ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บัสรา"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 11: | บรรทัด 11: | ||
|image_caption = เมืองบัศเราะฮ์ |
|image_caption = เมืองบัศเราะฮ์ |
||
|established_title = ตั้งเมื่อ |
|established_title = ตั้งเมื่อ |
||
|established_date = พ.ศ.1179 |
|established_date = พ.ศ. 1179 |
||
|established_title2 = <!-- Incorporated (town) --> |
|established_title2 = <!-- Incorporated (town) --> |
||
|established_date2 = |
|established_date2 = |
||
บรรทัด 62: | บรรทัด 62: | ||
== ประวัติ == |
== ประวัติ == |
||
[[ไฟล์:Ministry of Information First World War Official Collection Q25671.jpg|thumb|ตลาดอะชัร ประมาณ พ.ศ.2458]] |
[[ไฟล์:Ministry of Information First World War Official Collection Q25671.jpg|thumb|ตลาดอะชัร ประมาณ พ.ศ. 2458]] |
||
เมืองบัศเราะห์ตั้งขึ้นราว ๆ พ.ศ. 1179 ในเวลานั้นเป็นเพียงค่ายพักสำหรับชนเผ่าอาหรับ ต่อมาเคาะลีฟะฮ์[[อุมัร]]แห่ง[[จักรวรรดิรอชิดีน|รอชิดูน]] ตั้งเมืองนี้ขึ้นโดยแบ่งออกเป็นห้าตำบลด้วยกัน มีอะบู มูซา อัลอัชอะรี (أبو موسى الأشعري) เป็นเจ้าเมืองซึ่งยึดดินแดนจากคูซิสตาน (خوزستان) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิหร่าน ต่อมาเมื่อเคาะลีฟะฮ์อุษมานครองตำแหน่ง เมืองนี้จึงถูกยกสถานะเป็นเมืองหน้าด่าน และตั้งให้อับดุลลอห์ อิบนุลอะมีร์เป็นเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองบัศเราะฮ์ได้โจมตีทำลายล้างกองทัพพระเจ้ายัซดิญะริดที่สาม (يزدجرد الثالث, ยัซดิญะริด อัษษาลิษ) กษัตริย์[[จักรวรรดิแซสซานิด|ราชวงศ์ซาซานียะฮ์]] ซึ่งนับถือ[[ศาสนาโซโรอัสเตอร์]] ล่วงปี พ.ศ. 1199 อุษมานถูกสังหาร และ[[อะลี]]ขึ้นครองตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ อะลีได้ตั้งให้อุษมาน อิบนุลหะนิฟ เป็นเจ้าเมือง และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นอับดุลลอห์ อิบนุลอับบาส จวบจนถึงการวายชนม์ของอะลีเอง อันเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์รอชิดูน ต่อมาเมื่อรัฐคอลีฟะฮ์[[ราชวงศ์อุมัยยะฮ์|อุมัยยะฮ์]]มีอำนาจ มีอับดุลลอห์ ผู้นำทหารที่ไร้ความสามารถทางปกครองเป็นเจ้าเมือง ต่อมา[[มุอาวิยะฮ์]]สั่งถอดอับดุลลอห์ออกแล้วเปลี่ยนเป็นซิยาด บิน อะบีซุฟยาน (زياد بن أبي سفيان) ผู้ปกครองด้วยความโหดร้ายเป็นเจ้าเมือง ครั้นซิยาดถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.1207 อุบัยดุลลอห์ อิบนุลซิยาด (عبيد الله بن زياد) บุตรของซิยาดขึ้นครองอำนาจ ระหว่างนั้นเอง[[ฮุซัยน์ อิบน์ อะลี|ฮุซัยน์บุตรอะลี]] ในฐานะหลานของ[[มุฮัมมัด|ศาสดามุฮัมมัด]]ได้รับความนิยมจากปวงชนทั้งหลายขึ้นมาก อุบัยดุลลอห์จึงเข้ายึดเมือง[[กูฟะฮ์]] ฮุซัยน์ส่งมุสลิม อิบน์ อะกีล (مسلم بن عقيل) ไปเป็นทูต แต่กลับถูกประหารชีวิตจนเกิด[[ยุทธการกัรบะลาอ์]]ขึ้น ผลของการยุทธในครั้งนั้นทำให้ฮุซัยน์และพรรคพวกถูกตัดศีรษะทั้งหมดจนเกิด[[อัรบะอีน|พิธีอัรบะอีน]]ขึ้นจนถึงทุกวันนี้ แต่กาลต่อมาราชวงศ์อุมัยยะฮ์ล่มสลายลงโดยการปฏิวัติ |
เมืองบัศเราะห์ตั้งขึ้นราว ๆ พ.ศ. 1179 ในเวลานั้นเป็นเพียงค่ายพักสำหรับชนเผ่าอาหรับ ต่อมาเคาะลีฟะฮ์[[อุมัร]]แห่ง[[จักรวรรดิรอชิดีน|รอชิดูน]] ตั้งเมืองนี้ขึ้นโดยแบ่งออกเป็นห้าตำบลด้วยกัน มีอะบู มูซา อัลอัชอะรี (أبو موسى الأشعري) เป็นเจ้าเมืองซึ่งยึดดินแดนจากคูซิสตาน (خوزستان) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิหร่าน ต่อมาเมื่อเคาะลีฟะฮ์อุษมานครองตำแหน่ง เมืองนี้จึงถูกยกสถานะเป็นเมืองหน้าด่าน และตั้งให้อับดุลลอห์ อิบนุลอะมีร์เป็นเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองบัศเราะฮ์ได้โจมตีทำลายล้างกองทัพพระเจ้ายัซดิญะริดที่สาม (يزدجرد الثالث, ยัซดิญะริด อัษษาลิษ) กษัตริย์[[จักรวรรดิแซสซานิด|ราชวงศ์ซาซานียะฮ์]] ซึ่งนับถือ[[ศาสนาโซโรอัสเตอร์]] ล่วงปี พ.