ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปฏิจจสมุปบาท"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ใส่คำอธิบายง่ายๆให้คนที่สนใจได้ค้นคว้า
ป้ายระบุ: เพิ่มข้อความไม่เป็นวิกิขนาดใหญ่
ทำคำอธิบายให้หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่เข้าใจได้ง่ายๆ
บรรทัด 15: บรรทัด 15:
* [[ความโศก]] [[ความคร่ำครวญ]] [[ทุกข์]] [[โทมนัส]] และ[[ความคับแค้นใจ]] ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
* [[ความโศก]] [[ความคร่ำครวญ]] [[ทุกข์]] [[โทมนัส]] และ[[ความคับแค้นใจ]] ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี


ปฏิจสมุปบาท ในภาษาไทยปัจจุบันนั้นแปลว่า หลักสภาวะของชีวิต โดยสรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆกล่าวถึงการลำดับสภาวะชีวิตมนุษย์ว่าเกิดขึ้นมาเป็นร่างกายตัวตนจิตใจได้อย่างไร และจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร บุคคลผู้รู้หลักสภาวะของชีวิต หรือ ปฏิจสมุปบาท เมื่อภาวะมาถึง หมั่นสวดท่องให้ขึ้นใจย่อมพาตนไปสู่ทางหลุดพ้นเป็นที่สุด เนื้อหากล่าวว่า ดังนี้
หลักสภาวะของชีวิต
* •เพราะความไม่แจ้งการเป็นกาย การเป็นใจดับ การปรุงแต่งเกิดขึ้นของความคิด ความรู้สึกจึงดับ
* •เพราะ[[ความไม่แจ้งการเป็นกาย การเป็นใจ]]ดับ [[การปรุงแต่งเกิดขึ้นของความคิด ความรู้สึก]]จึงดับ
* •เพราะการปรุงแต่งเกิดขึ้นของความคิด ความรู้สึกดับ สัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆจึงดับ
* •เพราะ[[การปรุงแต่งเกิดขึ้นของความคิด ความรู้สึก]]ดับ [[สัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆ]]จึงดับ
* •เพราะสัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆดับ ร่างกายตัวตนจิตใจจึงดับ
* •เพรา[[ะสัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆ]]ดับ [[ร่างกายตัวตนจิตใจ]]จึงดับ
* •เพราะร่างกายตัวตนจิตใจดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส การรู้สัมผัส อารมณ์ที่เกิดทางใจจึงดับ
* •เพราะ[[ร่างกายตัวตนจิตใจ]]ดับ [[ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส การรู้สัมผัส อารมณ์ที่เกิดทางใจ]]จึงดับ
* •เพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส การรู้สัมผัส อารมณ์ที่เกิดทางใจดับ การรับรู้ทั้งหมดจึงดับ
* •เพราะ[[ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส การรู้สัมผัส อารมณ์ที่เกิดทางใจ]]ดับ [[การรับรู้ทั้งหมด]]จึงดับ
* • เพราะการรับรู้ทั้งหมดดับ สภาพของใจจึงดับ
* • เพราะ[[การรับรู้ทั้งหมด]]ดับ [[สภาพของใจ]]จึงดับ
* •เพราะสภาพของใจดับ สภาวะติดแน่นในความพึงใจและความใฝ่ที่ทำให้จิตใจยึดติดอยู่ในโลกและสรรพสิ่งของโลกจึงดับ
* •เพราะ[[สภาพของใจ]]ดับ [[สภาวะติดแน่นในความพึงใจและความใฝ่ที่ทำให้จิตใจยึดติดอยู่ในโลกและสรรพสิ่งของโลก]]จึงดับ
* •เพราะสภาวะติดแน่นในความพึงใจและความใฝ่ที่ทำให้จิตใจยึดติดอยู่ในโลกและสรรพสิ่งของโลกดับ ความยึดถือในสิ่งต่างๆจึงดับ
* •เพราะ[[สภาวะติดแน่นในความพึงใจและความใฝ่ที่ทำให้จิตใจยึดติดอยู่ในโลกและสรรพสิ่งของโลก]]ดับ [[ความยึดถือในสิ่งต่างๆ]]จึงดับ
* •เพราะความยึดถือในสิ่งต่างๆดับ ภาวะชีวิตของสัตว์หรือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์จึงดับ
* •เพราะ[[ความยึดถือในสิ่งต่างๆ]]ดับ [[ภาวะชีวิตของสัตว์หรือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์]]จึงดับ
* •เพราะภาวะชีวิตของสัตว์หรือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ดับ ความเกิดจึงดับ
* •เพราะ[[ภาวะชีวิตของสัตว์หรือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์]]ดับ [[ความเกิด]]จึงดับ
* •เพราะความเกิดดับ ความเสื่อม ความแปรปรวน ความสิ้น ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ โทมนัส ความขุ่นจึงดับ กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการดับด้วยอาการอย่างนี้
* •เพราะ[[ความเกิดดับ ความเสื่อม ความแปรปรวน ความสิ้น ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ โทมนัส ความขุ่น]]จึงดับ [[กองทุกข์ทั้งมวล]]นี้มีการดับด้วยอาการอย่างนี้
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่ผู้แสวงหาทางหลุดพ้น
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่ผู้แสวงหาทางหลุดพ้น

