ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ผู้ใช้:Gusht123/กระบะทราย"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Gusht123 (คุย | ส่วนร่วม)
Gusht123 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 13: บรรทัด 13:


ผ้าขาวม้าอยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย   แม้โดยประวัติผ้าขาวม้าอาจไม่ใช่ผ้าของคนไทย แต่ระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900 ปีที่ผ่านไป ผ้าขาวม้าจัดเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ของไทยอย่างแท้จริง เพราะอย่างน้อยด้วยรูปลักษณ์และลวดลายที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องได้รวมไว้ทั้งศาสตร์แห่งสีสันและศิลป์แห่งลายผ้าไทยที่นำมาผสมผสานอย่างกลมกลืน อำนวยความสะดวกให้กับคนไทยมาหลายศตวรรษ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสูญหายไปง่ายๆ เกี่ยวข้องกับวิถีดำรงชีวิตมากมายหลายอย่าง นับสิ่งมหัศจรรย์แห่งสายใยที่ถักทอไว้อย่างประณีต จากตำนานกาลเวลา และคุณค่าอันน่ายกย่อง สรุปได้ว่าประโยชน์ของผ้าขาวม้าใช้กันตั้งแต่เกิดจนตาย
ผ้าขาวม้าอยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย   แม้โดยประวัติผ้าขาวม้าอาจไม่ใช่ผ้าของคนไทย แต่ระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900 ปีที่ผ่านไป ผ้าขาวม้าจัดเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ของไทยอย่างแท้จริง เพราะอย่างน้อยด้วยรูปลักษณ์และลวดลายที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องได้รวมไว้ทั้งศาสตร์แห่งสีสันและศิลป์แห่งลายผ้าไทยที่นำมาผสมผสานอย่างกลมกลืน อำนวยความสะดวกให้กับคนไทยมาหลายศตวรรษ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสูญหายไปง่ายๆ เกี่ยวข้องกับวิถีดำรงชีวิตมากมายหลายอย่าง นับสิ่งมหัศจรรย์แห่งสายใยที่ถักทอไว้อย่างประณีต จากตำนานกาลเวลา และคุณค่าอันน่ายกย่อง สรุปได้ว่าประโยชน์ของผ้าขาวม้าใช้กันตั้งแต่เกิดจนตาย

        จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้นำผ้าขาวม้ามาออกแบบใช้เป็นเครื่องแต่งกายที่มีสีสันสวยงาม  พร้อมทั้งดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์คุณค่า  รักษาความเป็นไทย นอกจากนี้ทางจังหวัดยังมีการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมให้ข้าราชการทุกหมู่เหล่า หันมานิยมสวมใส่ผ้าขาวม้าเป็นเครื่องแต่งกาย  มีการถ่ายแฟชั่นผ้าขาวม้า  และรณรงค์ให้กลุ่มอาชีพทอผ้า อำเภอภาชี  อำเภอบางซ้าย และกลุ่มทอดผ้าต่างๆ หันมาทอดผ้าขาวม้าด้วยสีสันที่สะดุดตา เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับหัตถกรรมและอุตสาหกรรมครัวเรือนจนเรียกได้ว่า “Lifestyle  วัฒนธรรม  สีสันชูราศี แฟชั่นดี  ผ้าขาวม้า  เคียงคู่อยุธยา  จากหัตถา สู่สากล”  การทอผ้าขาวม้าไม่ได้นิยมกันเพียงเฉพาะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเท่านั้น  แต่ผ้าขาวม้านั้นทอกันทุกภูมิภาคในประเทศไทย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย สู่การทอ ย้อมสี ประดิษฐ์ลวดลาย ‘ผ้าขาวม้า’ อันมีเอกลักษณ์ประจำแต่ละท้องถิ่น เป็นของดีประจำจังหวัด สร้างอาชีพและรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน อาทิ

== ภาคกลาง ==
1) ผ้าขาวม้าพระนครศรีอยุธยา ผ้าขาวม้าผืนเล็กใช้ทอผืนแคบ และจะมีบางผืนที่ทอผืนใหญ่เป็นพิเศษเอาไว้สำหรับตัดเป็นเสื้อผ้า  หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์  ลวดลายคละสลับกันเป็นตารางหมากรุกประมาณครึ่งนิ้ว  และมีสองสีสลับด้าน  ด้านตามยาวของปลายทั้งสองข้าง ทำเป็นลายริ้วสลับสีกัน เช่น ขาวแดง ขาวแดง  แดงดำ  ขาวน้ำเงิน