ศ. 1199 อุษมานถูกสังหาร และ[[อะลี]]ขึ้นครองตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ อะลีได้ตั้งให้อุษมาน อิบนุลหะนิฟ เป็นเจ้าเมือง และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นอับดุลลอห์ อิบนุลอับบาส จวบจนถึงการวายชนม์ของอะลีเอง อันเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์รอชิดูน ต่อมาเมื่อรัฐคอลีฟะฮ์[[ราชวงศ์อุมัยยะฮ์|อุมัยยะฮ์]]มีอำนาจ มีอับดุลลอห์ ผู้นำทหารที่ไร้ความสามารถทางปกครองเป็นเจ้าเมือง ต่อมา[[มุอาวิยะฮ์]]สั่งถอดอับดุลลอห์ออกแล้วเปลี่ยนเป็นซิยาด บิน อะบีซุฟยาน (زياد بن أبي سفيان) ผู้ปกครองด้วยความโหดร้ายเป็นเจ้าเมือง ครั้นซิยาดถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 1207 อุบัยดุลลอห์ อิบนุลซิยาด (عبيد الله بن زياد) บุตรของซิยาดขึ้นครองอำนาจ ระหว่างนั้นเอง[[ฮุซัยน์ อิบน์ อะลี|ฮุซัยน์บุตรอะลี]] ในฐานะหลานของ[[มุฮัมมัด|ศาสดามุฮัมมัด]]ได้รับความนิยมจากปวงชนทั้งหลายขึ้นมาก อุบัยดุลลอห์จึงเข้ายึดเมือง[[กูฟะฮ์]] ฮุซัยน์ส่งมุสลิม อิบน์ อะกีล (مسلم بن عقيل) ไปเป็นทูต แต่กลับถูกประหารชีวิตจนเกิด[[ยุทธการกัรบะลาอ์]]ขึ้น ผลของการยุทธในครั้งนั้นทำให้ฮุซัยน์และพรรคพวกถูกตัดศีรษะทั้งหมดจนเกิด[[อัรบะอีน|พิธีอัรบะอีน]]ขึ้นจนถึงทุกวันนี้ แต่กาลต่อมาราชวงศ์อุมัยยะฮ์ล่มสลายลงโดยการปฏิวัติ |
||
ล่วงสมัย[[อับบาซียะฮ์|อับบาซียะฮ์]] บัศเราะฮ์เป็นศูนย์กลางการศึกษา อาทิ เป็นเมืองที่อยู่ของ[[อิบนฺ อัล-ฮัยษัม|อิบนุลฮัยษัม]] [[อัล-ญาฮิซ]] เราะบีอะฮ์แห่งบัศเราะฮ์ รวมถึงนักวิชาการนานาสาขาวิชา ผ่านยุครุ่งเรืองไปไม่นาน เมืองบัศเราะฮ์ก็ถูกปล้นสะดมโดยกบฏซันจญ์ (ثورة الزنج, เตาเราะตุลซันจญ์) ในปี พ.ศ.1414<ref>Andre Wink, ''Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World'', Vol.2, (Brill, 2002), 17. {{Subscription required |via=[[Questia]]}}</ref> และถูกทำลายล้างโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเกาะรอมิเฎาะฮ์ (قرامطة) ในปี พ.ศ.1466<ref>Andre Wink, ''Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World'', Vol.2, 17. {{Subscription required |via=[[Questia]]}}</ref> ต่อมาราชวงศ์บูญิฮียะฮ์ (بويهية) ซึ่งเป็นราชวงศ์อิหร่านนับถือศาสนาอิสลาม[[ชีอะฮ์|นิกายชีอะฮ์]] เข้ายึดครองเมืองบัศเราะฮ์รวมถึงเมือง[[แบกแดด|บัฆดาด]] และประเทศอิรักส่วนใหญ่อีกด้วย ล่วงปี พ.ศ.2206 [[จักรวรรดิออตโตมัน|จักรวรรดิอุษมานียะฮ์]]ยึดเมืองบัศเราะฮ์ได้ โดยระหว่าง พ.ศ.2318-2322 ราชวงศ์ซันดียะฮ์ (زندية) เข้ายึดเมืองเป็นระยะเวลาสั้น ๆ [[สารานุกรมบริตานิกา]] รายงานว่าในปี พ.ศ.2454 มีประชาชนชาวยิวประมาณ 4000 คน และชาวคริสต์อีก 6000 คน อาศัยในเมือง<ref>{{cite EB1911 |wstitle=Basra |volume=3 |page=489 |short=1 }}</ref> ต่อมาเข้าสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษยึดเมืองบัศเราะฮ์จากจักรวรรดิอุษมานียะฮ์ได้ แล้วจัดผังเมืองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ |