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:04, 15 ธันวาคม 2558

ปฏิจจสมุปบาท (/ปะติดจะสะหฺมุบบาด/) (บาลี: Paticcasamuppāda; สันสกฤต: Pratītyasamutpāda) เป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ

ปฏิจสมุปบาท ในภาษาไทยปัจจุบันนั้นแปลว่า หลักสภาวะของชีวิต โดยสรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆกล่าวถึงการลำดับสภาวะชีวิตมนุษย์ว่าเกิดขึ้นมาเป็นร่างกายตัวตนจิตใจได้อย่างไร และจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร บุคคลผู้รู้หลักสภาวะของชีวิต หรือ ปฏิจสมุปบาท เมื่อภาวะมาถึง หมั่นสวดท่องให้ขึ้นใจย่อมพาตนไปสู่ทางหลุดพ้นเป็นที่สุด เนื้อหากล่าวว่า ดังนี้

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่ผู้แสวงหาทางหลุดพ้น ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ เมื่อนั้น ผู้แสวงหาทางหลุดพ้น ย่อมกำจัดมารและเสนาเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยขึ้นสาดส่องท้องฟ้าให้สว่างไสวฉะนั้นแล โพธิกถา จบ. ที่มา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง พระองค์นั้น. มหาขันธกะ โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ แปลง่ายๆว่า

การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา

หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา

ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์

ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ

ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ

ภพ จะดับไปได้เพราะ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ

อุปาทาน จะดับไปได้เพราะ ตัณหา (ความอยาก) ดับ

ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ) ดับ

เวทนา จะดับไปได้เพราะ ผัสสะ (การสัมผัส) ดับ

ผัสสะ จะดับไปได้เพราะ สฬายตนะ (อายตนะใน๖+นอก๖) ดับ

สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รูปขันธ์) ดับ

นามรูป จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ดับ

วิญญาณ จะดับไปได้เพราะ สังขาร (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-เจตสิก) ดับ

สังขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ

สมุทยวาร-นิโรธวาร

การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สอง (สมุทัยสัจจ์) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท

(ดังแสดงสองตัวอย่างที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับ)

การแสดงตรงกันข้ามกับข้างต้นนี้ เรียกว่า นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สาม (นิโรธสัจจ์) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย สืบทอดกันไป เช่น

เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ

ดังนี้เรียกว่า อนุโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท

ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ

อิทัปปัจจยตา ธรรมนิยาม ปัจจยาการ

ปฏิจจสมุปบาทนี้ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา(ภาวะที่มีอันนี้ๆเป็นปัจจัย) และปัจจยาการ (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน)

ข้อความอ้างอิง

จาก มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร ...

ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ

จาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖

ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท (ภิกฺขเว ยา ตตฺร ตถตา อวิตถตา อนฺถตา อิทปฺปจฺจยตา อย วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท)

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

ปฏิจสมุปบาท ในภาษาไทยปัจจุบันนั้นแปลว่า หลักสภาวะของชีวิต โดยสรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆกล่าวถึงการลำดับสภาวะชีวิตมนุษย์ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร บุคคลผู้รู้หลักสภาวะของชีวิต (ปฏิจสมุปบาท) หมั่นสวดท่องให้ขึ้นใจย่อมพาตนไปสู่ทางหลุดพ้นเป็นที่สุด เนื้อหากล่าวว่า ดังนี้ : •เพราะความไม่แจ้งการเป็นกาย การเป็นใจดับ การปรุงแต่งเกิดขึ้นของความคิด ความรู้สึกจึงดับ •เพราะการปรุงแต่งเกิดขึ้นของความคิด ความรู้สึกดับ สัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆจึงดับ •เพราะสัมผัสรับรู้สิ่งต่างๆดับ ร่างกายตัวตนจิตใจจึงดับ •เพราะร่างกายตัวตนจิตใจดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส การรู้สัมผัส อารมณ์ที่เกิดทางใจจึงดับ •เพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส การรู้สัมผัส อารมณ์ที่เกิดทางใจดับ การรับรู้ทั้งหมดจึงดับ • เพราะการรับรู้ทั้งหมดดับ สภาพของใจจึงดับ •เพราะสภาพของใจดับ สภาวะติดแน่นในความพึงใจและความใฝ่ที่ทำให้จิตใจยึดติดอยู่ในโลกและสรรพสิ่งของโลกจึงดับ •เพราะสภาวะติดแน่นในความพึงใจและความใฝ่ที่ทำให้จิตใจยึดติดอยู่ในโลกและสรรพสิ่งของโลกดับ ความยึดถือในสิ่งต่างๆจึงดับ •เพราะความยึดถือในสิ่งต่างๆดับ ภาวะชีวิตของสัตว์หรือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์จึงดับ •เพราะภาวะชีวิตของสัตว์หรือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ดับ ความเกิดจึงดับ •เพราะความเกิดดับ ความเสื่อม ความแปรปรวน ความสิ้น ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ โทมนัส ความขุ่นจึงดับ กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการดับด้วยอาการอย่างนี้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่ผู้แสวงหาทางหลุดพ้น ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ เมื่อนั้น ผู้แสวงหาทางหลุดพ้น ย่อมกำจัดมารและเสนาเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยขึ้นสาดส่องท้องฟ้าให้สว่างไสวฉะนั้นแล โพธิกถา จบ. ที่มา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง พระองค์นั้น. มหาขันธกะ โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