2) ผ้าขาวม้าจังหวัดนครสวรรค์ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าผ้าขาวม้ามักจะทอกันอยู่แถบตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว  และอีกที่หนึ่งที่นิยมทอในปัจจุบัน  บ้านตะเคียนเลื่อน  ตำบลเกาะหงส์ อำเภอเมือง สีของผ้าขาวม้าจะเป็นสีที่ตัดกันทอเป็นลายตาสก๊อต  นิยมใช้เส้นด้ายฝ้ายในการทอผ้าขาวม้า  เพราะฝ้ายจะมีความนิ่มเนื้อละเอียด

3) ผ้าขาวม้าจังหวัดกาญจนบุรี  จะมีสีสันสดใสหลากสีด้วยกัน  ผ้าขาวม้าผืนหนึ่งมักจะใช้สีที่ทอสลับกันประมาณสี่สี  สำหรับสีของเส้นไหมที่ทอเมื่อ 2 สีขดไปเกิดซ้อนกันก็จะทำให้ได้สีใหม่ขึ้นมา  ทำให้มีสีสันสวยงามมากขึ้น สำหรับผ้าขาวม้าของจังหวัดกาญจนบุรีมิได้มีเพียงลวดลายเดียวตี่มีหลากหลายลวดลาย  ซึ่งให้ความงดงามต่างจากถิ่นอื่น

4) ผ้าขาวม้าจังหวัดชัยนาท  จะมีลักษณะเป็นผ้าทอด้วยไหมประดิษฐ์  ด้วยโทเร และด้วยฝ้ายออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะนิยมทอด้วยโทเร ทอเป็นลายสก๊อต  ลายทาง  หรือลายสี่เหลี่ยม  และผ้าขาวม้าของ  ตำบลเนินขาม อำเภอหินตามีชื่อเรียกว่า “ผ้าขาวม้า 5 สี”คือ สีแดง  เหลือง ส้ม  เขียว  ขาว การทอผ้าขอม้าจะทอแบบเดียวกับกันผ้ามัดหมี่ คือ การมัดแล้วย้อมเป็นสีต่างๆ

5) ผ้าขาวม้าจังหวัดลพบุรี  ณ อำเภอบ้านหมี่  จังหวัดลพบุรี  จัดได้ว่าเป็นแหล่งทอดผ้าพื้นเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ลักษณะผ้าดั้งเดิมของอำเภอบ้านหมี่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะชาวอำเภอบ้านหมี่เป็นชาวไทยพวนที่อพยพมาจากประเทศลาว ดั้งนั้นผ้าขาวม้าอำเภอบ้านหมี่จึงถือว่าเป็นผ้าความม้าที่มีลวดลาย  สีสันสวยงาม และเป็นผลงานของผ้าทอมือที่ประณีตมาก

6) ผ้าขาวม้าจังหวัดราชบุรี  ผ้าขาวม้าจังหวัดราชบุรี  ส่วนใหญ่จะทออยู่ 2 ลวดลาย คือ ลายหมากรุก และลายตาปลา เป็นผ้าขาวม้าที่สวยงามเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  ราคาถูก และสีไม่ตก สำหรับผ้าขาวม้าของจังหวัดราชบุรีจะรู้จักการในนาม “ผ้าทอบ้านไร่”  แต่ในปัจจุบันผ้าขาวม้าของจังหวัดราชบุรี     มีชื่อเสียงโด่งดังมาก  จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของคนรุ่นใหม่ ที่มีการพัฒนาสี  ลวดลาย  รูปแบบ ให้ผ้าขาวม้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยมากขึ้นในชื่อ “Pakamian”

== ภาคอีสาน ==
        ภาคอีสาน จะเรียกผ้าขาวม้าว่า ผ้าแพ ผ้าแพอีโป้ ผ้าขาวม้า ซึ่งในอีสานเองจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ผ้าแพรขาวม้าจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสคล้ายตาหมากรุก และผ้าแพรใส้ปลาไหล หรือผ้าแพลิ้นแลน และในพจนานุกรมภาษาถิ่นอีสาน ก็จะเรียกว่า ผ้าขัดด้าม ผ้าขาวด้าม หรือผ้าด้าม

1) ผ้าขาวม้าจังหวัดศรีสะเกษ ผ้าทอของจังหวัดศรีสะเกษได้รับอิทธิพลมาจากลาว  สำหรับผ้าขาวม้าของศรีสะเกษนั้นจะมีการทอด้วยไหมและฝ้าย  ผ้าขาวม้าที่ทอด้วยผ้าไหมจะทำในโอกาสพิเศษ  หรืองานพิธีสำคัญเท่านั้น ส่วนลายของผ้าขาวม้าที่ทอจะเป็นลายเส้นขัดเป็นตารางหมากรุก  นิยมใช้สีกั้น 2 หรือ 3 สี ในการทอจะใช้ “เขา” เพียง 2 เขา เท่านั้น วิธีการสร้างลายจะสับหูกเส้นเครือหรือเส้นยืนด้วยสีต่างกัน หรือจะใช้เส้นด้ายสีต่างกันพุ่งสลับกันตามต้องการ