ล่วงสมัย[[อับบาซียะฮ์|อับบาซียะฮ์]] บัศเราะฮ์เป็นศูนย์กลางการศึกษา อาทิ เป็นเมืองที่อยู่ของ[[อิบนฺ อัล-ฮัยษัม|อิบนุลฮัยษัม]] [[อัล-ญาฮิซ]] เราะบีอะฮ์แห่งบัศเราะฮ์ รวมถึงนักวิชาการนานาสาขาวิชา ผ่านยุครุ่งเรืองไปไม่นาน เมืองบัศเราะฮ์ก็ถูกปล้นสะดมโดยกบฏซันจญ์ (ثورة الزنج, เตาเราะตุลซันจญ์) ในปี พ.ศ. 1414<ref>Andre Wink, ''Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World'', Vol.2, (Brill, 2002), 17. {{Subscription required |via=[[Questia]]}}</ref> และถูกทำลายล้างโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเกาะรอมิเฎาะฮ์ (قرامطة) ในปี พ.ศ. 1466<ref>Andre Wink, ''Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World'', Vol.2, 17. {{Subscription required |via=[[Questia]]}}</ref> ต่อมาราชวงศ์บูญิฮียะฮ์ (بويهية) ซึ่งเป็นราชวงศ์อิหร่านนับถือศาสนาอิสลาม[[ชีอะฮ์|นิกายชีอะฮ์]] เข้ายึดครองเมืองบัศเราะฮ์รวมถึงเมือง[[แบกแดด|บัฆดาด]] และประเทศอิรักส่วนใหญ่อีกด้วย ล่วงปี พ.ศ. 2206 [[จักรวรรดิออตโตมัน|จักรวรรดิอุษมานียะฮ์]]ยึดเมืองบัศเราะฮ์ได้ โดยระหว่าง พ.ศ. 2318-2322 ราชวงศ์ซันดียะฮ์ (زندية) เข้ายึดเมืองเป็นระยะเวลาสั้น ๆ [[สารานุกรมบริตานิกา]] รายงานว่าในปี พ.ศ. 2454 มีประชาชนชาวยิวประมาณ 4000 คน และชาวคริสต์อีก 6000 คน อาศัยในเมือง<ref>{{cite EB1911 |wstitle=Basra |volume=3 |page=489 |short=1 }}</ref> ต่อมาเข้าสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษยึดเมืองบัศเราะฮ์จากจักรวรรดิอุษมานียะฮ์ได้ แล้วจัดผังเมืองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ |
||
ราวปี พ.ศ.2490 ประชากรในเมืองบัศเราะฮ์มีจำนวน 101,535 คน<ref>{{cite web |url= https://unstats.un.org/unsd/demographic/products/dyb/1950_round.htm |work=Demographic Yearbook 1955 |year= |publisher=[[Statistical Office of the United Nations]] |location=New York |title=Population of capital city and cities of 100,000 or more inhabitants }}</ref> สิบปีให้หลังประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 219,167 คน<ref>{{cite web|title=National Intelligence Survey. Iraq. Section 41, Population|url=https://www.cia.gov/library/readingroom/docs/DOC_0001252308.pdf|publisher=CIA|format=PDF|date=1960}}</ref> จึงได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยบัศเราะฮ์ขึ้นในปี พ.ศ.2507 ประชากรที่มีอยู่แล้วก็เพิ่มจำนวนเรื่อยมา ต่อมาเกิด[[สงครามอิรัก-อิหร่าน]] ขึ้น จนประชากรลดลงมาก ระหว่างนี้เองมียุทธการที่สำคัญ อาทิ ปฏิบัติการเราะมะฎอน และปฏิบัติการกัรบะลาอ์ 5 [[ซัดดัม ฮุสเซน|ศอดดาม ฮุซัยน์]] ก็ขึ้นครองอำนาจกดขี่ประชาชน แม้จะมีการกบฏสักเท่าใด ศอดดามก็ใช้ความรุนแรงจัดการทั้งหมด |
ราวปี พ.ศ. 2490 ประชากรในเมืองบัศเราะฮ์มีจำนวน 101,535 คน<ref>{{cite web |url= https://unstats.un.org/unsd/demographic/products/dyb/1950_round.htm |work=Demographic Yearbook 1955 |year= |publisher=[[Statistical Office of the United Nations]] |location=New York |title=Population of capital city and cities of 100,000 or more inhabitants }}</ref> สิบปีให้หลังประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 219,167 คน<ref>{{cite web|title=National Intelligence Survey. Iraq. Section 41, Population|url=https://www.cia.gov/library/readingroom/docs/DOC_0001252308.pdf|publisher=CIA|format=PDF|date=1960}}</ref> จึงได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยบัศเราะฮ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2507 ประชากรที่มีอยู่แล้วก็เพิ่มจำนวนเรื่อยมา ต่อมาเกิด[[สงครามอิรัก-อิหร่าน]] ขึ้น จนประชากรลดลงมาก ระหว่างนี้เองมียุทธการที่สำคัญ อาทิ ปฏิบัติการเราะมะฎอน และปฏิบัติการกัรบะลาอ์ 5 [[ซัดดัม ฮุสเซน|ศอดดาม ฮุซัยน์]] ก็ขึ้นครองอำนาจกดขี่ประชาชน แม้จะมีการกบฏสักเท่าใด ศอดดามก็ใช้ความรุนแรงจัดการทั้งหมด |
||
