ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศเวียดนาม"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Minhnguyenhuyen (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 16: บรรทัด 16:
| leader_title2 = [[นายกรัฐมนตรีเวียดนาม|นายกรัฐมนตรี]]
| leader_title2 = [[นายกรัฐมนตรีเวียดนาม|นายกรัฐมนตรี]]
| leader_title3 = ประธานสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม
| leader_title3 = ประธานสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม
| leader_name1 = [[เจิน ดั่ย กว่าง]]
| leader_name1 = [[เจิ่น ดั่ย กวาง]]
| leader_name2 = [[เหงียน ซวน ฟุก]]
| leader_name2 = [[เหงียน ซวน ฟุก]]
| leader_name3 = [[เหงียน ถิ กิม เงิน]]
| leader_name3 = [[เหงียน ถิ กีม เงิน]]
| sovereignty_type = [[ประวัติศาสตร์เวียดนาม#สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2|เอกราช]]
| sovereignty_type = [[ประวัติศาสตร์เวียดนาม#สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2|เอกราช]]
| sovereignty_note = จาก [[ประเทศฝรั่งเศส|ฝรั่งเศส]]
| sovereignty_note = จาก [[ประเทศฝรั่งเศส|ฝรั่งเศส]]
บรรทัด 58: บรรทัด 58:
| footnotes =
| footnotes =
}}
}}
'''ประเทศเวียดนาม''' ({{lang-vi|Việt Nam 越南}}) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ '''สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม''' ({{lang-vi|Cộng hòa xã hội chủ nghĩa Việt Nam 共和社會主義越南}}, ก่ง ฮหว่า สา โห่ย จู๋ เหงีย เหวียต นาม) เป็นประเทศใน[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]] ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทร[[อินโดจีน]] มีพรมแดนติดกับ[[ประเทศจีน]] ทางทิศเหนือ [[ประเทศลาว]] และ[[ประเทศกัมพูชา]] ทางทิศตะวันตก และ[[อ่าวตังเกี๋ย]] [[ทะเลจีนใต้]] ทางทิศตะวันออกและใต้ หรือในภาษาเวียดนามเรียกเฉพาะทะเลทางทิศตะวันออกว่า ทะเลตะวันออก ({{lang-vi|Biển Đông}}, เบี๋ยน ดง) เวียดนามมี[[ประชากร]]มากกว่า 89 ล้านคน ถือเป็น[[รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร|ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด]]เป็นอันดับ 13 ของโลก
'''เวียดนาม''' ({{lang-vi|Việt Nam}}) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ '''สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม''' ({{lang-vi|Cộng hòa xã hội chủ nghĩa Việt Nam}}, ก่ง ฮหว่า สา โห่ย จู๋ เหงีย เหวียต นาม) เป็นประเทศใน[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]] ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทร[[อินโดจีน]] มีพรมแดนติดกับ[[ประเทศจีน]] ทางทิศเหนือ [[ประเทศลาว]] และ[[ประเทศกัมพูชา]] ทางทิศตะวันตก และ[[อ่าวตังเกี๋ย]] [[ทะเลจีนใต้]] ทางทิศตะวันออกและใต้ หรือในภาษาเวียดนามเรียกเฉพาะทะเลทางทิศตะวันออกว่า ทะเลตะวันออก ({{lang-vi|Biển Đông}}, เบี๋ยน ดง) เวียดนามมี[[ประชากร]]มากกว่า 89 ล้านคน ถือเป็น[[รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร|ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด]]เป็นอันดับ 13 ของโลก


อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาประเทศยังคงมีประสบการณ์ระดับสูงของความไม่เท่าเทียมกันของรายได้, ความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการขาดความเท่าเทียมกันทางเพศ<ref>{{cite web |url=http://docs.google.com/viewer?a=v&q=cache:p9Z51SI5fcYJ:www.spp.nus.edu.sg/Handler.ashx%3Fpath%3DData/Site/SiteDocuments/fritzen-brassard-inequality.pdf+rising+inequality+vietnam&hl=en&gl=uk&pid=bl&srcid=ADGEESj2eOA5fm7hoZPt6tC6FOOMka9Np3PR5W67LSBF5maIq4wwqqgAEKNq5T2ZFWC2whtg6V7y6cg6d1KjYRwhm558aq3HPf10UGtX_vZmuxD0FjGpJHaqCOIP5OV7ls8xbZxNRgiT&sig=AHIEtbSyYX0cq6MEvTfqlbh3Y2o_QmNjXQ |title=Vietnam Inequality Report |publisher=Mekong Economics |year= 2005 |accessdate=7 November 2010}}</ref><ref name="CIA GINI data 2008">[https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/fields/2172.html "Distribution of Family Income – Gini Index"]. CIA World Factbook, 2008 data. Retrieved 27 November 2011.</ref><ref name="sciencedirect.com">{{cite doi|10.1016/S0304-4076(02)00161-6}}</ref><ref name="jstor.org">{{Cite doi | 10.2307/2761129 }}</ref><ref name="ideas.repec.org">{{cite web|author=Gallup, John Luke |url=http://ideas.repec.org/p/wbk/wbrwps/2896.html |title=The wage labor market and inequality in Viet Nam in the 1990s |publisher=Ideas.repec.org |year=2002 |accessdate=7 November 2010}}</ref>
อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาประเทศยังคงมีประสบการณ์ระดับสูงของความไม่เท่าเทียมกันของรายได้, ความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการขาดความเท่าเทียมกันทางเพศ<ref>{{cite web |url=http://docs.google.com/viewer?a=v&q=cache:p9Z51SI5fcYJ:www.spp.nus.edu.sg/Handler.ashx%3Fpath%3DData/Site/SiteDocuments/fritzen-brassard-inequality.pdf+rising+inequality+vietnam&hl=en&gl=uk&pid=bl&srcid=ADGEESj2eOA5fm7hoZPt6tC6FOOMka9Np3PR5W67LSBF5maIq4wwqqgAEKNq5T2ZFWC2whtg6V7y6cg6d1KjYRwhm558aq3HPf10UGtX_vZmuxD0FjGpJHaqCOIP5OV7ls8xbZxNRgiT&sig=AHIEtbSyYX0cq6MEvTfqlbh3Y2o_QmNjXQ |title=Vietnam Inequality Report |publisher=Mekong Economics |year= 2005 |accessdate=7 November 2010}}</ref><ref name="CIA GINI data 2008">[https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/fields/2172.html "Distribution of Family Income – Gini Index"]. CIA World Factbook, 2008 data. Retrieved 27 November 2011.</ref><ref name="sciencedirect.com">{{cite doi|10.1016/S0304-4076(02)00161-6}}</ref><ref name="jstor.org">{{Cite doi | 10.2307/2761129 }}</ref><ref name="ideas.repec.org">{{cite web|author=Gallup, John Luke |url=http://ideas.repec.org/p/wbk/wbrwps/2896.html |title=The wage labor market and inequality in Viet Nam in the 1990s |publisher=Ideas.repec.org |year=2002 |accessdate=7 November 2010}}</ref>

