ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แปซิฟิกใต้ในอาณัติ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ก่อนการเข้ามาของญี่ปุ่น
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 63: บรรทัด 63:
{{รายการอ้างอิง}}
{{รายการอ้างอิง}}
</div>
</div>


[[หมวดหมู่:อดีตอาณานิคมของญี่ปุ่น]]
[[หมวดหมู่:ดินแดนในอาณัติของสันนิบาตชาติ]]
[[หมวดหมู่:รัฐสิ้นสภาพในทวีปโอเชียเนีย]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:43, 2 มกราคม 2560

แปซิฟิกใต้ในอาณัติ

南洋群島
Nan'yō Guntō
1919–1947
ตราแผ่นดินของแปซิฟิกใต้ในอาณัติ
ตราแผ่นดิน
ดินแดนอาณัติของสันนิบาติชาติในแปซิฟิก โดยหมายเลข 1 คือดินแดนแปซิฟิกใต้ในอาณัติ
ดินแดนอาณัติของสันนิบาติชาติในแปซิฟิก โดยหมายเลข 1 คือดินแดนแปซิฟิกใต้ในอาณัติ
สถานะดินแดนในอาณัติของจักรวรรดิญี่ปุ่น
เมืองหลวงคอรอร์
ภาษาทั่วไปญี่ปุ่น (ทางการ)
ออสโตรนีเซียน
จักรพรรดิ 
• 1919–1926
จักรพรรดิไทโช (โยะชิฮิโตะ)
• 1926–1947
จักรพรรดิโชวะ (ฮิโระฮิโตะ)
ข้าหลวง 
• 1919–1923 (คนแรก)
โทะชิโระ เทะสุกะ
• 1943–1946 (คนสุดท้าย)
โบะชิโระ โฮะโซะกะยะ
ยุคประวัติศาสตร์จักรวรรดิญี่ปุ่น
28 มิถุนายน 1919
18 กรกฎาคม 1947
สกุลเงินเยน, ปอนด์โอเชียเนีย
ก่อนหน้า
ถัดไป
เยอรมันนิวกินี
แปซิฟิกใต้ในภาวะทรัสตี
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ ปาเลา
 หมู่เกาะมาร์แชลล์
 ไมโครนีเชีย
 หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา

แปซิฟิกใต้ในอาณัติ (อังกฤษ: South Pacific Mandate) เป็นดินแดนภายใต้การดูแลของสันนิบาตชาติ ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ครอบคลุม 3 ประเทศ 1 ดินแดน คือ สาธารณรัฐปาเลา สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ สหพันธรัฐไมโครนีเซียและดินแดนหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน แปซิฟิกใต้ในอาณัติเป็นชื่อทางการของอาณานิคมหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางเหนือเส้นศูนย์สูตร ซึ่งสันนิบาตชาติมอบหมู่เกาะในภูมิภาคไมโครนีเซียอันเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมเยอรมันนิวกินีให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่นหลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุด[1]

ญี่ปุ่นเข้าปกครองแปซิฟิกใต้ในอาณัติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 – 1947 ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "หมู่เกาะทะเลใต้ในการอาณัติของญี่ปุ่น" (อังกฤษ: Japanese mandate for the South Seas Islands) (日本委任統治領南洋群島, อักษรโรมัน: Nihon Inin Tōchi-ryō Nan'yō Guntō) โดยการเข้าปกครองของญี่ปุ่นนั้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อแปซิฟิกใต้ในอาณัติหลายประการทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ยังพบกับการเข้าใช้ประโยชน์จากดินแดนแห่งนี้ในรูปแบบต่าง ๆ การเข้าปกครองดินแดนแห่งนี้ของจักรวรรดิญี่ปุ่นสิ้นสุดลงหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสหประชาชาติได้มอบหมายดินแดนบริเวณดังกล่าวให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ดูแลแทนในชื่อดินแดนแปซิฟิกใต้ในภาวะทรัสตี จนกระทั่งบางประเทศในภูมิภาคไมโครนีเซียได้รับเอกราช