ล่วงเข้า[[สงครามอิรัก]]เมื่อปี พ.ศ.2546 เมืองบัศเราะฮ์ถูกกองทัพสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรยึดใช้เป็นฐานทำการ เมื่อวันที่ 21 เมษายนปีถัดมา มีการทิ้งระเบิดทั่วเมืองจนมีคนตายไป 74 คน ในใจกลางเมืองมีกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอิรักอยู่อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าจะมีการต่อต้านโดยกลุ่มมุสลิม[[ซุนนี|นิกายซุนนี]]และ[[ชาวเคิร์ด]] ในการนี้มีผู้สื่อข่าวถูกลักพาตัวและสังหารด้วย<ref>{{cite web|title=Steven Vincent|url=https://cpj.org/killed/2005/steven-vincent.php|publisher=Committee to Protect Journalists|date=2005}}</ref> ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ.2548 ทหาร[[สเปเชียลแอร์เซอร์วิส|กรมอากาศโยธินแห่งสหราชอาณาจักร]]สองนายปลอมตนเป็นพลเรือนชาวอาหรับ เมื่อถูกตรวจค้นโดยด่านตรวจ ทหารทั้งสองก็ยิงตำรวจได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตและถูกจับกุมส่งเรือนจำจังหวัดบัศเราะฮ์ เป็นผลให้กองทัพอังกฤษตัดสินใจบุกเรือนจำเพื่อช่วยเหลือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก<ref>{{cite web |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/4262336.stm |title=UK soldiers 'freed from militia' |date=20 September 2005 |publisher=BBC |accessdate=17 March 2012}}</ref><ref>{{cite web |url=http://www.sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?f=/c/a/2005/09/20/MNGS5EQNGN1.DTL |title=British smash jail walls to free 2 arrested soldiers |date=20 September 2005 |publisher=San Francisco Gate |accessdate=17 March 2012}}</ref> ล่วง พ.ศ.2550 อำนาจการปกครองทั้งหมดกลับคืนสู่รัฐบาลอิรักหลังจากที่ศอดดาม ฮุซัยน์ ถูกประหารชีวิต<ref>{{Cite news|url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/middle_east/7146507.stm|title=UK troops return Basra to Iraqis|date=16 December 2007|publisher=BBC News | accessdate=1 January 2010}}</ref> เมืองได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาในภายหลังจนกระทั่งมี[[บาสราสปอร์ตซิตี|ศูนย์กีฬาบาสราสปอร์ตซิตี]] |
ล่วงเข้า[[สงครามอิรัก]]เมื่อปี พ.ศ. 2546 เมืองบัศเราะฮ์ถูกกองทัพสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรยึดใช้เป็นฐานทำการ เมื่อวันที่ 21 เมษายนปีถัดมา มีการทิ้งระเบิดทั่วเมืองจนมีคนตายไป 74 คน ในใจกลางเมืองมีกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอิรักอยู่อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าจะมีการต่อต้านโดยกลุ่มมุสลิม[[ซุนนี|นิกายซุนนี]]และ[[ชาวเคิร์ด]] ในการนี้มีผู้สื่อข่าวถูกลักพาตัวและสังหารด้วย<ref>{{cite web|title=Steven Vincent|url=https://cpj.org/killed/2005/steven-vincent.php|publisher=Committee to Protect Journalists|date=2005}}</ref> ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ทหาร[[สเปเชียลแอร์เซอร์วิส|กรมอากาศโยธินแห่งสหราชอาณาจักร]]สองนายปลอมตนเป็นพลเรือนชาวอาหรับ เมื่อถูกตรวจค้นโดยด่านตรวจ ทหารทั้งสองก็ยิงตำรวจได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตและถูกจับกุมส่งเรือนจำจังหวัดบัศเราะฮ์ เป็นผลให้กองทัพอังกฤษตัดสินใจบุกเรือนจำเพื่อช่วยเหลือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก<ref>{{cite web |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/4262336.stm |title=UK soldiers 'freed from militia' |date=20 September 2005 |publisher=BBC |accessdate=17 March 2012}}</ref><ref>{{cite web |url=http://www.sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?f=/c/a/2005/09/20/MNGS5EQNGN1.DTL |title=British smash jail walls to free 2 arrested soldiers |date=20 September 2005 |publisher=San Francisco Gate |accessdate=17 March 2012}}</ref> ล่วง พ.