิหารเฮริฟอร์ด]
* [http://www.herefordcathedral.org/ เว็บไซต์ของอาสนวิหารเฮริฟอร์ด]
* [http://www.herefordcathedral.org/mappa_mappa.asp เว็บไซต์ของมหาวิหารเฮริฟอร์ด: แผนที่โลกแห่งเฮริฟอร์ด]
* [http://www.herefordcathedral.org/mappa_mappa.asp เว็บไซต์ของอาสนวิหารเฮริฟอร์ด: แผนที่โลกแห่งเฮริฟอร์ด]
* [http://www.herefordwebpages.co.uk/mapmundi.shtml The Mappa Mundi (แผนที่โลกแห่งเฮริฟอร์ด)]
* [http://www.herefordwebpages.co.uk/mapmundi.shtml The Mappa Mundi (แผนที่โลกแห่งเฮริฟอร์ด)]


บรรทัด 50: บรรทัด 50:
<gallery perrow="6"><center>
<gallery perrow="6"><center>
ภาพ:Hereford cathedral01.jpg|ภาพ engraving โดยเอ แฮมมิลตัน ทอมสัน (A. Hamilton Thompson) ค.ศ. 1925
ภาพ:Hereford cathedral01.jpg|ภาพ engraving โดยเอ แฮมมิลตัน ทอมสัน (A. Hamilton Thompson) ค.ศ. 1925
ภาพ:Hereford cathedral 002.JPG|มหาวิหารเฮริฟอร์ดมองจากแขนกางเขน
ภาพ:Hereford cathedral 002.JPG|อาสนวิหารเฮริฟอร์ดมองจากแขนกางเขน
ภาพ:Hereford cathedral 004.JPG|ทางเดินกลางมองสู่แท่นบูชาขนาบด้วยเสาโรมาเนสก์
ภาพ:Hereford cathedral 004.JPG|ทางเดินกลางมองสู่แท่นบูชาขนาบด้วยเสาโรมาเนสก์
ภาพ:Hereford cathedral 011.JPG|[[เพดานโค้ง]]กอธิค
ภาพ:Hereford cathedral 011.JPG|[[เพดานโค้ง]]กอธิค
บรรทัด 63: บรรทัด 63:
</gallery></center>
</gallery></center>


{{มหาวิหารในอังกฤษ}}
{{อาสนวิหารในอังกฤษ}}


[[หมวดหมู่:โบสถ์คริสต์ในอังกฤษ|ฮ]]
[[หมวดหมู่:โบสถ์คริสต์ในอังกฤษ|ฮ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 04:11, 31 ธันวาคม 2560

อาสนวิหารเฮริฟอร์ด

อาสนวิหารเฮริฟอร์ด (อังกฤษ: Hereford Cathedral) เป็นอาสนวิหารตั้งอยู่ที่เมืองเฮริฟอร์ดในสหราชอาณาจักร อาสนวิหารปัจจุบันเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1079 และเสร็จ เมื่อ ค.ศ. 1535 สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นของอาสนวิหารคือ “แผนที่โลกเฮริฟอร์ด” (Hereford Mappa Mundi) ซึ่งเป็นแผนที่ที่วาดขึ้นในสมัยยุคกลางจากศตวรรษที่ 13

ประวัติ

รูปปั้นภายในที่ฝังศพใต้ดิน

อาสนวิหารอุทิศให้นักบุญสององค์คือพระแม่มารี และ นักบุญเอเธลเบิร์ต (Saint Ethelbert) ผู้ถูกประหารชีวิตโดยพระเจ้าออฟฟาแห่งเมอร์เซีย (Offa of Mercia) เมื่อปี ค.ศ. 792 ตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าออฟฟายกพระราชธิดาให้พระเจ้าเอเธลเบิร์ตแต่งงาน แต่ทำไมพระเจ้าออฟฟามาทรงเปลี่ยนพระทัยแล้วกลับมาสังหารพระเจ้าเอเธลเบิร์ตก็ไม่เป็นที่ทราบ ว่ากันว่าการสังหารหรือฆาตกรรมเกิดขึ้น 4 ไมล์จากเมืองเฮริฟอร์ด ที่ซัททัน (Sutton) ร่างของพระเจ้าเอเธลเบิร์ตถูกนำกลับมาที่ในปัจจุบันเป็นอาสนวิหาร ตั้งแต่นั้นก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่ที่ฝังร่างของเอเธลเบิร์ต เมื่อราวปีค.ศ. 830 ขุนนางชาวเมอร์เซียชื่อมิลเฟรด (Milfrid) มีความประทับใจจากเรื่องราวของปาฏิหาริย์ต่างๆ ของนักบุญเอเธลเบิร์ตจึงสร้างวัดทำด้วยหินขึ้นแทนวัดเดิมและอุทิศวัดให้กับนักบุญพระเจ้าเอเธลเบิร์ต