รุ่นแก้ไขเมื่อ 04:01, 8 เมษายน 2559

สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

Cộng hòa xã hội chủ nghĩa Việt Nam (เวียดนาม)
คำขวัญĐộc lập – Tự do – Hạnh phúc
("เอกราช อิสรภาพ ความสุข")
ที่ตั้งของ ประเทศเวียดนาม  (เขียว) ในอาเซียน  (เทาเข้ม)  —  [คำอธิบายสัญลักษณ์]
ที่ตั้งของ ประเทศเวียดนาม  (เขียว)

ในอาเซียน  (เทาเข้ม)  —  [คำอธิบายสัญลักษณ์]

เมืองหลวงฮานอย
เมืองใหญ่สุดนครโฮจิมินห์
ภาษาราชการภาษาเวียดนาม
การปกครองคอมมิวนิสต์
เจิ่น ดั่ย กวาง
เหงียน ซวน ฟุก
• ประธานสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม
เหงียน ถิ กีม เงิน
เอกราช 
• ประกาศ
2 กันยายน พ.ศ. 2488[1]
• เป็นที่ยอมรับ
พ.ศ. 2497
พื้นที่
• รวม
331,689 ตารางกิโลเมตร (128,066 ตารางไมล์) (65)
1.3 [2]
ประชากร
• 2556 ประมาณ
89,693,000 [3] (13)
272 ต่อตารางกิโลเมตร (704.5 ต่อตารางไมล์) (46)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2556 (ประมาณ)
• รวม
358.889 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[4] (38)
4,001 ดอลลาร์สหรัฐ (132)
เอชดีไอ (2556)0.638 [5]
ข้อผิดพลาด: ค่า HDI ไม่ถูกต้อง · 121
สกุลเงินด่อง (₫)[6] (VND)
เขตเวลาUTC+7
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
UTC+7
ขับรถด้านขวามือ
รหัสโทรศัพท์84
โดเมนบนสุด.vn

เวียดนาม (เวียดนาม: Việt Nam) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม: Cộng hòa xã hội chủ nghĩa Việt Nam, ก่ง ฮหว่า สา โห่ย จู๋ เหงีย เหวียต นาม) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทรอินโดจีน มีพรมแดนติดกับประเทศจีน ทางทิศเหนือ ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ทางทิศตะวันตก และอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ ทางทิศตะวันออกและใต้ หรือในภาษาเวียดนามเรียกเฉพาะทะเลทางทิศตะวันออกว่า ทะเลตะวันออก (เวียดนาม: Biển Đông, เบี๋ยน ดง) เวียดนามมีประชากรมากกว่า 89 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 13 ของโลก

อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาประเทศยังคงมีประสบการณ์ระดับสูงของความไม่เท่าเทียมกันของรายได้, ความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการขาดความเท่าเทียมกันทางเพศ[7][8][9][10][11]

ภูมิศาสตร์

อ่าวหะล็อง
ชาวเวียดนามนิยมปลูกข้าวแบบขั้นบันได

เวียดนามเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นแนวยาว และ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงกั้นระหว่างที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือและใต้ แต่มีภูเขาที่มีป่าหนาทึบแค่ 20% โดยมีพันธุ์ไม้ 13,000 ชนิด และพันธุ์สัตว์กว่า 15,000

พิกัดภูมิศาสตร์

ลักษณะภูมิประเทศ

  • มีที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ 2 ตอน คือ ตอนเหนือเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง
  • มีที่ราบสูงตอนเหนือของประเทศ และยังเป็นภูมิภาคที่มีเขา ซึ่งเป็นภูเขาที่สูง 3,143 เมตร (10,312 ฟุต)

ลักษณะภูมิอากาศ

  • เป็นแบบมรสุมเขตร้อน ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเปิดโล่งรับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านทะเลจีนใต้ ทำให้มีโอกาสรับลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อน จึงมีฝนตกชุกในฤดูหนาว สามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้ง (ฝนตกตลอดปี ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ)
  • เป็นประเทศที่มีความชื้นประมาณร้อยละ 84 ตลอดปี มีปริมาณฝนจาก 120 ถึง 300 เซนติเมตร และมีอุณหภูมิเฉลี่ยตั้งแต่ 5 องศาเซลเซียส

ชายแดน

เวียดนามและเพื่อนบ้าน

ทั้งหมด 4,638 กิโลเมตร (2,883 ไมล์) โดยติดกับประเทศกัมพูชา 1,228 กิโลเมตร (763 ไมล์) ประเทศจีน 1,281 กิโลเมตร (796 ไมล์) และประเทศลาว 2,130 กิโลเมตร (1,324 ไมล์)

ประวัติศาสตร์

สมัยก่อนประวัติศาสตร์

กลองมโหระทึกสำริด

อารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในเวียดนามมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะอารยธรรมยุคหินใหม่ ที่มีหลักฐานคือกลองมโหระทึกสำริด และชุมชนโบราณที่ดงเซิน เขตเมืองแทงหวา ทางใต้ของปากแม่น้ำแดง สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของชาวเวียดนามโบราณผสมผสานระหว่างชนเผ่ามองโกลอยด์เหนือจากจีนและใต้ ซึ่งเป็นชาวทะเล ดำรงชีพด้วยการปลูกข้าวแบบนาดำและจับปลา และอยู่กันเป็นเผ่า บันทึกประวัติศาสตร์ยุคหลังของเวียดนามเรียกยุคนี้ว่าอาณาจักรวันลาง มีผู้นำปกครองสืบต่อกันหลายร้อยปีเรียกว่า กษัตริย์หุ่ง แต่ถือเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์

