ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ"
ล เก็บกวาดแม่แบบเรียงลำดับ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยแอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 3: | บรรทัด 3: | ||
'''สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ''' ({{lang-en|Architecture of ancient Greece}}) เป็นลักษณะ[[สถาปัตยกรรม]]ที่สูญหายไปจาก[[กรีซ]]มาตั้งแต่ปลาย[[Helladic period|สมัยเฮลลาดิค]] (Helladic period) หรือสมัยไมซีเนียน (ราว 1200 ก่อนคริสต์ศักราช) มาจนกระทั่งราว 700 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวโรมันมีความมั่งคั่งและฟื้นตัวขึ้นจนถึงจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับสาธารณชนขึ้นได้อีก แต่ในเมื่อสิ่งก่อสร้างของกรีกหลายแห่งในสมัยอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสต์ศักราช) สร้างด้วยไม้หรือ อิฐดินเหนียว หรือ ดินเหนียว จึงทำให้ไม่มีที่ใดที่ยังเหลือหรอให้ได้เห็น นอกจากแผนผังบนพื้นอยู่สองสามแห่ง และไม่มีหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยแรกหรือคำบรรยายเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่ |
'''สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ''' ({{lang-en|Architecture of ancient Greece}}) เป็นลักษณะ[[สถาปัตยกรรม]]ที่สูญหายไปจาก[[กรีซ]]มาตั้งแต่ปลาย[[Helladic period|สมัยเฮลลาดิค]] (Helladic period) หรือสมัยไมซีเนียน (ราว 1200 ก่อนคริสต์ศักราช) มาจนกระทั่งราว 700 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวโรมันมีความมั่งคั่งและฟื้นตัวขึ้นจนถึงจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับสาธารณชนขึ้นได้อีก แต่ในเมื่อสิ่งก่อสร้างของกรีกหลายแห่งในสมัยอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสต์ศักราช) สร้างด้วยไม้หรือ อิฐดินเหนียว หรือ ดินเหนียว จึงทำให้ไม่มีที่ใดที่ยังเหลือหรอให้ได้เห็น นอกจากแผนผังบนพื้นอยู่สองสามแห่ง และไม่มีหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยแรกหรือคำบรรยายเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่ |
||
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโดยทั่วไปจะเป็นไม้ ที่ใช้ในการรองรับคานที่รับหลังคา, พลาสเตอร์สำหรับอ่างและอ่างอาบน้ำ, อิฐดิบสำหรับก่อผนังโดยเฉพาะสำหรับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล, [[หินปูน]] และ [[หินอ่อน]] ในการก่อสร้างเสา, กำแพง หรือตอนบนของเทวสถาน หรือ ตึกที่ทำการสาธารณะ, “[[terracotta|เครื่องดินเผาสีหม้อใหม่]]”<ref>[http://rirs3.royin.go.th/coinages/webcoinage.php ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน]</ref>ที่ใช้เป็นกระเบื้องปูหลังคาและเครื่องตกแต่ง และโลหะโดยเฉพาะ[[ |
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโดยทั่วไปจะเป็นไม้ ที่ใช้ในการรองรับคานที่รับหลังคา, พลาสเตอร์สำหรับอ่างและอ่างอาบน้ำ, อิฐดิบสำหรับก่อผนังโดยเฉพาะสำหรับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล, [[หินปูน]] และ [[หินอ่อน]] ในการก่อสร้างเสา, กำแพง หรือตอนบนของเทวสถาน หรือ ตึกที่ทำการสาธารณะ, “[[terracotta|เครื่องดินเผาสีหม้อใหม่]]”<ref>[http://rirs3.royin.go.th/coinages/webcoinage.php ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน]</ref>ที่ใช้เป็นกระเบื้องปูหลังคาและเครื่องตกแต่ง และโลหะโดยเฉพาะ[[สำริด]]ที่ใช้ในการตกแต่งรายละเอียด [[สถาปนิก]]ใช้วัสดุดังกล่าวในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอย่างง่ายๆ ห้าประเภท: ศาสนสถาน, ที่ทำการราชการ, ที่อยู่อาศัย, ที่เก็บศพ และ สถานที่เพื่อการบันเทิง |
||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:13, 27 มีนาคม 2560
สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ (อังกฤษ: Architecture of ancient Greece) เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่สูญหายไปจากกรีซมาตั้งแต่ปลายสมัยเฮลลาดิค (Helladic period) หรือสมัยไมซีเนียน (ราว 1200 ก่อนคริสต์ศักราช) มาจนกระทั่งราว 700 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวโรมันมีความมั่งคั่งและฟื้นตัวขึ้นจนถึงจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับสาธารณชนขึ้นได้อีก แต่ในเมื่อสิ่งก่อสร้างของกรีกหลายแห่งในสมัยอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสต์ศักราช) สร้างด้วยไม้หรือ อิฐดินเหนียว หรือ ดินเหนียว จึงทำให้ไม่มีที่ใดที่ยังเหลือหรอให้ได้เห็น นอกจากแผนผังบนพื้นอยู่สองสามแห่ง และไม่มีหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยแรกหรือคำบรรยายเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโดยทั่วไปจะเป็นไม้ ที่ใช้ในการรองรับคานที่รับหลังคา, พลาสเตอร์สำหรับอ่างและอ่างอาบน้ำ, อิฐดิบสำหรับก่อผนังโดยเฉพาะสำหรับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล, หินปูน และ หินอ่อน ในการก่อสร้างเสา, กำแพง หรือตอนบนของเทวสถาน หรือ ตึกที่ทำการสาธารณะ, “เครื่องดินเผาสีหม้อใหม่”[1]ที่ใช้เป็นกระเบื้องปูหลังคาและเครื่องตกแต่ง และโลหะโดยเฉพาะสำริดที่ใช้ในการตกแต่งรายละเอียด สถาปนิกใช้วัสดุดังกล่าวในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอย่างง่ายๆ ห้าประเภท: ศาสนสถาน, ที่ทำการราชการ, ที่อยู่อาศัย, ที่เก็บศพ และ สถานที่เพื่อการบันเทิง
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- Fletcher, Banister; Cruickshank, Dan, Sir Banister Fletcher's a History of Architecture, Architectural Press, 20th edition, 1996 (first published 1896). ISBN 0750622679. Cf. Part One, Chapters 6 and 7.