ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อัลแบร์ท โฮฟมัน"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
revised. |
||
บรรทัด 3: | บรรทัด 3: | ||
[[ไฟล์:Albert Hofmann.jpg|thumb|200px|ดร.อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ เมื่ออายุ 100 ปีเมื่อ พ.ศ. 2549]] |
[[ไฟล์:Albert Hofmann.jpg|thumb|200px|ดร.อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ เมื่ออายุ 100 ปีเมื่อ พ.ศ. 2549]] |
||
'''อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์''' ({{lang- |
'''อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์''' ({{lang-de|Albert Hofmann}}; [[11 มกราคม]] [[พ.ศ. 2449]] - [[29 เมษายน]] [[พ.ศ. 2551]]) เป็นนักเคมีคนสำคัญของ[[ประเทศสวิสเซอร์แลนด์|สวิตเซอร์แลนด์]] ได้รับการขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่ง[[แอลเอสดี]]" เกิดที่[[บาเดิน|เมืองบาเดิน]] สวิสเซอร์แลนด์ จบการศึกษาด้าน[[เคมี]]จาก[[มหาวิทยาลัยซูริก]] ขณะเรียนมีความสนใจเคมีที่เกี่ยวกับพืชและสัตว์ ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่การค้นคว้าวิจัยงานสำคัญในโครงสร้างของสารที่มีอยู่ทั่วไปในสัตว์ คือ "[[ไคทิน]]" (สารหลักในเปลือกกุ้ง ปูและสัตว์ที่คล้ายกัน) ซึ่งเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของฮอฟมานน์ |
||
ดร.อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ ได้เข้าทำงานในแผนกเภสัช-เคมีใน |
ดร.อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ ได้เข้าทำงานในแผนกเภสัช-เคมีในสถานีทดลองของบริษัท[[แซนดอส]] (ปัจจุบันคือ[[โนวาร์ติส|บริษัทโนวาร์ติส]]) เมือง[[บาเซิล]] โดยทำการวิจัยพืชหัวที่ใช้ทำยา และ[[เออร์กอต]]ของพวก[[เห็ดรา]] เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสังเคราะห์และทำความบริสุทธิ์ให้กับตัวยาสำคัญที่จะนำมาใช้ทางเภสัชกรรม |
||
อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์เสียชีวิตด้วยภาวะ[[กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด|หัวใจล้ม]]ในปี พ.ศ. 2551 ขณะมีอายุได้ 102 ปี<ref>{{cite news|title=Albert Hofmann, the Father of LSD, Dies at 102|url=https://www.nytimes.com/2008/04/30/world/europe/30hofmann.html?_r=1&|accessdate=2 May 2013|newspaper=The New York Times|date=30 April 2008|author=Craig S Smith}}</ref> |
|||
== ชีวิตการทำงาน == |
== ชีวิตการทำงาน == |
||
งานค้นคว้าเกี่ยวกับ[[กรดไลเซอร์จิก]]ของฮอฟมานน์นำไปสู่การสังเคราะห์แอลเอสดี – 25 เมื่อ |