ศ. 2550 อำนาจการปกครองทั้งหมดกลับคืนสู่รัฐบาลอิรักหลังจากที่ศอดดาม ฮุซัยน์ ถูกประหารชีวิต<ref>{{Cite news|url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/middle_east/7146507.stm|title=UK troops return Basra to Iraqis|date=16 December 2007|publisher=BBC News | accessdate=1 January 2010}}</ref> เมืองได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาในภายหลังจนกระทั่งมี[[บาสราสปอร์ตซิตี|ศูนย์กีฬาบาสราสปอร์ตซิตี]] |
||
== ภูมิประเทศและภูมิอากาศ == |
== ภูมิประเทศและภูมิอากาศ == |
||
[[ |
[[ไฟล์:Basra Times Square Shopping centre.jpg|thumbnail|ศูนย์การค้าบาสราไทม์สแควร์]] |
||
เมืองบัศเราะฮ์ตั้งอยู่ในเขตชะฏอลอะร็อบ หรือบริเวณที่[[แม่น้ำไทกริส]]และ[[แม่น้ำยูเฟรทีส]]บรรจบกัน บริเวณเมืองประกอบไปด้วยคลองชลประทานทำให้เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม และในอดีตก็ใช้ในการขนส่งสินค้าด้วย ตัวเมืองตั้งห่างจาก[[อ่าวเปอร์เซีย]]ประมาณ {{convert|110|km|mi|sigfig=2|abbr=on}} สภาพภูมิอากาศเป็นเขต[[ทะเลทราย]]ร้อน หรือ ''BWh'' ตาม[[การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน]] ซึ่งคล้ายกับบริเวณข้างเคียง ถึงกระนั้นตัวเมืองมีฝนตกมากกว่าพื้นที่ตอนในแผ่นดิน ระหว่างช่วงฤดูร้อน คือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อุณหภูมิจะขึ้นสูงถึง {{convert|50|°C|°F|abbr=on}} ส่วนในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ {{convert|20|°C|°F|abbr=on}} ในบางคืนของฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง |
เมืองบัศเราะฮ์ตั้งอยู่ในเขตชะฏอลอะร็อบ หรือบริเวณที่[[แม่น้ำไทกริส]]และ[[แม่น้ำยูเฟรทีส]]บรรจบกัน บริเวณเมืองประกอบไปด้วยคลองชลประทานทำให้เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม และในอดีตก็ใช้ในการขนส่งสินค้าด้วย ตัวเมืองตั้งห่างจาก[[อ่าวเปอร์เซีย]]ประมาณ {{convert|110|km|mi|sigfig=2|abbr=on}} สภาพภูมิอากาศเป็นเขต[[ทะเลทราย]]ร้อน หรือ ''BWh'' ตาม[[การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน]] ซึ่งคล้ายกับบริเวณข้างเคียง ถึงกระนั้นตัวเมืองมีฝนตกมากกว่าพื้นที่ตอนในแผ่นดิน ระหว่างช่วงฤดูร้อน คือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อุณหภูมิจะขึ้นสูงถึง {{convert|50|°C|°F|abbr=on}} ส่วนในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ {{convert|20|°C|°F|abbr=on}} ในบางคืนของฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง |
||
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:25, 18 กันยายน 2560
บาสรา[ม 1] البصرة บัศเราะฮ์ | |
---|---|
เมืองบัศเราะฮ์ | |
สมญา: เวนิสตะวันออก[1] | |
ตั้งเมื่อ | พ.ศ. 1179 |
พื้นที่ | |
• ตัวเมือง | 50−75 ตร.กม. (21 ตร.ไมล์) |
• รวมปริมณฑล | 181 ตร.กม. (70 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 5 เมตร (16 ฟุต) |
เขตเวลา | +3 GMT |
รหัสพื้นที่ | (+964) 40 |
เว็บไซต์ | http://www.basra.gov.iq/ |
บาสรา หรือ บัศเราะฮ์ (อาหรับ: البصرة อัล-บัศเราะฮ์) เป็นเมืองหรืออำเภอเอกของจังหวัดบัศเราะฮ์ ประเทศอิรัก ตั้งในเขตชะฏอลอะร็อบ หรือชัตต์อัลอาหรับ ริมอ่าวเปอร์เซีย เป็นที่ตั้งของมัสยิดแห่งแรกนอกคาบสมุทรอาระเบีย และศูนย์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง คือ บาสราสปอร์ตซิตี ตัวเมืองอยู่ระหว่างประเทศคูเวตและประเทศอิหร่าน ชื่อเมืองมาจากคำภาษาอาหรับ بصر (บัศร์) หรือการแลเห็น เนื่องจากเมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านทางทะเล แต่ไม่มีท่าเรือน้ำลึกเหมือนเมืองอุมกัศร์ (أم قصر) ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลอิรักกำหนดให้เมืองบัศเราะฮ์เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ[2]
