ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บีตรูต"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 18: | บรรทัด 18: | ||
==ประวัติศาสตร์== |
==ประวัติศาสตร์== |
||
บีตรูตมีวิวัฒนาการมาจาก[[ป่า]] seabeet ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของชายฝั่งจาก[[ประเทศอินเดีย]]ไปยัง[[ประเทศอังกฤษ]] สองพันปีที่ผ่านมาก่อนที่จะถูกพัฒนาโดยเทคนิคการเพาะปลูกบีตรูตมีรากแครอทรูปและมีเพียงใบถูกกิน (รากเล็กๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาโรคโดยชาวกรีกโบราณและโรมัน) มีความหลากหลายของลักษณะรากกลมได้รับการพัฒนาในรอบศตวรรษที่สิบหกและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุโรปสองสามร้อยปีต่อมา ในปัจจุบันนี้ บีตรูตเป็นหัวพืชใต้ดินปลูกมากในแถบ[[ยุโรป]]และถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในแถบสแกนดิเนเวียุโรปตะวันออกและ[[รัสเซีย]] |
บีตรูตมีวิวัฒนาการมาจาก[[ป่า]] seabeet ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของชายฝั่งจาก[[ประเทศอินเดีย]]ไปยัง[[ประเทศอังกฤษ]] สองพันปีที่ผ่านมาก่อนที่จะถูกพัฒนาโดยเทคนิคการเพาะปลูกบีตรูตมีรากแครอทรูปและมีเพียงใบถูกกิน (รากเล็กๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาโรคโดยชาวกรีกโบราณและโรมัน) มีความหลากหลายของลักษณะรากกลมได้รับการพัฒนาในรอบศตวรรษที่สิบหกและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุโรปสองสามร้อยปีต่อมา ในปัจจุบันนี้ บีตรูตเป็นหัวพืชใต้ดินปลูกมากในแถบ[[ยุโรป]]และถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในแถบสแกนดิเนเวียุโรปตะวันออกและ[[รัสเซีย]]<ref>[http://eattheseasons.co.uk/Archive/beetroot.htm].กิน บีทรูท </ref> |
||
==ลักษณะทั่วไป== |
==ลักษณะทั่วไป== |
||
บรรทัด 42: | บรรทัด 42: | ||
==งานวิจัย== |
==งานวิจัย== |
||
รายงานจากบีบีซีอ้างผลการศึกษาทีมนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยเอก |
รายงานจากบีบีซีอ้างผลการศึกษาทีมนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยเอกซิเทอร์ (Exeter U, UK) พบว่า การดื่มน้ำบีตรูตสร้างเสริมพละกำลังและอึดขึ้นจนอาจออกกำลังได้นานขึ้นถึง 16% |
||
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า น้ำบีตรูต มีส่วนช่วยลดความดันเลือด ส่วนการกิน[[ผัก]] ผลไม้ นมไขมันต่ำ [[ถั่ว]] [[งา]] ก็ช่วยลดได้เช่นกัน ดังปรากฏในอาหารแบบแดช (DASH) หรืออาหารต้าน[[ความดันเลือดสูง]] การศึกษานี้มีจุดอ่อนที่ทำในกลุ่มตัวอย่างน้อยมาก คือ 8 คน อายุ 19-38 ราย ให้ดื่มน้ำบีตรูตวันละ 500 มล. = 0.5 ลิตร 6 วันติดต่อกันก่อนทดสอบด้วยจักรยานออกกำลังกาย หลังจากนั้นทดสอบซ้ำด้วยการให้ดื่มน้ำแบลคเคอเรนท์ แทน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างทำเวลาได้เร็วขึ้นประมาณ 2%, ความดันเลือดลดลง, ออกกำลังได้นานขึ้นจนถึง 16% กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ[[ไนไตรต์]] (nitrite) ในผักอาจเป็นสารตั้งต้นของ[[ไนตริกออกไซด์]] (nitric oxide) ซึ่งมีฤทธิ์ขยายเส้นเลือดอย่างอ่อนๆ ทำให้[[เลือด]]ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น การที่บี |