งานค้นคว้าเกี่ยวกับ[[กรดไลเซอร์จิก]]ของฮอฟมานน์นำไปสู่การสังเคราะห์แอลเอสดี – 25 เมื่อ พ.ศ. 2481 ซึ่งในอีกห้าปีต่อมาหลังจากถูกลืม ฮอฟมานน์ก็ได้กลับมาค้นพบผลโดยความบังเอิญว่าสารแอลเอสดีเป็นตัวก่ออาการโรคจิต โดยฮอฟมานน์รับรู้ผลของอาการได้หลังจากการซึมของสารเข้าสู่ร่างกายของเขาทางปลายนิ้ว เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2486 อีก 3 วันต่อมาในวันที่ 19 เมษายน (ต่อมาเรียกวันนี้กันว่า “วันจักรยาน” หลังจากที่ฮอฟมานน์ขี่จักรยานกลับบ้านภายใต้อิทธิพลของแอลเอสดี) ดร.ฮอฟมานน์จงใจเสพย์สารนี้เป็นจำนวน 250 ไมโครกรัมและได้ประสบกับอิทธิพลของสารในระดับที่เข้มขึ้น หลังจากได้ทดลองกับตนเองอีกหลายครั้ง ฮอฟมานน์จึงได้เขียนรายงานผลการทดลองนี้เมื่อวันที่ 22 เมษายน ปีเดียวกัน |
||
ฮอฟมานน์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแผนกผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของบริษัทแซนดอสและได้ทำการทดลอง[[สาร |
ฮอฟมานน์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแผนกผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของบริษัทแซนดอสและได้ทำการทดลอง[[สารหลอนประสาท]]ที่พบในเห็ดเม็กซิกันและพืชชนิดอื่นที่ชนพื้นเมืองใช้เสพ ทำให้นำไปสู่การสังเคราะห์ “[[ไซโลไซบิน]]” (psilocybin) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของ “เห็ดวิเศษ” ดังกล่าว |
||
นอกจากนี้ ฮอฟมานน์ยังสนใจในเมล็ดของต้น |
นอกจากนี้ ฮอฟมานน์ยังสนใจในเมล็ดของต้นคริสต์มาสไวน์ (''Turbina corymbosa'') ซึ่งได้พบอย่างน่าแปลกใจว่าสารที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของมล็ดพืชชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับแอลเอสดีเป็นอย่างมาก |
||
ในปี |
ในปี พ.ศ. 2505 ฮอฟมานน์และภริยาได้เดินทางไปเยือน[[เม็กซิโก]]ตอนใต้เพื่อเสาะหาต้นไม้ชื่อ “เซจออฟเดอะดิไวเนอส์” (''Salvia divinorum'') แม้จะขออนุญาตนำกลับประเทศได้ แต่ฮอฟมานน์ก็ไม่สามารถแยกและบ่งชี้องค์ประกอบหลักทางเคมีที่สำคัญของพืชชนิดนี้ได้ |
||
ฮอฟมานน์เรียกแอลเอสดีว่า “''ยาแห่งจิตวิญญาณ''” และหงุดหงิดจากการที่ประชาคมโลกพากันถือว่าสารนี้เป็นสิ่งต้องห้าม ทำให้สารนี้หายไปจากบนดินกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ฮอฟมานน์กล่าวว่า “สารนี้ได้ถูกใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ทางจิตอย่างระมัดระวังมานานถึง 10 ปี” ก่อนที่จะถูกกลุ่มเยาวชนยุค |
ฮอฟมานน์เรียกแอลเอสดีว่า “''ยาแห่งจิตวิญญาณ''” และหงุดหงิดจากการที่ประชาคมโลกพากันถือว่าสารนี้เป็นสิ่งต้องห้าม ทำให้สารนี้หายไปจากบนดินกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ฮอฟมานน์กล่าวว่า “สารนี้ได้ถูกใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ทางจิตอย่างระมัดระวังมานานถึง 10 ปี” ก่อนที่จะถูกกลุ่มเยาวชนยุคทศวรรษ 1960 มายึดไปใช้ในทางที่ผิด ทำให้สารนี้กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ถูกต่อต้าน แต่อย่างไรก็ดี ฮอฟมานน์ยอมรับว่าหากสารนี้ตกอยู่ในมือของคนไม่ดีก็มีอันตรายมากได้ |
||
ฮอฟมานน์ได้เขียนบทความทาง[[วิทยาศาสตร์]]มากกว่า 100 บทความและหนังสืออีกหลายเล่มรวมทั้ง “''แอลเอสดี ลูกเจ้าปัญหาของข้าพเจ้า''” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น[[อัตชีวประวัติ]]และการบรรยายถึงการขี่จักรยานที่โด่งดังของตน |