ประวัติ
เมืองบัศเราะห์ตั้งขึ้นราว ๆ พ.ศ. 1179 ในเวลานั้นเป็นเพียงค่ายพักสำหรับชนเผ่าอาหรับ ต่อมาเคาะลีฟะฮ์อุมัรแห่งรอชิดูน ตั้งเมืองนี้ขึ้นโดยแบ่งออกเป็นห้าตำบลด้วยกัน มีอะบู มูซา อัลอัชอะรี (أبو موسى الأشعري) เป็นเจ้าเมืองซึ่งยึดดินแดนจากคูซิสตาน (خوزستان) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิหร่าน ต่อมาเมื่อเคาะลีฟะฮ์อุษมานครองตำแหน่ง เมืองนี้จึงถูกยกสถานะเป็นเมืองหน้าด่าน และตั้งให้อับดุลลอห์ อิบนุลอะมีร์เป็นเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองบัศเราะฮ์ได้โจมตีทำลายล้างกองทัพพระเจ้ายัซดิญะริดที่สาม (يزدجرد الثالث, ยัซดิญะริด อัษษาลิษ) กษัตริย์ราชวงศ์ซาซานียะฮ์ ซึ่งนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ ล่วงปี พ.ศ. 1199 อุษมานถูกสังหาร และอะลีขึ้นครองตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ อะลีได้ตั้งให้อุษมาน อิบนุลหะนิฟ เป็นเจ้าเมือง และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นอับดุลลอห์ อิบนุลอับบาส จวบจนถึงการวายชนม์ของอะลีเอง อันเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์รอชิดูน ต่อมาเมื่อรัฐคอลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์มีอำนาจ มีอับดุลลอห์ ผู้นำทหารที่ไร้ความสามารถทางปกครองเป็นเจ้าเมือง ต่อมามุอาวิยะฮ์สั่งถอดอับดุลลอห์ออกแล้วเปลี่ยนเป็นซิยาด บิน อะบีซุฟยาน (زياد بن أبي سفيان) ผู้ปกครองด้วยความโหดร้ายเป็นเจ้าเมือง ครั้นซิยาดถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 1207 อุบัยดุลลอห์ อิบนุลซิยาด (عبيد الله بن زياد) บุตรของซิยาดขึ้นครองอำนาจ ระหว่างนั้นเองฮุซัยน์บุตรอะลี ในฐานะหลานของศาสดามุฮัมมัดได้รับความนิยมจากปวงชนทั้งหลายขึ้นมาก อุบัยดุลลอห์จึงเข้ายึดเมืองกูฟะฮ์ ฮุซัยน์ส่งมุสลิม อิบน์ อะกีล (مسلم بن عقيل) ไปเป็นทูต แต่กลับถูกประหารชีวิตจนเกิดยุทธการกัรบะลาอ์ขึ้น ผลของการยุทธในครั้งนั้นทำให้ฮุซัยน์และพรรคพวกถูกตัดศีรษะทั้งหมดจนเกิดพิธีอัรบะอีนขึ้นจนถึงทุกวันนี้ แต่กาลต่อมาราชวงศ์อุมัยยะฮ์ล่มสลายลงโดยการปฏิวัติ
ล่วงสมัยอับบาซียะฮ์ บัศเราะฮ์เป็นศูนย์กลางการศึกษา อาทิ เป็นเมืองที่อยู่ของอิบนุลฮัยษัม อัล-ญาฮิซ เราะบีอะฮ์แห่งบัศเราะฮ์ รวมถึงนักวิชาการนานาสาขาวิชา ผ่านยุครุ่งเรืองไปไม่นาน เมืองบัศเราะฮ์ก็ถูกปล้นสะดมโดยกบฏซันจญ์ (ثورة الزنج, เตาเราะตุลซันจญ์) ในปี พ.ศ. 1414[3] และถูกทำลายล้างโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเกาะรอมิเฎาะฮ์ (قرامطة) ในปี พ.ศ. 1466[4] ต่อมาราชวงศ์บูญิฮียะฮ์ (بويهية) ซึ่งเป็นราชวงศ์อิหร่านนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ เข้ายึดครองเมืองบัศเราะฮ์รวมถึงเมืองบัฆดาด และประเทศอิรักส่วนใหญ่อีกด้วย ล่วงปี พ.ศ. 2206 จักรวรรดิอุษมานียะฮ์ยึดเมืองบัศเราะฮ์ได้ โดยระหว่าง พ.ศ. 2318-2322 ราชวงศ์ซันดียะฮ์ (زندية) เข้ายึดเมืองเป็นระยะเวลาสั้น ๆ สารานุกรมบริตานิกา รายงานว่าในปี พ.ศ. 2454 มีประชาชนชาวยิวประมาณ 4000 คน และชาวคริสต์อีก 6000 คน อาศัยในเมือง[5] ต่อมาเข้าสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษยึดเมืองบัศเราะฮ์จากจักรวรรดิอุษมานียะฮ์ได้ แล้วจัดผังเมืองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ราวปี พ.ศ. 2490 ประชากรในเมืองบัศเราะฮ์มีจำนวน 101,535 คน[6] สิบปีให้หลังประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 219,167 คน[7] จึงได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยบัศเราะฮ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2507 ประชากรที่มีอยู่แล้วก็เพิ่มจำนวนเรื่อยมา ต่อมาเกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน ขึ้น จนประชากรลดลงมาก ระหว่างนี้เองมียุทธการที่สำคัญ อาทิ ปฏิบัติการเราะมะฎอน และปฏิบัติการกัรบะลาอ์ 5 ศอดดาม ฮุซัยน์ ก็ขึ้นครองอำนาจกดขี่ประชาชน แม้จะมีการกบฏสักเท่าใด ศอดดามก็ใช้ความรุนแรงจัดการทั้งหมด