ประวัติศาสตร์ก่อนการเข้ามาของญี่ปุ่น

ประวัติศาสตร์ภูมิภาคไมโครนีเซียก่อนการเข้ามาปกครองของจักรวรรดิญี่ปุ่นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ช่วงหลัก คือ ระยะแรก เป็นระยะทีชาวไมโครนีเซียเข้ามาตั้งถิ่นฐานและสร้างชุมชน และระยะที่สอง เป็นระยะที่จักรวรรดิอาณานิคมเยอรมนีเริ่มเข้าครอบครองหมู่เกาะในบริเวณนี้

จากการสำรวจและวิเคราะห์ทางด้านโบราณคดี นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาสันนิษฐานว่าบริเวณภูมิภาคไมโครนีเซียเริ่มมีการตั้งถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ 4,000 – 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลายเป็นบรรพบุรุษของชาวชามอร์โร (Chamorro) ชาวไมโครนีเซีย (Micronesia) และชาวปาเลา (Palau) ในปัจจุบัน[2] การอาศัยอยู่ของผู้คนในบริเวณนี้มักอาศัยอยู่กันแบบสังคมชนเผ่า แต่ก็พบการตั้งศูนย์กลางทางการเมืองในรูปแบบการปกครองอาณาจักรทางทะเลขึ้นที่เกาะเทมเวน (Temwen Island) ในเขตโบราณสถาน นาน มาโดล (Nan Madol) ในรัฐโปนเปย์ (Pohnpei) ประเทศไมโครนีเซีย ซึ่งโบราณสถานสร้างด้วยหินมีการเชื่อมคลองและได้รับการยกย่องว่าเป็นเวนิสแห่งแปซิฟิก [3]  ดินแดนบริเวณนี้ได้รับการสำรวจโดยนักสำรวจชาวตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวสเปนและโปรตุเกสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับชาวพื้นเมืองมากนัก ในช่วงเวลาต่อมาสเปนได้เข้าครอบครองหมู่เกาะบริเวณนี้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 19

ในปี ค.ศ. 1898 สเปนทำสงครามกับสหรัฐอเมริกา ผลของสงครามในครั้งนั้นสเปนพ่ายแพ้ จึงจำเป็นต้องยกเกาะกวม (Guam) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมาเรียนาให้แก่สหรัฐอเมริกา และสเปนดำเนินการขายหมู่เกาะมาเรียนาที่เหลือและหมู่เกาะแคโรไลน์ให้กับจักรวรรดิอาณานิคมเยอรมนี ส่งผลให้เยอรมนีเริ่มเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคไมโครนีเซีย บริหารภายใต้การปกครองของอาณานิคมเยอรมันนิวกินี โดยใช้ประโยชน์อาณานิคมแห่งนี้ในฐานะท่าเรือรบ [4] เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น ในช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่นมองเห็นโอกาสในการขยายอิทธิพลของจักรวรรดิในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและมหาสมุทรแปซิฟิก จึงเริ่มการประกาศสงครามกับเยอรมนีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 โดยจุดเน้นของญี่ปุ่นในการทำสงครามกับเยอรมนีคือการยึดท่าเรือและแหล่งธุรกิจในฉางตง ในเวลาต่อมาชาติพันธมิตรต้องการให้ญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันขบวนสินค้าให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรอินเดียและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับการยกส่วนหนึ่งของฉางตงและหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกที่เป็นอาณานิคมของเยอรมนีให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น [5] เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นได้เป็นส่วนหนึ่งในการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีส่วนร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ค่อนข้างน้อย แต่ก็ได้รับการยอมรับในฐานะชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งของโลก มีสถานะเป็นสมาชิกถาวรของสภาสันนิบาตชาติ นอกจากนี้ญี่ปุ่นได้ดินแดนฉางตง และหมู่เกาะตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกตามสัญญา หมู่เกาะตอนเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเหล่านี้ สันนิบาตชาติจัดให้เป็นดินแดนในอาณัติระดับซี (Class – C Mandate) ซึ่งเป็นดินแดนที่สันนิบาตชาติมองว่าชาติเจ้าของดินแดนในอาณัติควรบริหารจัดการตามกฎหมายในฐานะดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศแม่ [5]