2) ผ้าขาวม้าจังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันมีการทอมากในกิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์  บ้านเขวาสินรินทร์  จังหวัดสุรินทร์ ชาวสุรินทร์มักใช้ผ้าขาวม้าในการแต่งกายประจำจังหวัดใน  พิธีกรรมที่สำคัญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายมักจะมีผ้าขาวม้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ลายผ้าขาวม้าของจังหวัดสุรินทร์จะเป็นผ้าลายตารางสีแดงดำ  เขียวเข้ม และชาวสุรินทร์จะมีผ้าข้าม้าประจำตระกูลเมื่อสิ้นบุญผู้อาวุโสมักจะมอบผ้าขาวม้าไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน

3) ผ้าขาวม้าจังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันการทอผ้าขาวม้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดมหาสารคาม จะอยู่ที่บ้านหนองหิน  ตำบลโคกก่อ  อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม  เอกลักษณ์โดดเด่น คือ เป็นผ้าขาวม้าทอมือ  ด้วยสีธรรมชาติ  มีการพัฒนาลวดลายให้ทันสมัยมากขึ้น ผ้าขาวม้าคุณภาพดีของกลุ่มยังถูกจัดส่งไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่น  ทางกลุ่มได้รับการสนับสนุนจากทางจังหวัดให้พัฒนาด้านการตลาด  มีการตั้งชื่อสินค้าในนาม “ศิลาภรณ์”  และนำผ้าขาวม้าที่เป็นผ้าฝ้ายคุณภาพดี  มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตัดเย็บเป็น  เสื้อผ้า รองเท้า  กระเป๋า  ผ้าห่มเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสีสันที่สวย สดใส  ทันสมัย และมีการย้อมสีตามคำสั่งของลูกค้าผ้าขาวม้าบ้านหนองหิน  มีชื่อเสียงโด่งดัง  เพราะคุณภาพดี และตัวแทนของกลุ่มได้ไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เมืองทองธานีหลายครั้ง

4) ผ้าขาวม้าจังหวัดขอนแก่น จัดได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีความวิจิตรพิสดารตระการตา ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เป็นลายเฉพาะของผ้าขาวม้าจังหวัดขอนแก่น  ลายผ้าขาวม้าจะเป็นลาย “หมี่กง”  ซึ่งเป็นต้นแบบและเป็นลายเก่าแก่ของผ้าเมืองขอนแก่น  ส่วนสีจะเน้นที่สี  ม่วง แดง  เขียว จัดเป็นสีดั้งเดิมของผ้าขาวม้าขอนแก่นและทำการทอลักษณะแบบ 3 ตะกอ จึงทำให้ผ้ามีลักษณะที่หนาเนื้อผ้าแน่น

5) ผ้าขาวม้าจังหวัดอุดรธานี  มหัศจรรย์ผ้าขาวม้าอเนกประสงค์  ภูมิปัญญาชาวบ้านชุมชนดอนอีไข ได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่นเทศบาลตำบลหนองสำโรง  อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ให้ทอผ้าขาวม้าพื้นบ้าน  เป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ในหลายรูปแบบ  เช่น ลายขาวดำ  ลายขัดพื้น มีทุกสีให้เลือก  นอกจากนั้นยังมีเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ตัดเย็บจากผ้าขาวม้าจำหน่าย  ทั้งของสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี ในราคาตั้งแต่ 400-1,000 บาท

6) ผ้าขาวม้าจังหวัดยโสธร  บ้านหัวเมือง ตำบลหัวเมือง  อำเภอชนะชัย  จังหวัดยโสธร เป็นหมู่บ้านคนขยัน  ตั้งอยู่ในทุ่งกว้าง  เขตรอยต่อทุ่งกุลาร้องไห้ ชาวบ้านได้รับการสนับสนุนจากประธานกลุ่มแม่บ้าน  หลังจากเสร็จสิ้นฤดูการทำนาหันมาทอผ้าขาวม้า  ทอผ้าห่ม ซึ่งเป็นงานทอในขั้นพื้นฐาน เพื่อเก็บไว้ใช้เองในครอบครัว และใช้เป็นของฝากของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ  เมื่อเหลือก็นำมาจำหน่าย ชาวบ้านรวมกลุ่มกันได้เหนียวแน่นจึงได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานพัฒนาชุมชน  และมีการพัฒนาในด้านการตลาดมากขึ้น