ฮอฟมานน์ได้เขียนบทความทาง[[วิทยาศาสตร์]]มากกว่า 100 บทความและหนังสืออีกหลายเล่มรวมทั้ง “''แอลเอสดี ลูกเจ้าปัญหาของข้าพเจ้า''” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น[[อัตชีวประวัติ]]และการบรรยายถึงการขี่จักรยานที่โด่งดังของตน |
||
ในโอกาสครบอายุ 100 ปีเมื่อวันที่ 11 มกราคม [[พ.ศ. 2549]] ฮอฟมานน์กลับมาเป็นจุดเด่นของ “''[[การประชุมเอกสารัตถ์]]นานาชาติว่าด้วยแอลเอสดี เนื่องในวาระครบอายุ 100 ปีของ |
ในโอกาสครบอายุ 100 ปีเมื่อวันที่ 11 มกราคม [[พ.ศ. 2549]] ฮอฟมานน์กลับมาเป็นจุดเด่นของ “''[[การประชุมเอกสารัตถ์]]นานาชาติว่าด้วยแอลเอสดี เนื่องในวาระครบอายุ 100 ปีของอัลเบิร์ต ฮอฟมานน์''” ในเมืองบาเซลที่ทำให้สื่อต่าง ๆ ให้ความสนใจในการค้นพบแอลเอสดีของเขาอีกครั้งหนึ่ง |
||
== อ้างอิง == |
|||
{{รายการอ้างอิง}} |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
||
บรรทัด 32: | บรรทัด 37: | ||
[[หมวดหมู่:นักเคมีชาวสวิส|อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์]] |
[[หมวดหมู่:นักเคมีชาวสวิส|อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์]] |
||
[[หมวดหมู่:ชาวสวิสที่มีอายุเกิน 100 ปี]] |
[[หมวดหมู่:ชาวสวิสที่มีอายุเกิน 100 ปี]] |
||
[[หมวดหมู่:เสียชีวิตจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:52, 1 กันยายน 2560
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ (เยอรมัน: Albert Hofmann; 11 มกราคม พ.ศ. 2449 - 29 เมษายน พ.ศ. 2551) เป็นนักเคมีคนสำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับการขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งแอลเอสดี" เกิดที่เมืองบาเดิน สวิสเซอร์แลนด์ จบการศึกษาด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยซูริก ขณะเรียนมีความสนใจเคมีที่เกี่ยวกับพืชและสัตว์ ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่การค้นคว้าวิจัยงานสำคัญในโครงสร้างของสารที่มีอยู่ทั่วไปในสัตว์ คือ "ไคทิน" (สารหลักในเปลือกกุ้ง ปูและสัตว์ที่คล้ายกัน) ซึ่งเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของฮอฟมานน์
ดร.อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ ได้เข้าทำงานในแผนกเภสัช-เคมีในสถานีทดลองของบริษัทแซนดอส (ปัจจุบันคือบริษัทโนวาร์ติส) เมืองบาเซิล โดยทำการวิจัยพืชหัวที่ใช้ทำยา และเออร์กอตของพวกเห็ดรา เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสังเคราะห์และทำความบริสุทธิ์ให้กับตัวยาสำคัญที่จะนำมาใช้ทางเภสัชกรรม
อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มในปี พ.ศ. 2551 ขณะมีอายุได้ 102 ปี[1]
ชีวิตการทำงาน