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า น้ำบีตรูต มีส่วนช่วยลดความดันเลือด ส่วนการกิน[[ผัก]] ผลไม้ นมไขมันต่ำ [[ถั่ว]] [[งา]] ก็ช่วยลดได้เช่นกัน ดังปรากฏในอาหารแบบแดช (DASH) หรืออาหารต้าน[[ความดันเลือดสูง]] การศึกษานี้มีจุดอ่อนที่ทำในกลุ่มตัวอย่างน้อยมาก คือ 8 คน อายุ 19-38 ราย ให้ดื่มน้ำบีตรูตวันละ 500 มล. = 0.5 ลิตร 6 วันติดต่อกันก่อนทดสอบด้วยจักรยานออกกำลังกาย หลังจากนั้นทดสอบซ้ำด้วยการให้ดื่มน้ำแบลคเคอเรนท์ แทน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างทำเวลาได้เร็วขึ้นประมาณ 2%, ความดันเลือดลดลง, ออกกำลังได้นานขึ้นจนถึง 16% กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ[[ไนไตรต์]] (nitrite) ในผักอาจเป็นสารตั้งต้นของ[[ไนตริกออกไซด์]] (nitric oxide) ซึ่งมีฤทธิ์ขยายเส้นเลือดอย่างอ่อนๆ ทำให้[[เลือด]]ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น การที่บีตรูตมีสารไนไตรต์ค่อนข้างสูง อาจเป็นผลจากการเป็นพืชตระกูล[[หัวใต้ดิน]] ทำให้ดูดซับสารอาหารบางอย่างได้มาก พบว่าการดื่มน้ำบีตรูตเป็นประจำทุกวันจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย และลดอาการเหนื่อยเพลียจากการออกกำลังกายลง และมีผลช่วยให้นักกีฬาประเภทที่ต้องใช้ความอดทนและเวลานานในการเล่น เช่น วิ่งระยะไกล หรือปั่นจักรยาน มีความอึด อดทน และความแข็งแกร่งมากขึ้น ศ.แอนดี้ โจนส์ กล่าว |
||
<ref>[http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1249979414].บีตรูตช่วยอึด</ref> |
<ref>[http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1249979414].บีตรูตช่วยอึด</ref> |
||
บรรทัด 51: | บรรทัด 51: | ||
==ประโยชน์อื่นๆ== |
==ประโยชน์อื่นๆ== |
||
[[ไฟล์:Beet juice-01.jpg|thumb|right|upright|น้ำบีตรูต]] |
[[ไฟล์:Beet juice-01.jpg|thumb|right|upright|น้ำบีตรูต]] |
||
สามารถใช้เป็นสีธรรมชาติผสมอาหาร นำมาดองเป็นน้ำส้มสายชู งานแกะสลักตบแต่งอาหาร การปรุงอาหาร เช่น สาคูไส้บีตรูต สลัดน้ำบีตรูต |
สามารถใช้เป็นสีธรรมชาติผสมอาหาร นำมาดองเป็นน้ำส้มสายชู งานแกะสลักตบแต่งอาหาร การปรุงอาหาร เช่น สาคูไส้บีตรูต สลัดน้ำบีตรูต พาสตา ทำขนมบีตรูต พุดดิงนมสดบีตรูต เยลลี่บีตรูต ทำเครื่องดื่มแบบสมูทที หรือปั่นรวมกับผลไม้ชนิดอื่น เช่น [[องุ่น]] [[แคร์รอต]] [[เสาวรส]] [[เมลอน]] [[แตงโม]] [[แอปเปิล]] อื่น ๆ<ref>[http://www.bansuanporpeang.com/node/9601].บ้านสวนพอเพียง </ref> |
||
==การเลือกและเก็บรักษาบีตรูต== |
==การเลือกและเก็บรักษาบีตรูต== |
||
ควรเลือกหัวบีตรูตขนาดเล็ก เพราะมีเนื้อละเอียดและให้รสหวานกว่าหัวบีตรูตขนาดใหญ่ แต่ถ้ามีใบติดอยู่ ให้เลือกหัวบีตรูตที่ใบยังสด แล้วตัดใบให้เหลือก้าน 2-3 ซม. จากนั้นก็นำไปล้างให้สะอาด เก็บในถุงตาข่ายวางไว้ในที่ร่ม หรือในช่องแช่ผักมีการเก็บไว้ได้นานกว่า 14 วัน <ref>[http://board.palungjit.com/f9/%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%97-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B0-8409.html]. ว้าว!!!!!มารู้จัก..บีทรูท..กันเถอะ</ref> |
ควรเลือกหัวบีตรูตขนาดเล็ก เพราะมีเนื้อละเอียดและให้รสหวานกว่าหัวบีตรูตขนาดใหญ่ แต่ถ้ามีใบติดอยู่ ให้เลือกหัวบีตรูตที่ใบยังสด แล้วตัดใบให้เหลือก้าน 2-3 ซม. จากนั้นก็นำไปล้างให้สะอาด เก็บในถุงตาข่ายวางไว้ในที่ร่ม หรือในช่องแช่ผักมีการเก็บไว้ได้นานกว่า 14 วัน <ref>[http://board.palungjit.com/f9/%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%97-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B0-8409.html]. ว้าว!!!!!มารู้จัก..บีทรูท..กันเถอะ</ref> |
||
== แหล่งจำหน่าย == |
|||