ล่วงเข้าสงครามอิรักเมื่อปี พ.ศ. 2546 เมืองบัศเราะฮ์ถูกกองทัพสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรยึดใช้เป็นฐานทำการ เมื่อวันที่ 21 เมษายนปีถัดมา มีการทิ้งระเบิดทั่วเมืองจนมีคนตายไป 74 คน ในใจกลางเมืองมีกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอิรักอยู่อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าจะมีการต่อต้านโดยกลุ่มมุสลิมนิกายซุนนีและชาวเคิร์ด ในการนี้มีผู้สื่อข่าวถูกลักพาตัวและสังหารด้วย[8] ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ทหารกรมอากาศโยธินแห่งสหราชอาณาจักรสองนายปลอมตนเป็นพลเรือนชาวอาหรับ เมื่อถูกตรวจค้นโดยด่านตรวจ ทหารทั้งสองก็ยิงตำรวจได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตและถูกจับกุมส่งเรือนจำจังหวัดบัศเราะฮ์ เป็นผลให้กองทัพอังกฤษตัดสินใจบุกเรือนจำเพื่อช่วยเหลือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก[9][10] ล่วง พ.ศ. 2550 อำนาจการปกครองทั้งหมดกลับคืนสู่รัฐบาลอิรักหลังจากที่ศอดดาม ฮุซัยน์ ถูกประหารชีวิต[11] เมืองได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาในภายหลังจนกระทั่งมีศูนย์กีฬาบาสราสปอร์ตซิตี
ภูมิประเทศและภูมิอากาศ
เมืองบัศเราะฮ์ตั้งอยู่ในเขตชะฏอลอะร็อบ หรือบริเวณที่แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีสบรรจบกัน บริเวณเมืองประกอบไปด้วยคลองชลประทานทำให้เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม และในอดีตก็ใช้ในการขนส่งสินค้าด้วย ตัวเมืองตั้งห่างจากอ่าวเปอร์เซียประมาณ 110 km (68 mi) สภาพภูมิอากาศเป็นเขตทะเลทรายร้อน หรือ BWh ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน ซึ่งคล้ายกับบริเวณข้างเคียง ถึงกระนั้นตัวเมืองมีฝนตกมากกว่าพื้นที่ตอนในแผ่นดิน ระหว่างช่วงฤดูร้อน คือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อุณหภูมิจะขึ้นสูงถึง 50 °C (122 °F) ส่วนในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ 20 °C (68 °F) ในบางคืนของฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
ข้อมูลภูมิอากาศของบัศเราะฮ์ | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 34 (93) |
29 (84) |
39 (102) |
42 (108) |
48 (118) |
51 (124) |
54 (129) |
51 (124) |
49 (120) |
43 (109) |
37 (99) |
30 (86) |
54 (129) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 17.7 (63.9) |
20.0 (68) |
24.5 (76.1) |
30.6 (87.1) |
36.8 (98.2) |
39.7 (103.5) |
41.3 (106.3) |
41.8 (107.2) |
39.9 (103.8) |
34.9 (94.8) |
27.1 (80.8) |
20.3 (68.5) |
31.22 (88.19) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 12.2 (54) |
14.2 (57.6) |
18.3 (64.9) |
23.9 (75) |
30.2 (86.4) |
32.9 (91.2) |
34.3 (93.7) |
33.9 (93) |
31.2 (88.2) |
26.4 (79.5) |
20.4 (68.7) |
14.5 (58.1) |
24.37 (75.86) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 6.8 (44.2) |
8.4 (47.1) |
12.2 (54) |
17.2 (63) |
23.6 (74.5) |
26.2 (79.2) |
27.4 (81.3) |
26.1 (79) |
22.6 (72.7) |
18.0 (64.4) |
13.7 (56.7) |
8.7 (47.7) |
17.58 (63.64) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | -1 (30) |