สมัยประวัติศาสตร์

เวียดนามเริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์หลังจากตอนใต้ของจีนเข้ารุกรานและยึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำแดง จากนั้นไม่นานจักรพรรดิจิ๋นซีซึ่งเริ่มรวมดินแดนจีนสร้างจักรวรรดิให้เป็นหนึ่งเดียว โดยได้ยกทัพลงมาและทำลายอาณาจักรของพวกถุกได้ ก่อนผนวกดินแดนลุ่มแม่น้ำแดงทั้งหมด ให้ขึ้นตรงต่อศูนย์กลางการปกครองหนานไห่ ที่เมืองพานอวี่หรือกว่างโจวในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน หลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน ข้าหลวงหนานไห่คือจ้าวถัว ประกาศตั้งหนานไห่เป็นอาณาจักรอิสระ ชื่อว่า หนานเยว่ หรือ นามเหวียต ในสำเนียงเวียดนามซึ่งเป็นที่มาของชื่อเวียดนามในปัจจุบัน ก่อนกองทัพฮั่นเข้ายึดอาณาจักรนามเหวียด ได้ในปี พ.ศ. 585 และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจีน ใช้ชื่อว่า เจียวจื้อ ขยายอาณาเขตลงใต้ถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน และส่งข้าหลวงปกครองระดับสูงมาประจำ เป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนนำวัฒนธรรมจีนทางด้านต่างๆ ไปเผยแพร่ที่ดินแดนแห่งนี้ พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทรัพยากรจากชาวพื้นเมืองหรือชาวเวียดนามจนนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรงหลายครั้งเช่น:

  • วีรสตรีในนาม ฮายบาจึง ได้นำกองกำลังต่อต้านการปกครองของจีน แต่ปราชัยในอีก 3 ปีต่อมาและตกเป็นส่วนหนึ่งของจีน
  • นักโทษปัญญาชนชาวจีนนามว่า หลีโบน ร่วมมือกับปัญญาชนชาวเวียดนามร่วมทำการปฏิวัติ ก่อตั้งราชวงค์หลี ขนานนามแคว้นว่า วันซวน แต่พ่ายแพ้ในที่สุด

การปกครองของจีนในเวียดนามขาดตอนเป็นระยะตามสถานการณ์ในจีนเอง ซึ่งเป็นโอกาสให้ชาวพื้นเมืองในเวียดนามตั้งตนเป็นอิสระ ในช่วงเวลาที่เวียดนามอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ถาง พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่เวียดนาม เมืองต้าหลอหรือฮานอย เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นศูนย์กลางการค้าการเดินทางของชาวจีนและอินเดีย พระสงฆ์และนักบวชในลัทธิเต๋าจากจีนเดินทางเข้ามาอาศัยในดินแดนนี้ ต่อมาราชวงศ์ถางได้เปลี่ยนชื่อเขตปกครองนี้ใหม่ว่า อันหนาน (หรืออันนัม ในสำเนียงเวียดนาม) หลังปราบกบฏชาวพื้นเมืองได้ แต่ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จีนครอบครองดินแดนแห่งนี้

  • พ.ศ. 1498-1510 ราชวงศ์โง--หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ถางของจีน นายพลโงเกวี่ยนผู้นำท้องถิ่นในเขตเมืองฮวาลือ ทางใต้ของลุ่มแม่น้ำแดง ขับไล่ชาวจีนได้ แล้วจึงก่อตั้งราชวงศ์โงเปลี่ยนชื่อประเทศว่า ไดเวียด หลังจากจักรพรรดิสวรรคต อาณาจักรแตกแยกออกเป็น 12 แคว้น มีผู้นำของตนไม่ขึ้นตรงต่อกัน
  • พ.ศ. 1511-1523 ราชวงศ์ดิงห์--ขุนศึกดิงห์โบะหลิง แม่ทัพของราชวงศ์โง สามารถรวบรวมแคว้นต่างๆเข้าด้วยกัน เปลียนชื่อประเทศเป็น

ไดโก่เวียด เริ่มสร้างระบบการปกครองแบบจีนมากกว่ายุคก่อนหน้า และตั้งตนเป็น จักรพรรดิดิงห์เตียน หรือ ดิงห์เตียนหว่าง เสมือนจักรพรรดิจิ๋นซีผู้รวบรวมจีน ถือเป็นการเริ่มใช้ตำแหน่งจักรพรรดิหรือ หว่างเด๋ ในเวียดนามเป็นครั้งแรก

  • พ.ศ. 1524-1552 ราชวงศ์เตี่ยนเลหรือเลยุคแรก--มเหสีของจักรพรรดิดิงห์โบะหลิง ได้ขับไล่รัชทายาทราชวงศ์ดิงห์ สถาปนาพระสวามีใหม่คือขุนศึกเลหว่านเป็นจักรพรรดิเลด่ายแห่ง โดยพยายามสร้างความมั่นคงด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับราชวงศ์ซ่งของจีนและปราบปรามกบฏภายใน แต่ก็ไม่รอดพ้นการรัฐประหาร สมัยนี้พุทธศาสนาและลัทธิเต๋ารุ่งเรืองมากและได้รับความเลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนชั้นสูงมาก

ราชวงศ์ยุคใหม่

ราชวงศ์เลช่วงแรกเป็นช่วงสร้างความมั่นคงและฟื้นฟูประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะในสมัยเลไถโต๋หรือเลเหล่ย เช่นการสร้างระบบราชการ จัดสอบคัดเลือกขุนนาง ตรากฎหมายใหม่ แบ่งเขตการปกครองใหม่ ฟื้นฟูการเกษตร รวมถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนทำให้เวียดนามเข้าสู่ยุคสงบสุขปลอดจากสงครามอีกครั้ง

หลังสมัยเลเหล่ย เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างขุนนางพลเรือนกับบรรดาขุนศึกที่ร่วมทัพกับเลเหล่ยในการสู้รบกับจีน ความขัดแย้งบานปลายจนนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่ข้าราชสำนัก จนเกิดการรัฐประหารครั้งแรกของราชวงศ์เลใน พ.ศ. 2002 มีการประหารพระชนนีและจักรพรรดิขณะนั้น ต่อมาบรรดาขุนนางจึงสนับสนุนให้ราชนิกูลอีกพระองค์หนึ่งมาเป็นจักรพรรดิแทน ต่อมาคือจักรพรรดิเลแถงตง (พ.ศ. 2003-2040)