กล่าวกันว่าเฮริฟอร์ดเป็นศูนย์กลางเขตการปกครองของบาทหลวงมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 ใน คริสต์ศตวรรษที่ 7 บาทหลวงพัตตา (Putta) ก็ก่อตั้งอาสนวิหารขึ้นอีกครั้ง บาทหลวงพัตตามาตั้งหลักแหล่งที่เฮริฟอร์ดหลังจากที่ถูกขับไล่มาจากรอเชสเตอร์ (Rochester) โดยพระเจ้าเอเธลเบิร์ต (อีกพระองค์หนึ่ง) อาสนวิหารที่สร้างโดยบาทหลวงพัตตาอยู่มาได้ถึง 200 ปี พอมาถึงสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ผู้สารภาพก็ทรงสร้างวัดใหม่แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกปล้นและเผาเมื่อปีค.ศ. 1056 โดยกองทัพจากเวลส์ และ ไอร์แลนด์โดยการนำของ Gruffydd ap Llywelyn เจ้าชายจากเวลส์ อันที่จริงวัดจะมิได้ถูกทำลายแต่ผู้ดูแลวัดต่อต้านอย่างแข็งขันจนพระเสียชีวิตไป 7 องค์ วัดจึงถูกเผา

สมัยนอร์มัน (โรมาเนสก์)

อาสนวิหารเฮริฟอร์ดอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมจนกระทั่งโรเบิร์ตแห่งลอร์เรน (Robert of Lorraine) ได้รับแต่งตั้งเป็นบาทหลวงของสังฆมณฑลเฮริฟอร์ดเมื่อ ค.ศ. 1079 ท่านก็เริ่มปฏิสังขรณ์วัดและมาทำต่อโดยบาทหลวงเรเนลม (Reynelm) ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยสำหรับแคนนอน “เซ็คคิวลาร์” ติดกับอาสนวิหาร บาทหลวงเรเนลมสิ้นชีวิตเมื่อค.ศ. 1115 วัดมาสร้างเสร็จเอาระหว่างที่โรเบิร์ต เดอ เบทุน (Robert de Betun) เป็นบาทหลวงระหว่างปีค.ศ. 1131 ถึง 1148

ตัววัดที่สร้างตั้งแต่สมัยโรมาเนสก์เหลืออยู่เพียงบริเวณที่ทำพิธีถึงหน้าต่างชั้นบน บริเวณกางเขนด้านใต้ (south transept) ซุ้มโค้งระหว่างด้านเหนือของบริเวณกางเขน (north transept) กับที่ทำพิธี และคูหาทางเดินข้างกระหนาบทางสู่แท่นบูชา (nave arcade) เมื่อวัดเพิ่งสร้างเสร็จได้เพียง 50 ปีเมื่อวิลเลียม เดอ เวียร์ (William de Vere) มาเป็นบาทหลวงระหว่างปี ค.ศ. 1186 ถึงปี ค.ศ. 1199 ผู้ขยายทางด้านตะวันออกโดยเพิ่มจรมุขหรือทางเดินขบวนพิธีและ “ชาเปลพระแม่มารี” (Lady Chapel) มาสร้างใหม่ไม่นานหลังจากนั้น - ระหว่างปี ค.ศ. 1226 ถึงปี ค.ศ. 1246 - เป็นแบบอังกฤษโดยมีที่ฝังศพอยู่ภายใต้ พอมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก็สร้างหน้าต่างชั้นบนใหม่ และอาจจะสร้างเพดานโค้ง ที่ทำพิธีใหม่เพราะทั้งสองอย่างได้รับความเสียหายเมื่อสร้างหอกลางทรุด เมื่ออาควาบลังคา (Bishop Aquablanca) มาเป็นบาทหลวงระหว่างปี ค.ศ. 1240 ถึงปี ค.ศ. 1268 ท่านก็ได้สร้างบริเวณกางเขนทางด้านเหนือใหม่แต่มาเสร็จในสมัยบาทหลวงสวินฟิลด์ (Bishop Swinfield) ผู้เป็นคนสร้างทางเดินสู่แท่นบูชา หรือทางเดินกลางอาสนวิหาร และบริเวณกางเขนด้านตะวันออก

บาทหลวงอาควาบลังคา

สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่ยังเหลืออยู่ในบริเวณมุขพิธี