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:25, 13 พฤศจิกายน 2560

ผ้าขาวม้า

ประวัติ

เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นไทย ‘ผ้าขาวม้า’ คือหนึ่งในความภาคภูมิใจที่อยู่กับเรามานานหลายยุคสมัย เกือบทุกท้องถิ่นต้องมีไว้ใช้ จนกลายเป็นผ้าสามัญประจำบ้าน แต่คุณอาจไม่ทราบมาก่อนว่า เบื้องหลังความธรรมดาของผ้าขาวม้านั้น มีที่มาไม่ธรรมดา รวมถึงมีพัฒนาการจากอดีตจนถึงปัจจุบันที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

เริ่มจากชื่อของ ผ้าขาวม้า จริงๆ แล้วไม่ใช่ภาษาไทย แต่มาจากเปอร์เซียคำว่า ‘กามาร์บันด์’ (Kamar Band) ซึ่ง ‘กามาร์’ นั้นหมายถึง เอว หรือ ท่อนล่างของร่างกาย ‘บันด์’ หมายถึง การพัน รัด หรือ คาด เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกันจึงหมายถึง เข็มขัด ผ้าพัน หรือ คาดสะเอว มีงานวิจัยเสนอว่า ‘ผ้าขาวม้า’ เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า ‘กามา’ (Kamar) ซึ่งเป็นภาษาอิหร่านที่ใช้กันอยู่ในประเทศสเปน เพราะในประวัติศาสตร์ ประเทศทั้งสองมีการติดต่อกันมาช้านาน ต่อมาประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางภาษามาด้วย

หลักฐานที่แสดงว่าคนไทยเริ่มใช้ผ้าขาวม้ามีข้อมูลว่าตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ราวยุคสมัยเชียงแสน โดยได้รับอิทธิพลจากชาวไทยใหญ่ที่ใช้ผ้าขาวม้า โพกศีรษะ ต่อมาผู้ชายไทยใช้ผ้าเคียนเอว (ผูกเอว) และยังประยุกต์ใช้ประโยชน์หลากหลาย เช่น ใช้ห่อเก็บสัมภาระเดินทาง ห่ออาวุธ นุ่งเวลาอาบน้ำ เช็ดตัว หรือปูนอน และยังมีปรากฏให้เห็นจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์ จ.น่าน และเมื่อดูการแต่งกายของหญิง-ชายไทยในสมัยอยุธยาจากภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 22 จะเห็นชาวอโยธยานิยมใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง หรือนุ่งโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอตลบห้อยชายทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง      ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์ ความนิยมใช้ประโยชน์ไม่จำกัดแต่เพียงเพศชายเหมือนในอดีต และไม่จำกัดเฉพาะทำเป็นเครื่องตกแต่งร่างกาย  ผ้าขาวม้าเป็นอาภรณ์อเนกประสงค์ มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนใหญ่ทอมาจากฝ้าย แต่ก็มีที่ทอจากเส้นไหมด้วยเช่นกัน หรือบางท้องถิ่นทอจากเส้นด้ายดิบและเส้นป่าน นิยมทอสลับสีเป็นลายตาหมากรุก หรือเป็นลายทาง โดยมากผลิตในแถบภาคเหนือหรือภาคอีสาน มีขนาดโดยทั่วไปกว้างประมาณ 3 คืบ ยาว 5 คืบ คุณสมบัติที่สำคัญของผ้าขาวม้าคือ เป็นผ้าทอลายทางตรงและขวางตัดกันมีขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าพอเหมาะ ใช้งานได้หลากหลายสารพัดนึกยิ่งใช้นานยิ่งนุ่ม ซับน้ำได้ดี แห้งเร็ว ทนทานนานนับปี บางประเภทเป็นผ้าทอจากเส้นไหมราคาสูง มักใช้เป็นผ้าพาดไหล่ จนกระทั่งมีการนำผ้าขาวม้ามาเป็นชุดไทยพระราชทานชุดคาดเอว ถือเป็นจุดสำคัญที่ผ้าขาวม้าได้กลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ไทยสำหรับราคาจะแตกต่างกันออกไปตามวัสดุที่ใช้ (ถ้าเป็นผ้าไหมเนื้อดีจะมีราคาแพง นิยมใช้แตะพาดบ่าหรือพาดไหล่)  ในยุคแรกคนไทยจะเรียกผ้าสารพัดประโยชน์ผืนนี้ว่า ‘ผ้าเคียนเอว’ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ‘ผ้าขาวม้า’ ในภายหลัง

นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของผ้าขาวม้ายังมีการถ่ายทอดผ่านความเชื่อจากเรื่องเล่า “นิทานกำเนิดผ้าขาวม้า” จากบันทึกของผ้าขาวม้ารำลึกตามรอยผ้าขาวม้าของพ่อ กล่าวว่า  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีช่างทอผ้าผู้หนึ่ง  เกิดอุตริไปปัสสาวะรดต้นไม้ใหญ่ในป่าที่มีนางไม้สิงสถิตอยู่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นางไม้ด้วยความโกรธแค้นจึงแปลงร่างเป็นมดคันไฟเข้าไปกัดบริเวณที่ลับช่างทอผ้าจนบวมแดง       ช่างทอผ้าหลังจากโดนนางไม้กัด (มดคันไฟ) ทุนรนทุรายอยู่หลายวัน ทั้งแสบทั้งคัน  คิดว่าไม่นานอาการคงจะดีขึ้น คิดเพียงว่าแค่มดคันไฟกัดเดี๋ยวเดียวคงหาย ต่อมาปรากฏว่าอาการไม่ดีขึ้น ภรรยาของเขาจึงรีบไปตามหมอมารักษาอาการของช่างทอผ้า  ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะหาย ต่อมาเดือดร้อนถึงพระภูมิเจ้าที่ประจำบ้านที่อดสมเพชเวทนาไม่ได้  จึงได้มาเข้าฝันช่างทอผ้าในค่ำคืนหนึ่ง เพื่อบอกถึงสาเหตุความทุกข์ทรมานของช่างทอผ้า  และบอกวิธีการแก้ไข     ในฝันพระภูมิบอกกับช่างทอผ้าว่า  ให้เขาทอผ้าฝ้ายเป็นลายตารางหมากรุก สลับสีสลับลายให้สวยงามแล้วนำไปกราบไหว้ขอขมากับนางไม้ตรงบริเวณต้นไม้ที่ช่างทอผ้าไปยืนปัสสาวะรด  โดยให้นำผ้าที่ทอนั้นไปพันไว้โคนต้นไม้เป็นเวลาสามวัน หลังจากสามวันแล้วให้นำผืนผ้านั้นกลับมานุ่งแทนเสื้อผ้าเป็นเวลาสามวัน  แล้วช่างทอผ้าก็จะหายจากอาการที่เป็นอยู่ วันรุ่งขึ้นพอช่างทอผ้าตื่นขึ้นมา ได้เล่าความฝันให้ภรรยาฟัง ภรรยาถามเขาว่าได้ไปปัสสาวะรดต้นไม้ใหญ่จริงหรือไม่  ช่างทอผ้าตอบว่าจริง นางจึงบอกให้สามีรีบเร่งไปขอขมากับนางไม้ตามที่พระภูมิเจ้าที่มาเข้าฝันโดยเร็ว  หลังจากช่างทอผ้าได้ทำการขอขมากับนางไม้ตามที่พระภูมิเจ้าที่  อาการของช่างทอผ้าได้หายเป็นปลิดทิ้ง  แม้นเขาจะหายจากอาการคันแล้ว  เขาก็ยังนุ่งผ้าขาวม้าที่ใช้ขอขมานางไม้มาโดยตลอด มิหนำซ้ำเขายังได้แจกจ่ายผ้าขาวม้าให้กับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ได้นำไปใช้ประโยชน์อีกด้วย ซึ่งภายหลังผ้าขาวม้าจึงได้รับความนิยมเรียกกันติดปากว่า “ผ้าขมา”  ผ้าที่ใช้แทนการขอโทษ  หรือแทนคุณ จนกระทั่งปัจจุบันได้เพี้ยนมาเป็น “ผ้าขาวม้า” ในที่สุด