การที่ญี่ปุ่นได้ดินแดนแปซิฟิกใต้ในอาณัติ เนื่องจากเป็นข้อแลกเปลี่ยนสำคัญในการเข้าร่วมช่วยเหลือชาติสัมพันธมิตรของญี่ปุ่น ซึ่งการเข้าช่วยเหลือของญี่ปุ่นแม้มีเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญมาก เนื่องจากชาติสัมพันธมิตรชาติอื่นติดพันการรบในยุโรป ส่งผลให้ไม่สามารถคุ้มกันกองเรือของแต่ละประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามในระยะแรก คณะที่ประชุมของสันนิบาติชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ไม่ต้องการมอบดินแดนอดีตอาณานิคมเยอรมันนิวกินีส่วนหนึ่งให้กับญึ่ปุ่น โดยสหรัฐอเมริกามองว่าหากมอบดินแดนส่วนนี้ให้กับญี่ปุ่น เกาะกวม สถานีวิทยุสื่อสารบนเกาะแยป (Yap) และความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาจะเป็นอันตราย[4] แต่ที่ประชุมสันนิบาติชาติเกรงว่าหากไม่มอบดินแดนส่วนนี้ให้กับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจะไม่เข้าเป็นสมาชิกของสันนิบาติชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้สันนิบาติชาติได้ปฏิเสธข้อเสนอของญี่ปุ่นในข้อตกลงการยกเลิกการเหยียดชาติพันธุ์ โดยสันนิบาติชาติมองว่าหากญี่ปุ่นไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งครั้งใหญ่ตามมา [6]

การที่ญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้สร้างความพึงพอใจให้กับสื่อมวลชนและนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้เอะโนะโมะโตะ ทะเคอะกิ (Enomoto Takeaki) ต้องการสำรวจดินแดนในบริเวณนี้เพื่อหาอาณานิคมแห่งใหม่ให้กับญี่ปุ่น แต่พบว่าเกาะเหล่านี้ตกเป็นของเยอรมนีและสเปนแล้วในขณะนั้น[7] ซึ่งญี่ปุ่นต้องการหมู่เกาะในบริเวณนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เป็นสะพานเชื่อมต่อดินแดนทางใต้ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคเมลานีเซีย) รวมไปถึงเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างฮาวายและฟิลิปปินส์ อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นฐานทัพของทัพเรือในการปกป้องประเทศจากวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้[8]

อ้างอิง

  1. Fifield, Russell. 1946. Disposal of the Carolines, Marshalls, and Marianas at the Paris Peace Conference. The American Historical Review 51(3): 472 – 479.
  2. Felix M. Keesing. 1932. Education and Native Peoples: A Study in Objectives. Pacific Affairs 5(8): 675-688.
  3. Nan Madol:Celemonial Center of Eastern Micronesia (pdf), UNESCO, 2015, สืบค้นเมื่อ 1 January 2017
  4. 4.0 4.1 Earl S. Pomeroy. 1948. American Policy Respecting the Marshalls, Carolines, and Marianas, 1898-1941. Pacific Historical Review 17(1): 43 – 53.
  5. 5.0 5.1 Burkman, Thomas. 2008. Japan and the League of Nation. Honolulu: University of Hawaii press.
  6. E. T. Williams. 1933. Japan's Mandate in the Pacific. The American Journal of International Law 27(3): 428 – 439.
  7. Ti Ngo. 2012. Mapping Economic Development: The South Seas Government and Sugar Production in Japan’s South Pacific Mandate, 1919–1941. East Asian History and Culture Review.
  8. Peattie, Mark. 1988. Nan'yo : The Rise and Fall of the Japanese in Micronesia, 1885-1945 Pacific Islands Monograph Series ; No. 4. Honolulu: University of Hawaii Press.