รัชกาลจักรพรรดิเลแถงตงถือว่ายาวนานและรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เวียดนาม มีการปฏิรูปประเทศหลายด้านโดยยึดรูปแบบจีนมากกว่าเดิม ทั้งระบบการสอบรับราชการที่จัดสอบครบสามระดับตั้งแต่อำเภอจนถึงราชธานี จำนวนขุนนางเพิ่มขึ้นทวีคูณและทำให้ระบบราชการขยายตัวมากกว่ายุคสมัยก่อนหน้า นอกจากนั้นยังมีการประมวลกฎหมายใหม่พระองค์ทรงสร้างเวียดนามให้เป็นมหาอำนาจและเป็นศูนย์กลางด้วยการทำสงครามกับเพื่อนบ้านที่มักขัดแย้งกับเวียดนามคือจัมปาและลาว อิทธิพลของเวียดนามรับรู้ไปจนถึงหัวเมืองเผ่าไทในจีนตอนใต้และล้านนา หลังรัชกาลนี้ราชวงศ์เลเริ่มประสบปัญหาความขัดแย้งในหมู่ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ ปัญหาเศรษฐกิจจนที่สุดก็ถูกรัฐประหารโดยขุนศึกหมักดังซุง ในปี พ.ศ. 2071 เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เลหลบหนีด้วยการช่วยเหลือของขุนศึกตระกูลเหวียนและจิ่ง ที่มีอิทธิพลในราชสำนักมาแต่แรก

ราชวงศ์เลเริ่มการฟื้นฟูกอบกู้อำนาจคืนโดยมีแม่ทัพเป็นคนตระกูลเหวียนและจิ่ง ทำสงครามกับราชวงศ์หมักจนถึงปี พ.ศ. 2136 จึงสามารถยึดเมืองทังลองคืนได้และฟื้นฟูราชวงศ์เลปกครองเวียดนามต่อไป

ยุคแตกแยกเหนือ-ใต้

จักรวรรดิเวียดนาม

องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือเหงวียนฟุกอ๊าน (องเชียงสือ) ผู้นำตระกูลเหงวียน ซึ่งตั้งตนเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งราชวงศ์เหงวียน ในปี พ.ศ. 2345 สถาปนาราชธานีใหม่ที่เมืองเว้ แทนที่ทังลอง ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ฮานอย

องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือจักรพรรดิยาลอง จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์เหวียนเริ่มฟื้นฟูประเทศ เวียดนามมีอาณาเขตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ดินแดนภาคใต้ขยายไปถึงปากแม่น้ำโขงและชายฝั่งอ่าวไทย ทรงรักษาสัมพันธ์กับชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสที่ช่วยรบกับพวกเตยเซิน นายช่างชาวฝรั่งเศสช่วยออกแบบพระราชวังที่เว้ และ ป้อมปราการเมืองไซ่ง่อน

ราชวงศ์เหงวียนรุ่งเรืองที่สุดในสมัยจักรพรรดิมินหมั่ง จักรพรรดิองค์ที่สอง ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ด่ายนาม ขยายแสนานุภาพไปยังลาวและกัมพูชา ผนวกกัมพูชาฝั่งตะวันออก ทำสงครามกับสยามต่อเนื่องเกือบยี่สิบปี แต่ภายหลังต้องถอนตัวจากกัมพูชาหลังถูกชาวกัมพูชาต่อต้านอย่างรุนแรง

สมัยนี้เวียดนามเริ่มใช้นโยบายต่อต้านการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของบาทหลวงชาวตะวันตก มีการจับกุมและประหารบาทหลวงชาวตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงชาวเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา จนถึงรัชกาลจักรพรรดิองค์ที่ 4 คือจักรพรรดิตึดึ๊ก ทรงต่อต้านชาวคริสต์อย่างรุนแรงต่อไป จนในที่สุดบาทหลวงชาวฝรั่งเศสขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของตนให้ช่วยคุ้มครอง พ.ศ. 2401 เรือรบของกองทัพเรือฝรั่งเศสเข้ามาถึงน่านน้ำเมืองดานัง (หรือตูราน) ฐานทัพเรือใกล้เมืองหลวงเว้ นำไปสู่การสู้รบกันของทั้งฝ่าย

ต่อมากองกำลังฝรั่งเศสได้บุกโจมตีดินแดนภาคใต้บริเวณปากแม่น้ำโขงและยึดครองพื้นที่ได้เกือบทั้งหมด จักรพรรดิตึดึ๊กจึงต้องยอมสงบศึกและมอบดินแดนภาคใต้ให้แก่ฝรั่งเศส ชาวเวียดนามเริ่มต่อต้านการยึดครองของฝรั่งเศสแต่ไม่อาจต่อสู้กับแสนยานุภาพทหางทหารที่เหนือกว่าได้ ฝรั่งเศสจึงเข้าควบคุมเวียดนามอย่างจริงจังมากขึ้นและแบ่งเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คืออาณานิคมโคชินจีน ในภาคใต้ เขตอารักขาแคว้นอันนัม ในตอนกลาง และ เขตอารักขาตังเกี๋ยในภาคเหนือ และเวียดนามยังมีจักรพรรดิเป็นประมุขเช่นเดิม แต่ต้องผ่านการคัดเลือกโดยข้าหลวงฝรั่งเศส และมีฐานะเป็นสัญลักษณ์ อำนาจในการบริหารการคลัง การทหาร และ การทูตเป็นของฝรั่งเศส ถือว่าเวียดนามสิ้นสุดฐานะเอกราชนับแต่นั้น

ยุคอาณานิคม

แผนที่อินโดจีน ค.ศ. 1913.

ฝรั่งเศสแสวงหาผลประโยชน์จากการปกครองเวียดนามทางด้านเศรษฐกิจ เวียดนามเป็นแหล่งปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่นกาแฟ และยางพารา ส่งออกไปยังฝรั่งเศสและเป็นวัตถุดิบแก่โรงงานในฝรั่งเศส ที่ดินในเวียดนามถูกยึดและตกเป็นของชาวฝรั่งเศส และเริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศสให้แพร่หลายในเวียดนาม ชาวเวียดนามส่วนหนึ่งได้รับการศึกษาแบบใหม่และเริ่มต้องการอิสระในการทำงานและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มชาตินิยมต่าง ๆ ที่เข้มแข็งที่สุดคือพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่ตั้งขึ้นโดยโฮจิมินห์ ในปี พ.ศ. 2473 และต่อมาปรับเปลี่ยนเป็น กลุ่มเวียดมินห์ ได้นำชาวนาก่อการต่อต้านฝรั่งเศสในชนบท