งานค้นคว้าเกี่ยวกับกรดไลเซอร์จิกของฮอฟมานน์นำไปสู่การสังเคราะห์แอลเอสดี – 25 เมื่อ พ.ศ. 2481 ซึ่งในอีกห้าปีต่อมาหลังจากถูกลืม ฮอฟมานน์ก็ได้กลับมาค้นพบผลโดยความบังเอิญว่าสารแอลเอสดีเป็นตัวก่ออาการโรคจิต โดยฮอฟมานน์รับรู้ผลของอาการได้หลังจากการซึมของสารเข้าสู่ร่างกายของเขาทางปลายนิ้ว เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2486 อีก 3 วันต่อมาในวันที่ 19 เมษายน (ต่อมาเรียกวันนี้กันว่า “วันจักรยาน” หลังจากที่ฮอฟมานน์ขี่จักรยานกลับบ้านภายใต้อิทธิพลของแอลเอสดี) ดร.ฮอฟมานน์จงใจเสพย์สารนี้เป็นจำนวน 250 ไมโครกรัมและได้ประสบกับอิทธิพลของสารในระดับที่เข้มขึ้น หลังจากได้ทดลองกับตนเองอีกหลายครั้ง ฮอฟมานน์จึงได้เขียนรายงานผลการทดลองนี้เมื่อวันที่ 22 เมษายน ปีเดียวกัน
ฮอฟมานน์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแผนกผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของบริษัทแซนดอสและได้ทำการทดลองสารหลอนประสาทที่พบในเห็ดเม็กซิกันและพืชชนิดอื่นที่ชนพื้นเมืองใช้เสพ ทำให้นำไปสู่การสังเคราะห์ “ไซโลไซบิน” (psilocybin) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของ “เห็ดวิเศษ” ดังกล่าว
นอกจากนี้ ฮอฟมานน์ยังสนใจในเมล็ดของต้นคริสต์มาสไวน์ (Turbina corymbosa) ซึ่งได้พบอย่างน่าแปลกใจว่าสารที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของมล็ดพืชชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับแอลเอสดีเป็นอย่างมาก
ในปี พ.ศ. 2505 ฮอฟมานน์และภริยาได้เดินทางไปเยือนเม็กซิโกตอนใต้เพื่อเสาะหาต้นไม้ชื่อ “เซจออฟเดอะดิไวเนอส์” (Salvia divinorum) แม้จะขออนุญาตนำกลับประเทศได้ แต่ฮอฟมานน์ก็ไม่สามารถแยกและบ่งชี้องค์ประกอบหลักทางเคมีที่สำคัญของพืชชนิดนี้ได้
ฮอฟมานน์เรียกแอลเอสดีว่า “ยาแห่งจิตวิญญาณ” และหงุดหงิดจากการที่ประชาคมโลกพากันถือว่าสารนี้เป็นสิ่งต้องห้าม ทำให้สารนี้หายไปจากบนดินกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ฮอฟมานน์กล่าวว่า “สารนี้ได้ถูกใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ทางจิตอย่างระมัดระวังมานานถึง 10 ปี” ก่อนที่จะถูกกลุ่มเยาวชนยุคทศวรรษ 1960 มายึดไปใช้ในทางที่ผิด ทำให้สารนี้กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ถูกต่อต้าน แต่อย่างไรก็ดี ฮอฟมานน์ยอมรับว่าหากสารนี้ตกอยู่ในมือของคนไม่ดีก็มีอันตรายมากได้
ฮอฟมานน์ได้เขียนบทความทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 100 บทความและหนังสืออีกหลายเล่มรวมทั้ง “แอลเอสดี ลูกเจ้าปัญหาของข้าพเจ้า” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นอัตชีวประวัติและการบรรยายถึงการขี่จักรยานที่โด่งดังของตน
ในโอกาสครบอายุ 100 ปีเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2549 ฮอฟมานน์กลับมาเป็นจุดเด่นของ “การประชุมเอกสารัตถ์นานาชาติว่าด้วยแอลเอสดี เนื่องในวาระครบอายุ 100 ปีของอัลเบิร์ต ฮอฟมานน์” ในเมืองบาเซลที่ทำให้สื่อต่าง ๆ ให้ความสนใจในการค้นพบแอลเอสดีของเขาอีกครั้งหนึ่ง
อ้างอิง
- ↑ Craig S Smith (30 April 2008). "Albert Hofmann, the Father of LSD, Dies at 102". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2 May 2013.