คำบอกเล่าเกี่ยวกับความเชื่อของผ้าขาวม้ายังเกี่ยวข้องกับเรื่องเวทมนต์ ดังเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อพรหมณ์วัดช่องแค  ตำบลตากฟ้า อำเภอตาคลี  จังหวัดนครสวรรค์  ชาติภูมิเดิมเป็นชาวตำบลบ้านแพรก  อำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2477 ได้ตระหนักและเล็งเห็นความสำคัญถึงรหัสปริศนา ผ้าขาวม้าของชาวบ้าน จึงนำเอาผ้าขาวม้าของชาวบ้าน ตำบลหนองน้ำใส  อำเภอภาชี  ซึ่งมีรกรากจากชาวเวียงจันทน์  นำมาเสกด้วยพุทธาคม เป็น “ผ้าขาวม้ามหาเวทย์”   เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน  และใช้ในพิธีสำคัญ ต่างๆ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ชาวบ้านจะนำผ้าขาวม้ามาผูกไว้ที่เสาเอกแขวนไว้ที่ขื่อ  ซึ่งมีความเชื่อว่าสามารถป้องกันขโมยลักวัว ควาย  เป็ด ไก่ได้  บางแห่งนำไปขับไล่สิ่งไม่ดี  ขับไล่นก หนู  แมลง  เพลี้ยกระโดด ไม่ให้ไปทำลายข้าวที่ตั้งไว้ในท้องไร่ท้องนา  ความเชื่อในความมหัศจรรย์  จากปริศนาแห่งโชคชะตา  บนเส้นใยผ้าขาวม้า  สรุปได้ว่า “ผ้าขาวม้าแห่งโชคชะตา  ทรงคุณค่าสู่สากล”  วัฒนธรรมผ้าขาวม้า ของชาวอยุธยาจึงมีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 150 ปี  จากบรรพชนสู่เยาวชน  ในรุ่นปัจจุบัน

ผ้าขาวม้าอยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย   แม้โดยประวัติผ้าขาวม้าอาจไม่ใช่ผ้าของคนไทย แต่ระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900 ปีที่ผ่านไป ผ้าขาวม้าจัดเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ของไทยอย่างแท้จริง เพราะอย่างน้อยด้วยรูปลักษณ์และลวดลายที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องได้รวมไว้ทั้งศาสตร์แห่งสีสันและศิลป์แห่งลายผ้าไทยที่นำมาผสมผสานอย่างกลมกลืน อำนวยความสะดวกให้กับคนไทยมาหลายศตวรรษ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสูญหายไปง่ายๆ เกี่ยวข้องกับวิถีดำรงชีวิตมากมายหลายอย่าง นับสิ่งมหัศจรรย์แห่งสายใยที่ถักทอไว้อย่างประณีต จากตำนานกาลเวลา และคุณค่าอันน่ายกย่อง สรุปได้ว่าประโยชน์ของผ้าขาวม้าใช้กันตั้งแต่เกิดจนตาย

        จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้นำผ้าขาวม้ามาออกแบบใช้เป็นเครื่องแต่งกายที่มีสีสันสวยงาม  พร้อมทั้งดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์คุณค่า  รักษาความเป็นไทย นอกจากนี้ทางจังหวัดยังมีการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมให้ข้าราชการทุกหมู่เหล่า หันมานิยมสวมใส่ผ้าขาวม้าเป็นเครื่องแต่งกาย  มีการถ่ายแฟชั่นผ้าขาวม้า  และรณรงค์ให้กลุ่มอาชีพทอผ้า อำเภอภาชี  อำเภอบางซ้าย และกลุ่มทอดผ้าต่างๆ หันมาทอดผ้าขาวม้าด้วยสีสันที่สะดุดตา เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับหัตถกรรมและอุตสาหกรรมครัวเรือนจนเรียกได้ว่า “Lifestyle  วัฒนธรรม  สีสันชูราศี แฟชั่นดี  ผ้าขาวม้า  เคียงคู่อยุธยา  จากหัตถา สู่สากล”  การทอผ้าขาวม้าไม่ได้นิยมกันเพียงเฉพาะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเท่านั้น  แต่ผ้าขาวม้านั้นทอกันทุกภูมิภาคในประเทศไทย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย สู่การทอ ย้อมสี ประดิษฐ์ลวดลาย ‘ผ้าขาวม้า’ อันมีเอกลักษณ์ประจำแต่ละท้องถิ่น เป็นของดีประจำจังหวัด สร้างอาชีพและรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน อาทิ

ภาคกลาง

1) ผ้าขาวม้าพระนครศรีอยุธยา ผ้าขาวม้าผืนเล็กใช้ทอผืนแคบ และจะมีบางผืนที่ทอผืนใหญ่เป็นพิเศษเอาไว้สำหรับตัดเป็นเสื้อผ้า  หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์  ลวดลายคละสลับกันเป็นตารางหมากรุกประมาณครึ่งนิ้ว  และมีสองสีสลับด้าน  ด้านตามยาวของปลายทั้งสองข้าง ทำเป็นลายริ้วสลับสีกัน เช่น ขาวแดง ขาวแดง  แดงดำ  ขาวน้ำเงิน