ยุคเอกราช

พ.ศ. 2488 โฮจิมินห์รับมอบอำนาจจากจักรพรรดิบ๋าวได่และรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกหลังประกาศเอกราช แต่หลังจากนั้นฝรั่งเศสได้กลับเข้ามาขับไล่รัฐบาลของโฮจิมินห์และไม่ยอมรับเอกราชของเวียดนาม นำไปสู่สงครามจนในที่สุดฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู ในปี พ.ศ. 2497 และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยอมรับเอกราชของเวียดนาม แต่สหรัฐอเมริกาและชาวเวียดนามในภาคใต้บางส่วนไม่ต้องการรวมตัวกับรัฐบาลของโฮจิมินห์ ต่อมาได้ก่อตั้งดินแดนเวียดนามภาคใต้เป็นอีกประเทศหนึ่ง คือ สาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) มีเมืองหลวงคือ ไซ่ง่อน ใช้เส้นละติจูดที่ 17 องศาเหนือแบ่งแยกกับเวียดนามส่วนเหนือใต้การปกครองของโฮจิมินห์ (เวียดนามเหนือ)

สงครามเวียดนาม

สงครามเวียดนาม

เวียดนามเหนือไม่ยอมรับสถานภาพของเวียดนามใต้ ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ให้การช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งทหารมาประจำในเวียดนามใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เวียดนามเหนือประกาศทำสงครามเพื่อขับไล่และ ปลดปล่อย เวียดนามใต้จากสหรัฐอเมริกาและรวมเข้าเป็นประเทศเดียวกัน พร้อมให้การสนับสนุนกลุ่มชาวเวียดนามใต้ที่ต่อต้านสหรัฐอเมริกา (เวียดกง) ในการทำสงคราม

การรบส่วนใหญ่กลายเป็นการรบระหว่างทหารสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจากต่างประเทศ กับกองกำลังเวียดกงและเวียดนามเหนือ ทั้งในชนบทและการโจมตีในเมือง แม้สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเทแสนยานุภาพอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่อาจทำให้สงครามยุติลงได้ หลังการรุกโจมตีครั้งใหญ่ของเวียดนามเหนือและเวียดกงในปี พ.ศ. 2511 ที่เมืองเว้และเมืองหลักอื่น ๆ ในเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาเริ่มเตรียมการถอนกำลังจากเวียดนามใต้และให้เวียดนามใต้ทำสงครามโดยลำพัง

สหรัฐอเมริกาถอนทหารจากเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2516 กองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกงจึงสามารถรุกเข้ายึดไซ่ง่อนและเวียดนามใต้ได้ทั้งหมดในปี พ.ศ. 2518 การรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันเกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นับแต่นั้น

การเมือง

1.การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุดเพียงพรรคการเมืองเดียว ผูกขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม (collective leadership) ที่คานอำนาจระหว่างกลุ่มผู้นำ ได้แก่ 1.) กลุ่มปฏิรูป ที่สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี ฟาน วัน ขาย

2.) กลุ่มอนุรักษนิยม ซึ่งต่อต้านหรือชะลอการเปิดประเทศ เพราะเกรงภัยของ “วิวัฒนาการที่สันติ” peaceful evolution) อันเนื่องมาจากการเปิดประเทศ และ

3.) กลุ่มที่เป็นกลาง ประนีประนอมระหว่างสองกลุ่มแรก นำโดยอดีตประธานาธิบดี เจิ่น ดึ๊ก เลือง ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องปรับแนวทางการบริหารประเทศให้ยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ในย่างก้าวที่รวดเร็วนัก 2.เวียดนามได้มีการเลือกตั้งสภาแห่งชาติ สมัยที่ 11 เมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 มีผู้ได้รับการเลือกตั้งทั้งสิ้น 498 คน เป็นผู้เลือกตั้งอิสระเพียง 2 คน ที่เหลือเป็นผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจากพรรคคอมมิวนิสต์ สภาแห่งชาติมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่ตรากฎหมาย แต่งตั้งหรือถอดถอนประธานาธิบดี ประธานรัฐสภา และ นายกรัฐมนตรี

3.สภาแห่งชาติชุดใหม่ได้เปิดประชุมเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 โดยสภาได้มีมติสำคัญๆ คือ

1.) รับรองผลการเลือกตั้งเมื่อ 19 พฤษภาคม

2.) เลือกตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ประจำสภา

3.) การเลือกตั้งให้นายเหวียน วัน อาน ดำรงตำแหน่งประธานสภาต่อไป (เมื่อ 23 กรกฎาคม)

4.) การเลือกตั้งให้นายเจิ่น ดึ๊ก เลือง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป (เมื่อ 24 กรกฎาคม) และ

5.) เลือกตั้งให้นายฟาน วัน ขาย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป (เมื่อ 25 กรกฎาคม) และได้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อ 8 สิงหาคม 2545 โดยในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 26 คน มีรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ 15 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ หลายคนเคยดำรงรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงนั้น ๆ มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตั้งกระทรวงใหม่ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม และกระทรวงภายใน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารประเทศมากขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาในประเด็นนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามที่ดำเนินไปด้วยดีในปัจจุบัน

4.แผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี ค.ศ. 2001-2010 เน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ และการปฏิรูปด้านการคลัง

การแบ่งเขตการปกครอง









เมืองใหญ่สุด 10 อันดับแรก

นโยบายต่างประเทศ

ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส

ความสัมพันธ์กับอาเซียน

ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย

ความสัมพันธ์เวียดนาม – ไทย
Map indicating location of เวียดนาม and ไทย

เวียดนาม

ไทย
  • การทูต
  • การทหาร
  • เศรษฐกิจการค้า
  • การท่องเที่ยว

กองทัพ

กองทัพเวียดนาม

กองกำลังกึ่งทหาร

เศรษฐกิจ

ฮานอยมีเคียงนัมฮานอยแลนด์มาร์กทาวเวอร์ตึกที่สูงที่สุดในเวียดนาม

โครงสร้าง

เกษตรกรรม

มีผลผลิตได้แก่ ข้าวเจ้า ยางพารา ชา กาแฟ ยาสูบ พริกไทย (ในปี พ.ศ. 2549 ส่งออกกว่า 116,000 ตัน) [12] การประมง เวียดนามจับปลาได้เป็นอันดับ 4 ของสินค้าส่งออก เช่น ปลาหมึก กุ้ง ตลาดที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์

อุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมทอผ้า ศูนย์กลางอยู่ที่โฮจิมินห์ซิตีและมีนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้เบียนโฮ[13] การทำเหมืองแร่ที่สำคัญ คือ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม และแก๊สธรรมชาติ เวียดนามเป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย[14]

สถานการณ์เศรษฐกิจ

มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และเผชิญภาวะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า จึงมีการซื้อพลังงานไฟฟ้าจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ตั้งแต่กันยายนปี 2004 [15]

แม้ว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจจะเป็นเหตุผลที่มีความสำคัญรองจากเหตุผลทางการเมืองและยุทธศาสตร์ในการที่อาเซียนรับเวียดนามเข้าเป็นสมาชิก แต่ก็ยังคงความสำคัญในระดับหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ความสัมพันธ์ทวิภาคีทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามและประกาศถอนทหารออกจากกัมพูชา และเมื่อเวียดนามได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีสในปี 1991

นครโฮจิมินห์ ยามค่ำคืน
ท่าเรือไซ่ง่อน

เหตุผลการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน

  1. การสนับสนุนและความช่วยเหลือในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมจากประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งเวียดนามมองว่าเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับการปรับสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์และการปรับนโยบายต่างประเทศ การเข้ารวมกลุ่มอาเซียนจะทำให้เวียดนามมีโอกาสได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนาประเทศจากสมาชิกต่างๆ อันจะมีส่วนเอื้ออำนวยและเร่งการพัฒนาของตนไปสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาดซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของการแข่งขันได้ในที่สุด
  2. เวียดนามให้ความสำคัญสูงสุดต่อการเข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและระบบเศรษฐกิจของโลก การเป็นสมาชิกของอาเซียนจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในเขตการค้าเสรีอาเซียน และนำเวียดนามไปสู่ความคุ้นเคยกับแนวทางปฏิบัติในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับโลก อันจะมีผลดีและเป็นปัจจัยประการหนึ่งที่จะผลักดันเวียดนามให้ก้าวไปสู้การเป็นสมาชิกของ APEC และ WTO ได้ในที่สุด
  3. ในฐานะของสมาชิกอาเซียน เวียดนามหวังที่จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของการค้าและการลงทุนกับประเทศอาเซียนทั้งหลาย ขณะเดียวกันในขณะที่การค้าภายในกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว เวียดนามก็ได้ตระเตรียมและปรับทิศทางการส่งออกของตนที่จะไปสู่ตลาดอาเซียนนี้อย่างจริงจังมากขึ้น การนำเข้าของเวียดนามจากอาเซียนในขณะนี้เป็นครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมดของทั้งหมดของเวียดนาม และประมาณร้อยละ 30 ของการค้าทั้งหมดของเวียดนามที่มีกับอาเซียนนอกจากนี้ เวียดนามยังหวังว่าตนจะได้รับสิทธิพิเศษ GSP อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป และเวียดนามยังจะเป็นจุดส่งออกที่สำคัญสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ

ในด้านการลงทุน ทั้งเวียดนามและประเทศในกลุ่มอาเซียนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าไปลงทุนในเวียดนามโดยเวียดนามจะสามารถดูดซึมเทคนิค วิทยาการและเทคโนโลยีที่ผ่านมากับการลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของการร่วมทุน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการผลิตของเวียดนาม และขณะเดียวกัน นับตั้งแต่เวียดนามเปิดประเทศและประกาศกฎหมายว่าด้วยการลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างก็ให้ความสนใจลพยายามแสวงหาโอกาสเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ทั้งนี้เพราะอาเซียนก็สนใจในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกันทั้งด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากเวียดนามเป็นตลาดใหญ่มีประชากรถึง 73 ล้านคน มีความสมบูรณ์ทางทรัพยาธรรมชาติ มีแรงงานที่มีศักยภาพและมีราคาถูก การมีเวียดนามเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นจะทำให้อาเซียนมีประชากรเพิ่มเป็น 420 ล้านคน และจะมีผลผลิตมวลรวมภายในถึง 500 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ อันจะทำให้อาเซียนมีศักยภาพในการขยายตัวกางเศรษฐกิจได้มากขึ้นไปอีก

ในปัจจุบัน ประเทศที่ได้รับการอนุมัติด้วยมูลค่าลงทุนมากที่สุดได้แก่สิงคโปร์ ซึ่งมีโครงการการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติจำนวนโครงการ ด้วยมูลค่า 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการลงทุนของประเทศสมาชิกอาเซียนในเวียดนามคิดได้เป็นร้อยละ 27.69 ของมูลค่าของการลงทุนต่างชาติทั้งสิ้นในเวียดนาม กล่าวคือในมูลค่า 8.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่าของการลงทุนต่างชาติทั้งสิน 29.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีโครงการทั้งสิ้น 337 โครงการ โดยมาเลเซียลงทุนเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ ไทยลงทุนเป็นอันดับ 3 ประเภทของการลงทุนที่สมาชิกอาเซียนดำเนินการในเวียดนาม ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้างสำนักงาน ที่อยู่อาศัย การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและการแปรรูปอาหาร เวียดนามหวังว่าการลงทุนจากประเทศสมาชิกอาเซียนนี้จะมีส่วนช่วยถ่วงดุลการลงทุนจากเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น

ในขณะเดียวกันในส่วนของอาเซียน เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้อาเซียนยินดีรับเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกก็คือ การเข้ารวมกลุ่มอาเซียนของเวียดนามนั้นจะมีผลไปเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอีกทั้งอำนาจในการต่อรองทางการเมืองทั้งหลายต่างก็มีผลประโยชน์ที่สอดคล้องกัน ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจร่วมกันอันนำไปสู่การยอมรับในที่สุด

โครงสร้างพื้นฐาน

การคมนาคม และ โทรคมนาคม

คมนาคม

อากาศ
เครื่องบินของสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์

เวียดนามมีท่าอากาศยานขนาดใหญ่ 6 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (Noi Bai) ในกรุงฮานอย, ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต (Tan Son Nhat) ในนครโฮจิมินห์, โครงการท่าอากาศยานนานาชาติล็องถั่ญ (Long Thanh) ในจังหวัดด่งนาย, ท่าอากาศยานจูลาย (Chu Lai) ในจังหวัดกว๋างนาม และท่าอากาศยานนานาชาติดานัง (Danang) ในนครดานัง[16]