มีขายทางภาคเหนือของประเทศไทย และขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า ตลาด อ.ต.ก. ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ราคาของบีตรูตประมาณ 50-70 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม |
|||
<ref> [http://vegetableinthailand.igetweb.com/index.php?mo=3&art=133327].ผลไม้ บีตรูตต้านมะเร็ง </ref> |
|||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:18, 18 สิงหาคม 2559
บีตรูต | |
---|---|
บีตรูต (Beta vulgaris L.) | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Angiosperms |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Eudicots |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Core eudicots |
อันดับ: | Caryophyllales |
วงศ์: | Amaranthaceae |
วงศ์ย่อย: | Betoideae |
สกุล: | Beta |
สปีชีส์: | B. Vulgaris |
ชื่อทวินาม | |
Beta vulgaris (L.) |
บีตรูต หรือชื่ออื่นเช่น ผักกาดฝรั่ง ผักกาดแดง เป็นหัวพืชหรือรากที่สะสมอาหารที่อยู่ใต้ดิน เป็นพืชเมืองหนาวและเป็นผักเพื่อสุขภาพ มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด[1]
ประวัติศาสตร์
บีตรูตมีวิวัฒนาการมาจากป่า seabeet ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของชายฝั่งจากประเทศอินเดียไปยังประเทศอังกฤษ สองพันปีที่ผ่านมาก่อนที่จะถูกพัฒนาโดยเทคนิคการเพาะปลูกบีตรูตมีรากแครอทรูปและมีเพียงใบถูกกิน (รากเล็กๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาโรคโดยชาวกรีกโบราณและโรมัน) มีความหลากหลายของลักษณะรากกลมได้รับการพัฒนาในรอบศตวรรษที่สิบหกและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุโรปสองสามร้อยปีต่อมา ในปัจจุบันนี้ บีตรูตเป็นหัวพืชใต้ดินปลูกมากในแถบยุโรปและถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในแถบสแกนดิเนเวียุโรปตะวันออกและรัสเซีย[2]
ลักษณะทั่วไป
- ราก หรือเรียกว่า หัวใต้ดิน เป็นทรงกลมป้อม มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 ซม. ใช้รากสะสมอาหาร และมีเนื้อด้านในอวบน้ำ สีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง
- ใบ ใบเดี่ยวเรียงตัวสลับกัน รูปCordate(cordata) (หัวใจรี) มีก้านยาว
- ดอก ดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อสีเขียวอ่อน ขนาดเล็ก
- ผล ผลขนาดเล็ก
ถิ่นกำเนิด
ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และแถบยุโรป ในประเทศไทย สามารถปลูกได้ทางภาคเหนือ [3]
การเพาะปลูก
สามารถปลูกได้ตลอดปีในพื้นที่สูงกว่า 1,000 เมตร ควรเป็นดินร่วนปนทราย มีความเป็นกรด-ด่าง ประมาณ 5.5-7.0 มีการระบายน้ำกับอากาศที่ดี โดยอุณหภูมิของดินต่อการงอกเมล็ดประมาณ 20 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่อการเจริญเติบโตประมาณ 15-22 องศาเซลเซียส สามารถเก็บผลผลิตทั้งปีและมีมากในช่วงเดือนธันวาคม ถึง เดือนมีนาคม
คุณค่าทางโภชนาการ
ในรากของบีตรูต มีวิตามินเอ วิตามินบีรวม ซึ่งอุดมไปด้วยโฟเลตเป็นสารประกอบจากกรดโฟลิก เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 มีโพแทสเซียม และวิตามินซีสูง ในยอดใบที่มีสีเขียวเข้ม มีสารบีตา-แคโรทีน ซึ่งมีแคลเซียม เหล็ก และโพแทสเซียมกับวิตามินเอสูง ในบีตรูตสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 27 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย โซเดียม 241 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม เส้นใย 2.9 กรัม น้ำตาล 0.6 กรัม โปรตีน 2.6 กรัม และโพแทสเซียม 909 มิลลิกรัม [4]