2) ผ้าขาวม้าจังหวัดนครสวรรค์ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าผ้าขาวม้ามักจะทอกันอยู่แถบตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว  และอีกที่หนึ่งที่นิยมทอในปัจจุบัน  บ้านตะเคียนเลื่อน  ตำบลเกาะหงส์ อำเภอเมือง สีของผ้าขาวม้าจะเป็นสีที่ตัดกันทอเป็นลายตาสก๊อต  นิยมใช้เส้นด้ายฝ้ายในการทอผ้าขาวม้า  เพราะฝ้ายจะมีความนิ่มเนื้อละเอียด

3) ผ้าขาวม้าจังหวัดกาญจนบุรี  จะมีสีสันสดใสหลากสีด้วยกัน  ผ้าขาวม้าผืนหนึ่งมักจะใช้สีที่ทอสลับกันประมาณสี่สี  สำหรับสีของเส้นไหมที่ทอเมื่อ 2 สีขดไปเกิดซ้อนกันก็จะทำให้ได้สีใหม่ขึ้นมา  ทำให้มีสีสันสวยงามมากขึ้น สำหรับผ้าขาวม้าของจังหวัดกาญจนบุรีมิได้มีเพียงลวดลายเดียวตี่มีหลากหลายลวดลาย  ซึ่งให้ความงดงามต่างจากถิ่นอื่น

4) ผ้าขาวม้าจังหวัดชัยนาท  จะมีลักษณะเป็นผ้าทอด้วยไหมประดิษฐ์  ด้วยโทเร และด้วยฝ้ายออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะนิยมทอด้วยโทเร ทอเป็นลายสก๊อต  ลายทาง  หรือลายสี่เหลี่ยม  และผ้าขาวม้าของ  ตำบลเนินขาม อำเภอหินตามีชื่อเรียกว่า “ผ้าขาวม้า 5 สี”คือ สีแดง  เหลือง ส้ม  เขียว  ขาว การทอผ้าขอม้าจะทอแบบเดียวกับกันผ้ามัดหมี่ คือ การมัดแล้วย้อมเป็นสีต่างๆ

5) ผ้าขาวม้าจังหวัดลพบุรี  ณ อำเภอบ้านหมี่  จังหวัดลพบุรี  จัดได้ว่าเป็นแหล่งทอดผ้าพื้นเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ลักษณะผ้าดั้งเดิมของอำเภอบ้านหมี่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะชาวอำเภอบ้านหมี่เป็นชาวไทยพวนที่อพยพมาจากประเทศลาว ดั้งนั้นผ้าขาวม้าอำเภอบ้านหมี่จึงถือว่าเป็นผ้าความม้าที่มีลวดลาย  สีสันสวยงาม และเป็นผลงานของผ้าทอมือที่ประณีตมาก

6) ผ้าขาวม้าจังหวัดราชบุรี  ผ้าขาวม้าจังหวัดราชบุรี  ส่วนใหญ่จะทออยู่ 2 ลวดลาย คือ ลายหมากรุก และลายตาปลา เป็นผ้าขาวม้าที่สวยงามเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  ราคาถูก และสีไม่ตก สำหรับผ้าขาวม้าของจังหวัดราชบุรีจะรู้จักการในนาม “ผ้าทอบ้านไร่”  แต่ในปัจจุบันผ้าขาวม้าของจังหวัดราชบุรี     มีชื่อเสียงโด่งดังมาก  จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของคนรุ่นใหม่ ที่มีการพัฒนาสี  ลวดลาย  รูปแบบ ให้ผ้าขาวม้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยมากขึ้นในชื่อ “Pakamian”

ภาคอีสาน

        ภาคอีสาน จะเรียกผ้าขาวม้าว่า ผ้าแพ ผ้าแพอีโป้ ผ้าขาวม้า ซึ่งในอีสานเองจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ผ้าแพรขาวม้าจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสคล้ายตาหมากรุก และผ้าแพรใส้ปลาไหล หรือผ้าแพลิ้นแลน และในพจนานุกรมภาษาถิ่นอีสาน ก็จะเรียกว่า ผ้าขัดด้าม ผ้าขาวด้าม หรือผ้าด้าม

1) ผ้าขาวม้าจังหวัดศรีสะเกษ ผ้าทอของจังหวัดศรีสะเกษได้รับอิทธิพลมาจากลาว  สำหรับผ้าขาวม้าของศรีสะเกษนั้นจะมีการทอด้วยไหมและฝ้าย  ผ้าขาวม้าที่ทอด้วยผ้าไหมจะทำในโอกาสพิเศษ  หรืองานพิธีสำคัญเท่านั้น ส่วนลายของผ้าขาวม้าที่ทอจะเป็นลายเส้นขัดเป็นตารางหมากรุก  นิยมใช้สีกั้น 2 หรือ 3 สี ในการทอจะใช้ “เขา” เพียง 2 เขา เท่านั้น วิธีการสร้างลายจะสับหูกเส้นเครือหรือเส้นยืนด้วยสีต่างกัน หรือจะใช้เส้นด้ายสีต่างกันพุ่งสลับกันตามต้องการ