ถนน
ในส่วนของ ทางด่วนเหนือ-ใต้ การเชื่อมต่อ Cầu Giẽ และ บิ่ญถ่วน
ทางรถไฟ
ทางน้ำ

โทรคมนาคม

มีการร่วมมือกับญี่ปุ่นในการสร้างเส้นระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียหรือADB

วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี

การศึกษา

สาธารณสุข

ประชากรศาสตร์

เชื้อชาติ

มีจำนวน 84.23 ล้านคน ความหนาแน่นโดยเฉลี่ย 253 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นชาวญวนร้อยละ 86 (บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศ) ต่าย ชาวไท เหมื่อง ฮั้ว (จีน) ชาวเขมร นุง ชาวม้ง[17][18][19]

ศาสนา

ศาสนาในประเทศเวียดนาม
ศาสนา ร้อยละ
พื้นบ้านและอศาสนา
  
73.2%
พุทธ
  
12.2%
คริสต์
  
8.3%
อื่น ๆ
  
6.3%
เจดีย์เสาเดียว แสดงให้เห็นถึงศาสนาพื้นบ้านเวียดนาม

จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2557[20] ประเทศเวียดนามมีประชากรนับถือศาสนา 90 ล้านคน แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพื้นบ้านเวียดนามและอศาสนา 24 ล้านคน (73.2%) ศาสนาพุทธ 11 ล้านคน (12.2%) ศาสนาคริสต์ 7.6 ล้านคน (8.3%) ลัทธิเฉาได 4.4 ล้านคน (4.8%) ลัทธิฮหว่าหาว 1.3 ล้านคน (1.4%) และศาสนาอื่น ๆ (0.1%) เช่น ศาสนาอิสลาม 75,000 คน ศาสนาบาไฮ 7,000 คน ศาสนาฮินดู 1,500 คน[21][22][23][24][25][26][27]

ภาษา

การสื่อสารใช้ภาษาเวียดนาม ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2463 วงการวิชาการเวียดนามได้ลงประชามติที่จะใช้ตัวอักษรโรมัน (quoc ngu) แทนตัวอักษรจีน (Chu Nom) ในการเขียนภาษาเวียดนาม [28]

กีฬา

วัฒนธรรม

เทศกาล

ต้นไม้ของประเพณีตรุษญวน (ปีใหม่ทางจันทรคติ)

เวียดนามมีเทศกาลตามปฏิทินจันทรคติมากมาย เทศกาลที่สำคัญที่สุดคือการเฉลิมฉลองปีใหม่ตรุษญวน งานแต่งงานเวียดนามแบบดั้งเดิมยังคงเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและมักจะมีการเฉลิมฉลองโดยชาวเวียดนามในประเทศตะวันตก

เทศกาลเต๊ต
เป็นเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญที่สุด มีชื่อเต็มว่า "เต๊ตเงวียนด๊าน" หมายความว่า เทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี มีขึ้นระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นการเฉลิมฉลองความเชื่อในเทพเจ้า ลัทธิเต๋า ขงจื่อ และศาสนาพุทธ และเป็นการเคารพบรรพบุรุษ
เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านประกวดทำขนมเปี๊ยะโก๋ญวน (บันตรังทู) พร้อมทั้งจัดขบวนแห่เชิดมังกร เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อดวงจันทร์

ดนตรี

เพลงเวียดนามแบบดั้งเดิมแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศ ดนตรีคลาสสิกเหนือเป็นรูปแบบดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนามและเป็นประเพณีที่เป็นทางการมากขึ้น ต้นกำเนิดของดนตรีเวียดนามสามารถโยงไปถึงการรุกรานของมองโกลในศตวรรษที่ 13 เมื่อเวียดนามจับกุมคณะงิ้ว[29]

อาหาร

เฝอ หนึ่งในความนิยมมากที่สุดในอาหารเวียดนาม

อาหารเวียดนามแบบดั้งเดิมที่มีการรวมกันของ 5 รสชาติพื้นฐาน "องค์ประกอบ" (เวียดนาม: ngũ vị) เผ็ด (โลหะ), เปรี้ยว (ไม้), ขม (ไฟ), เค็ม (น้ำ) และหวาน (โลก)[30] ส่วนผสมที่พบบ่อย ได้แก่ น้ำปลา, กะปิ, ซอสถั่วเหลือง, ข้าว, สมุนไพรสด, ผลไม้และผัก สูตรเวียดนามใช้ตะไคร้, ขิง, สะระแหน่, สะระแหน่เวียดนาม, ผักชีฝรั่ง, อบเชยญวน, พริกขี้หนู, มะนาว, โหระพา[31] การทำอาหารเวียดนามแบบดั้งเดิมเป็นที่รู้จักกันสำหรับส่วนผสมที่สดใหม่ใช้น้อยที่สุดของน้ำมันและความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสมุนไพรและผักและถือเป็นหนึ่งในอาหารเพื่อสุขภาพทั่วโลก[32]

ในภาคเหนือของเวียดนามอาหารท้องถิ่นมักจะมีรสเผ็ดน้อยกว่าอาหารภาคใต้ ที่ภาคเหนืออากาศหนาวเย็นจำกัดการผลิตและความพร้อมของเครื่องเทศ พริกไทยดำใช้แทนพริกขี้หนูการในทำอาหารรสชาติเผ็ด การใช้เนื้อสัตว์เช่นเนื้อหมู, เนื้อวัวและไก่ที่ค่อนข้างถูกจำกัด ในอดีตที่ผ่านมาเป็นปลาน้ำจืด กุ้ง - โดยเฉพาะปู - หอยและกลายเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย น้ำปลา, ซีอิ๊ว, ซอสกุ้ง และน้ำมะนาวเป็นหนึ่งในส่วนผสมเครื่องปรุงหลัก อาหารในเวียดนาม เช่น ซุปเส้นหมี่ และ ก๋วยเตี๋ยวม้วน กำเนิดในภาคเหนือและถูกพาไปยังภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนาม โดยผู้อพยพ[33]