บาทหลวงองค์มีบทบาทสำคัญที่สุดก่อนการปฏิรูปศาสนาที่ประเทศอังกฤษของอาสนวิหารเฮริฟอร์ดก็เห็นจะเป็นบาทหลวงอาควาบลังคา อาควาบลังคาเดินทางมาอังกฤษพร้อมกับขบวนของเอเลเนอร์แห่งพรอวองซ์ (Eleanor of Provence—ทางใต้ของประเทศฝรั่งเศส) ท่านเป็นบาทหลวงทั้งมีอำนาจและกำลังเงินและบางครั้งก็โกงด้วยเมื่อมีโอกาส เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 เสด็จมาเฮริฟอร์ดเพื่อจะมาปราบ Llywelyn the Great แห่งเวลส์ ขณะที่บาทหลวงอาควาบลังคาไม่อยู่เพราะเดินทางไปเก็บภาษีที่ไอร์แลนด์ เมื่อบาทหลวงอาควาบลังคากลับมาซึ่งคงเป็นเพราะคงถูกเรียกกลับ ทั้งบาทหลวงและญาติพี่น้องจากซาวอย (Savoy) ก็ถูกจับไว้ในอาสนวิหารโดยกลุ่มขุนนางผู้ยึดทรัพย์สินซึ่งท่านไปรีดไถมาจากชาวไอร์แลนด์

คริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึง คริสต์ศตวรรษที่16

เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่14 ระหว่างสมัยบาทหลวงเทรเวนองท์ (Bishop Trevenant) ซึ่งเป็นบาทหลวงระหว่างค.ศ. 1389 ถึง ค.ศ. 1404 ทางอาสนวิหารก็สร้างหอกลางใหม่ใช้การตกแต่งแบบ ball-flower ขณะเดียวกันก็สร้างหอประชุมสงฆ์ โถงทางเข้า (vestibule) และ ด้านใต้

เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่15 ก็เติมหอทางด้านตะวันตกของทางเดินกลาง พอถึงปลายกลางคริสต์ศตวรรษที่15 บาทหลวงแสตนบรี (Bishop Stanbury) และบาทหลวงออดลี (Bishop Audley) ก็สร้างชาเปลสามชาเปลภายในวัด บาทหลวงมาโย (Bishop Mayo) และ บาทหลวงบูธ (Bishop Booth) ผู้ปกครองอาสนวิหารระหว่างปีค.ศ. 1504 ถึง ค.ศ. 1535 สร้างสิ่งก่อสร้างสุดท้ายคือทางเข้าทางด้านเหนือ วัดนี้จึงรวมเบ็ดเสร็จใช้เวลาในการสร้าง 440 ปี

แผนที่โลกเฮริฟอร์ด

แผนที่โลกเฮริฟอร์ด (อังกฤษ: Hereford Mappa Mundi) ตั้งแสดงอยู่ภายในอาสนวิหารใกล้บริเวณที่ทำพิธีซึ่งเชื่อกันว่าเป็นฝีมือของริชาร์ดเดอลาเบลโล (Richard de Bello) ที่เขียนเมื่อราวศตวรรษที่ 13 ว่ากันว่ารูปคนขี่ม้ากับคนรับใช้ตรงมุมขวาของแผนที่คือริชาร์ดเดอลาบาเทยล์ ระหว่างสงครามกลางเมืองที่อังกฤษเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 แผนที่นี้ก็ถูกฝังไม่ไกลจาก Lady Chapel มาจนปีค.ศ.1855 จึงได้นำออกมาซ่อม

แผนที่นี้เป็นเอกสารทางแผนที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ยังเหลืออยู่ วาดบนหนังลูกวัวชิ้นเดียวกว้าง 52 นิ้ว ยาว 64 นิ้ว เป็นแผนที่ลักษณะนี้ที่ใหญ่ที่สุดของยุคกลางที่แสดงความคิดทางสถาบันคาทอลิกว่าเยรูซาเลมเป็นศูนย์กลางของโลก

นอกจากแผนที่ทวีปแล้วบนรูปเป็นการบรรยายประวัติมนุษย์โลก มีรูปด้วยกันประมาณ 500 รูปรวมทั้งเมืองทั้งใหญ่และเล็กด้วยกัน 420 เมือง เหตุการณ์ 15 เหตุการณ์จากคัมภีร์ไบเบิล ต้นไม้ สัตว์ นกและสัตว์ในจินตนาการ 33 ชนิด รูปของคนชาติต่างๆจากทั่วโลก 32 รูป และอีก 8 รูปมาจากตำนานกรีกโรมัน[1]

อ้างอิง

ข้อมูลเพิ่มเติม

แหล่งข้อมูลอื่น

สมุดภาพ