2) ผ้าขาวม้าจังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันมีการทอมากในกิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์  บ้านเขวาสินรินทร์  จังหวัดสุรินทร์ ชาวสุรินทร์มักใช้ผ้าขาวม้าในการแต่งกายประจำจังหวัดใน  พิธีกรรมที่สำคัญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายมักจะมีผ้าขาวม้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ลายผ้าขาวม้าของจังหวัดสุรินทร์จะเป็นผ้าลายตารางสีแดงดำ  เขียวเข้ม และชาวสุรินทร์จะมีผ้าข้าม้าประจำตระกูลเมื่อสิ้นบุญผู้อาวุโสมักจะมอบผ้าขาวม้าไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน

3) ผ้าขาวม้าจังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันการทอผ้าขาวม้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดมหาสารคาม จะอยู่ที่บ้านหนองหิน  ตำบลโคกก่อ  อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม  เอกลักษณ์โดดเด่น คือ เป็นผ้าขาวม้าทอมือ  ด้วยสีธรรมชาติ  มีการพัฒนาลวดลายให้ทันสมัยมากขึ้น ผ้าขาวม้าคุณภาพดีของกลุ่มยังถูกจัดส่งไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่น  ทางกลุ่มได้รับการสนับสนุนจากทางจังหวัดให้พัฒนาด้านการตลาด  มีการตั้งชื่อสินค้าในนาม “ศิลาภรณ์”  และนำผ้าขาวม้าที่เป็นผ้าฝ้ายคุณภาพดี  มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตัดเย็บเป็น  เสื้อผ้า รองเท้า  กระเป๋า  ผ้าห่มเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสีสันที่สวย สดใส  ทันสมัย และมีการย้อมสีตามคำสั่งของลูกค้าผ้าขาวม้าบ้านหนองหิน  มีชื่อเสียงโด่งดัง  เพราะคุณภาพดี และตัวแทนของกลุ่มได้ไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เมืองทองธานีหลายครั้ง

4) ผ้าขาวม้าจังหวัดขอนแก่น จัดได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีความวิจิตรพิสดารตระการตา ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เป็นลายเฉพาะของผ้าขาวม้าจังหวัดขอนแก่น  ลายผ้าขาวม้าจะเป็นลาย “หมี่กง”  ซึ่งเป็นต้นแบบและเป็นลายเก่าแก่ของผ้าเมืองขอนแก่น  ส่วนสีจะเน้นที่สี  ม่วง แดง  เขียว จัดเป็นสีดั้งเดิมของผ้าขาวม้าขอนแก่นและทำการทอลักษณะแบบ 3 ตะกอ จึงทำให้ผ้ามีลักษณะที่หนาเนื้อผ้าแน่น

5) ผ้าขาวม้าจังหวัดอุดรธานี  มหัศจรรย์ผ้าขาวม้าอเนกประสงค์  ภูมิปัญญาชาวบ้านชุมชนดอนอีไข ได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่นเทศบาลตำบลหนองสำโรง  อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ให้ทอผ้าขาวม้าพื้นบ้าน  เป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ในหลายรูปแบบ  เช่น ลายขาวดำ  ลายขัดพื้น มีทุกสีให้เลือก  นอกจากนั้นยังมีเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ตัดเย็บจากผ้าขาวม้าจำหน่าย  ทั้งของสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี ในราคาตั้งแต่ 400-1,000 บาท

6) ผ้าขาวม้าจังหวัดยโสธร  บ้านหัวเมือง ตำบลหัวเมือง  อำเภอชนะชัย  จังหวัดยโสธร เป็นหมู่บ้านคนขยัน  ตั้งอยู่ในทุ่งกว้าง  เขตรอยต่อทุ่งกุลาร้องไห้ ชาวบ้านได้รับการสนับสนุนจากประธานกลุ่มแม่บ้าน  หลังจากเสร็จสิ้นฤดูการทำนาหันมาทอผ้าขาวม้า  ทอผ้าห่ม ซึ่งเป็นงานทอในขั้นพื้นฐาน เพื่อเก็บไว้ใช้เองในครอบครัว และใช้เป็นของฝากของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ  เมื่อเหลือก็นำมาจำหน่าย ชาวบ้านรวมกลุ่มกันได้เหนียวแน่นจึงได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานพัฒนาชุมชน  และมีการพัฒนาในด้านการตลาดมากขึ้น