สถาปัตยกรรม

สื่อสารมวลชน

สื่อของเวียดนามได้รับการควบคุม โดยรัฐบาลตามกฎหมายปี 2004 ในการเผยแพร่ [34] โดยทั่วไปจะมองเห็นว่า ภาคสื่อของเวียดนามถูกควบคุม โดยรัฐบาลไปตามเส้นทางของพรรคคอมมิวนิสต์ แม้ว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับจะค่อนข้างตรงไปตรงมา [35] เสียงของเวียดนามเป็นบริการกระจายเสียงทางวิทยุแห่งชาติที่รัฐ ออกอากาศผ่านทางเอฟเอ็มโดยใช้เครื่องส่งสัญญาณให้เช่าในประเทศอื่นๆ และการให้การออกอากาศจากเว็บไซต์ของ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศเวียดนาม เป็นบริษัทวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ

ตั้งแต่ปี 1997 เวียดนามมีการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยใช้วิธีการทางกฎหมายและทางเทคนิค เพื่อล็อกผลจะเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า "แบมบู ไฟร์วอลล์"[36] โครงการความร่วมมือโอเพ่นเน็ตริเริ่มจัดระดับของเวียดนามการเซ็นเซอร์ทางการเมืองจะเป็นการ "แพร่หลาย"[37] ในขณะที่ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเวียดนามพิจารณาให้เป็นหนึ่งใน 15 ของโลก "ศัตรูของอินเทอร์เน็ต"[38] แม้ว่ารัฐบาลของเวียดนามอ้างว่าเพื่อป้องกันประเทศกับเนื้อหาลามกอนาจารหรือไม่เหมาะสมทางเพศผ่านความพยายามสกัดกั้นของหลายทางการเมืองและศาสนาเว็บไซต์ที่มีความสำคัญเป็นสิ่งต้องห้ามยัง[39]

วันหยุด

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. Only the first verse of the "Army March" is recognized as the official national anthem of the Socialist Republic of Vietnam.

อ้างอิง

  1. Robbers, Gerhard (30 January 2007). Encyclopedia of world constitutions. Infobase Publishing. p. 1021. ISBN 978-0-8160-6078-8. สืบค้นเมื่อ 1 July 2011.
  2. Vietnam – Geography. Index Mundi. 12 July 2011. Retrieved 19 December 2011.
  3. "World Economic Outlook: Vietnam". International Monetary Fund. October 2013. สืบค้นเมื่อ 16 February 2014.
  4. "World Economic Outlook: Vietnam". International Monetary Fund. October 2013. สืบค้นเมื่อ 16 February 2014.
  5. "2014 Human Development Report Summary" (PDF). United Nations Development Programme. 2014. pp. 21–25. สืบค้นเมื่อ 27 July 2014.
  6. "Socialist Republic of Vietnam". Travelsradiate.com. สืบค้นเมื่อ 6 August 2011.
  7. "Vietnam Inequality Report". Mekong Economics. 2005. สืบค้นเมื่อ 7 November 2010.
  8. "Distribution of Family Income – Gini Index". CIA World Factbook, 2008 data. Retrieved 27 November 2011.
  9. doi:10.1016/S0304-4076(02)00161-6
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  10. doi:10.2307/2761129
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  11. Gallup, John Luke (2002). "The wage labor market and inequality in Viet Nam in the 1990s". Ideas.repec.org. สืบค้นเมื่อ 7 November 2010.
  12. http://www.nhandan.com.vn/english/business/050707/business_p.htm
  13. อมตะซิตี้ เบียนโฮ ทางเลือกใหม่ลงทุน
  14. http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9500000096151
  15. http://thai.cri.cn/1/2007/12/05/21@114375.htm
  16. เวียดปักธงสนามบิน $8 พันล้าน แข่งสุวรรณภูมิ (ผู้จัดการ)
  17. "Under South Vietnam Rule". MHRO.org. 2010. Retrieved 21 April 2012.
  18. World Directory of Minorities and Indigenous Peoples – Vietnam: Chinese (Hoa).UNHCR Refworld. Retrieved 12 February 2013.
  19. Vietnam (08/08). U.S. Department of State. Retrieved 12 February 2013.
  20. [1] Religion in Vietnam
  21. "Background Note: Vietnam". US Department of State. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.
  22. "The Largest Buddhist Communities". Adherents.com. Retrieved 9 July 2013. This source quotes a much lower figure than the 85% quoted by the US Department of State.
  23. "Vietnam". APEC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 April 2008. สืบค้นเมื่อ 9 July 2013.
  24. "Vietnam". Encyclopedia of the Nations. 14 August 2007. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.
  25. "Vietnam's religions". Vietnam-holidays.co.uk. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.
  26. "Religion of the Vietnamese". Mertsahinoglu.com. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.
  27. "Vietnam: International Religious Freedom Report 2007". U.S. Department of State: Bureau of Democracy, Human Rights, and Labor. 14 September 2007. สืบค้นเมื่อ 21 January 2008.
  28. หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6 คอลัมน์ หน้าต่างความจริง วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10620
  29. "Opera—Vietnam". Encyclopedia of Modern Asia. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 July 2007. สืบค้นเมื่อ 11 August 2012 – โดยทาง BookRags.com.
  30. Vietnamese Food. Asianinfo.org. Retrieved 3 February 2013.
  31. "Vietnamese Ingredients". WokMe. 2011. สืบค้นเมื่อ 2 December 2011.
  32. Corapi, Annie (2011). "The 10 healthiest ethnic cuisines". CNN Health. สืบค้นเมื่อ 3 December 2011.
  33. Nguyen, Andrea (13 March 2011). "Heaven in a Bowl: The Original Pho". สืบค้นเมื่อ 28 December 2011.
  34. "Law on Publication (No. 30/2004/QH11 of 3 December 2004)". Ministry of Justice. สืบค้นเมื่อ 21 September 2011.
  35. "Muting the Messengers: Vietnam's Press Under Pressure". The Economist. London. 15 January 2009. สืบค้นเมื่อ 17 January 2009.
  36. Wilkey, Robert N (2002). "Vietnam's Antitrust Legislation and Subscription to E-ASEAN: An End to the Bamboo Firewall Over Internet Regulation?". John Marshall Journal of Computer and Information Law. 20 (4).
  37. OpenNet Initiative (9 May 2007). "Country Profile: Vietnam". สืบค้นเมื่อ 15 July 2008.
  38. Reporters Without Borders. "Internet Enemies: Vietnam". สืบค้นเมื่อ 15 July 2008.
  39. "OpenNet Initiative Vietnam Report: University Research Team Finds an Increase in Internet Censorship in Vietnam". Berkman Center for Internet & Society at Harvard University. 5 August 2006. สืบค้นเมื่อ 15 July 2008.

แหล่งข้อมูลอื่น

รัฐบาล
Media and censorship
ท่องเที่ยว