ในหัวบีตรูต มีสารสีแดง เรียกว่า บีทานิน (betanin) เป็นพวกกรดอะมิโน ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็ง ลดการเติบโตของเนื้องอก ทำให้เลือดลมและการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และสารสีม่วง เรียกว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) ในสภาพเป็นกลาง มีสีม่วง pH 7-8 สภาพเป็นเบส มีสีแดง pH > 11 และสภาพเป็นกรด มีสีน้ำเงิน pH < 3 ซึ่งแอนโทไซยานิน เป็นรงควัตถุที่ให้สีแดง ม่วง และน้ำเงิน มีสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลบล้างสารที่ก่อมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและลดอาการอัมพาต [5]
งานวิจัย
รายงานจากบีบีซีอ้างผลการศึกษาทีมนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยเอกซิเทอร์ (Exeter U, UK) พบว่า การดื่มน้ำบีตรูตสร้างเสริมพละกำลังและอึดขึ้นจนอาจออกกำลังได้นานขึ้นถึง 16% การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า น้ำบีตรูต มีส่วนช่วยลดความดันเลือด ส่วนการกินผัก ผลไม้ นมไขมันต่ำ ถั่ว งา ก็ช่วยลดได้เช่นกัน ดังปรากฏในอาหารแบบแดช (DASH) หรืออาหารต้านความดันเลือดสูง การศึกษานี้มีจุดอ่อนที่ทำในกลุ่มตัวอย่างน้อยมาก คือ 8 คน อายุ 19-38 ราย ให้ดื่มน้ำบีตรูตวันละ 500 มล. = 0.5 ลิตร 6 วันติดต่อกันก่อนทดสอบด้วยจักรยานออกกำลังกาย หลังจากนั้นทดสอบซ้ำด้วยการให้ดื่มน้ำแบลคเคอเรนท์ แทน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างทำเวลาได้เร็วขึ้นประมาณ 2%, ความดันเลือดลดลง, ออกกำลังได้นานขึ้นจนถึง 16% กลไกที่อาจเป็นไปได้คือไนไตรต์ (nitrite) ในผักอาจเป็นสารตั้งต้นของไนตริกออกไซด์ (nitric oxide) ซึ่งมีฤทธิ์ขยายเส้นเลือดอย่างอ่อนๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น การที่บีตรูตมีสารไนไตรต์ค่อนข้างสูง อาจเป็นผลจากการเป็นพืชตระกูลหัวใต้ดิน ทำให้ดูดซับสารอาหารบางอย่างได้มาก พบว่าการดื่มน้ำบีตรูตเป็นประจำทุกวันจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย และลดอาการเหนื่อยเพลียจากการออกกำลังกายลง และมีผลช่วยให้นักกีฬาประเภทที่ต้องใช้ความอดทนและเวลานานในการเล่น เช่น วิ่งระยะไกล หรือปั่นจักรยาน มีความอึด อดทน และความแข็งแกร่งมากขึ้น ศ.แอนดี้ โจนส์ กล่าว [6]
สรรพคุณทางยา
การคั้นน้ำบีตรูต ดื่มในช่วง 06.00-08.00 น. ก่อนรับประทานอาหารช่วยให้การไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายดี เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ และช่วยให้เจริญอาหาร ดื่มก่อนนอนในช่วง 21.00-22.00 น.ช่วยบำรุงไต ถุงน้ำดี ล้างสารพิษ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ แก้ไอ ลดอาการบวมได้ดี [7]
ประโยชน์อื่นๆ
สามารถใช้เป็นสีธรรมชาติผสมอาหาร นำมาดองเป็นน้ำส้มสายชู งานแกะสลักตบแต่งอาหาร การปรุงอาหาร เช่น สาคูไส้บีตรูต สลัดน้ำบีตรูต พาสตา ทำขนมบีตรูต พุดดิงนมสดบีตรูต เยลลี่บีตรูต ทำเครื่องดื่มแบบสมูทที หรือปั่นรวมกับผลไม้ชนิดอื่น เช่น องุ่น แคร์รอต เสาวรส เมลอน แตงโม แอปเปิล อื่น ๆ[8]
การเลือกและเก็บรักษาบีตรูต
ควรเลือกหัวบีตรูตขนาดเล็ก เพราะมีเนื้อละเอียดและให้รสหวานกว่าหัวบีตรูตขนาดใหญ่ แต่ถ้ามีใบติดอยู่ ให้เลือกหัวบีตรูตที่ใบยังสด แล้วตัดใบให้เหลือก้าน 2-3 ซม. จากนั้นก็นำไปล้างให้สะอาด เก็บในถุงตาข่ายวางไว้ในที่ร่ม หรือในช่องแช่ผักมีการเก็บไว้ได้นานกว่า 14 วัน [9]