-5 (23) |
3 (37) |
8 (46) |
16 (61) |
16 (61) |
18 (64) |
21 (70) |
9 (48) |
12 (54) |
3 (37) |
-6 (21) |
−6 (21) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 31 (1.22) |
21 (0.83) |
19 (0.75) |
17 (0.67) |
5 (0.2) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
3 (0.12) |
23 (0.91) |
33 (1.3) |
152 (5.98) |
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย | 6 | 5 | 5 | 4 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 4 | 5 | 32 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 186 | 198 | 217 | 248 | 279 | 330 | 341 | 310 | 300 | 279 | 210 | 186 | 3,084 |
แหล่งที่มา 1: Climate-Data.org[12] | |||||||||||||
แหล่งที่มา 2: Weather2Travel for rainy days and sunshine[13] |
หมายเหตุ
- ↑ นิยมเรียกทั่วไปว่าบาสรา แม้ว่าการเขียนคำทับศัพท์ภาษาอาหรับฉบับราชบัณฑิตยสภาจะให้เป็น บัศเราะฮ์ หรือนักวิชาการมุสลิมบางท่านก็ใช้ บัศเราะฮฺ ก็ตาม จึงควรใช้ชื่อที่นิยมกว่าเป็นหลัก
อ้างอิง
- ↑ Sam Dagher (18 September 2007). "In the 'Venice of the East,' a history of diversity". The Christian Science Monitor. สืบค้นเมื่อ 2 January 2014.
- ↑ "Iraqi parliament recognizes Basra as economic capital".
- ↑ Andre Wink, Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World, Vol.2, (Brill, 2002), 17. – โดยทาง Questia (ต้องรับบริการ)
- ↑ Andre Wink, Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World, Vol.2, 17. – โดยทาง Questia (ต้องรับบริการ)
- ↑ . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 3 (11 ed.). 1911. p. 489.
- ↑ "Population of capital city and cities of 100,000 or more inhabitants". Demographic Yearbook 1955. New York: Statistical Office of the United Nations.
- ↑ "National Intelligence Survey. Iraq. Section 41, Population" (PDF). CIA. 1960.
- ↑ "Steven Vincent". Committee to Protect Journalists. 2005.
- ↑ "UK soldiers 'freed from militia'". BBC. 20 September 2005. สืบค้นเมื่อ 17 March 2012.
- ↑ "British smash jail walls to free 2 arrested soldiers". San Francisco Gate. 20 September 2005. สืบค้นเมื่อ 17 March 2012.
- ↑ "UK troops return Basra to Iraqis". BBC News. 16 December 2007. สืบค้นเมื่อ 1 January 2010.
- ↑ "Climate: Basra - Climate graph, Temperature graph, Climate table". Climate-Data.org. สืบค้นเมื่อ 22 August 2013.
- ↑ "Basra Climate and Weather Averages, Iraq". Weather2Travel. สืบค้นเมื่อ 22 August 2013.
- Hallaq, Wael. The Origins and Evolution of Islamic Law. Cambridge University Press, 2005
- Hawting, Gerald R. The First Dynasty of Islam. Routledge. 2nd ed, 2000
- Madelung, Wilferd. "Abd Allah b. al-Zubayr and the Mahdi" in the Journal of Near Eastern Studies 40. 1981. pp. 291–305.
- Vincent, Stephen. Into The Red Zone: A Journey Into the Soul of Iraq. ISBN 1-890626-57-0.
แหล่งข้อมูลอื่น
- . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 3 (11 ed.). 1911.
- Iraq Inter-Agency Information & Analysis Unit Reports, Maps and Assessments of Iraq's Governorates from the UN Inter-Agency Information & Analysis Unit
- Iraq Image – Basra Satellite Observation
- 2003 Basra map (NIMA)
- Boomtown Basra
- Muhammad and the Spread of Islam by Sanderson Beck
- The Textual History of the Qur'an, Arthur Jeffery, 1946
- Codex of Abu Musa al-Ashari, Arthur Jeffery, 1936