ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บึงละหาน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
OctraBot (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ ‘ศาตร์’ ด้วย ‘ศาสตร์’
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 5: บรรทัด 5:
'''บึงละหาน''' ครอบคลุมพื่นที่ 4 ตำบลใน[[อำเภอจัตุรัส]] [[จังหวัดชัยภูมิ]] ได้แก่ [[ตำบลละหาน]] ตำบล[[หนองบัวใหญ่]] ตำบล[[หนองบัวบาน]] ตำบล[[ลุ่มลำชี]] โดยมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณ[[ตำบลละหาน]] อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ
'''บึงละหาน''' ครอบคลุมพื่นที่ 4 ตำบลใน[[อำเภอจัตุรัส]] [[จังหวัดชัยภูมิ]] ได้แก่ [[ตำบลละหาน]] ตำบล[[หนองบัวใหญ่]] ตำบล[[หนองบัวบาน]] ตำบล[[ลุ่มลำชี]] โดยมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณ[[ตำบลละหาน]] อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ


'''เนื้อที่''' 29.09 ตารางกิโลเมตร ( 18,181 ไร่ )
'''เนื้อที่''' 29.09 ตารางกิโลเมตร (18,181 ไร่)


'''ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์''' 15ํ 35'-40' N และ 101ํ 50'-56' E
'''ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์''' 15ํ 35'-40' N และ 101ํ 50'-56' E
บรรทัด 27: บรรทัด 27:


=== ปลา ===
=== ปลา ===
[[ไฟล์:ปลาหมอช้างเหยียบบึงละหาน.jpg|thumb|ปลาหมอช้างเหยียบ ปลาที่เป็นสัญลักษณ์ของบึงละหาน]] บึงละหานมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่และมีน้ำตลอดทั้งปี ทำให้ปลาสามารถอาศัยและขยายพันธุ์ได้ดี พบปลาอย่างน้อย 25 ชนิด '''ชนิดที่อยู่ในสภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์''' ได้แก่ [[ปลาดุกด้าน]] '''ปลาในวงศ์ปลาตะเพียน''' พบ 9 ชนิด '''ปลาในวงศ์ปลาหมอ''' พบ 3 ชนิด '''ปลาเศรษฐกิจ''' ได้แก่ [[ปลาสลาด]] ปลาสูบจุด [[ปลาตะเพียนขาว]] [[ปลาสร้อยขาว]] [[ปลาสร้อยนกเขา]] [[ปลาหมอช้างเหยียบ]] [[ปลาช่อน]]
[[ไฟล์:Pristol fasci 100614-3516 awr.JPG|thumb|ปลาหมอช้างเหยียบ ปลาที่เป็นสัญลักษณ์ของบึงละหาน]] บึงละหานมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่และมีน้ำตลอดทั้งปี ทำให้ปลาสามารถอาศัยและขยายพันธุ์ได้ดี พบปลาอย่างน้อย 25 ชนิด '''ชนิดที่อยู่ในสภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์''' ได้แก่ [[ปลาดุกด้าน]] '''ปลาใน[[วงศ์ปลาตะเพียน]]''' พบ 9 ชนิด '''ปลาใน[[วงศ์ปลาหมอ]]''' พบ 3 ชนิด '''ปลาเศรษฐกิจ''' ได้แก่ [[ปลาสลาด]] [[ปลากระสูบจุด|ปลาสูบจุด]] [[ปลาตะเพียนขาว]] [[ปลาสร้อยขาว]] [[ปลาสร้อยนกเขา]] [[ปลาหมอช้างเหยียบ]] [[ปลาช่อน]]


=== พืช ===
=== พืช ===
บรรทัด 34: บรรทัด 34:
== ลักษณะทางธรณีวิทยา ==
== ลักษณะทางธรณีวิทยา ==
'''บึงละหาน''' ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบที่มีชั้นเกลือหินวางตัวอยู่ด้านใต้ เกลือหินสามารถละลายน้ำได้ง่ายและทำให้เกิดโพรงใต้ติน เมื่อตะกอนด้านบนรับน้ำหนักไม่อยู่จึงเกิดการถล่มตัวลงเป็นปรากฏการทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า '''หลุมยุบ''' โดยเริ่มแรกเป็นหลุมขนาดเล็กและค่อยขยายตัวใหญ่ขึ้น เมื่อเกิดหลุมยุบครั้งแรกน้ำจะรสชาติเค็มเนื่องจากน้ำเกลือใต้ดินขึ้นมา ภายหลังตะกอนขนาดเล็กจะปิดกั้นไม่ให้เกลือสามารถขึ้นมาได้ ในขณะที่น้ำจืดเพิ่มปริมาณมากขึ้นความเค็มก็เจือจางไป ปัจจุบันบึงไม่มีการขยายตัวและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ลักษณะเช่นนี้สามารถพบได้หลายแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<ref>เอกสารแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาจังหวัดชัยภูมิ, จุศึกษาที่ 9 บึงละหาน</ref>
'''บึงละหาน''' ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบที่มีชั้นเกลือหินวางตัวอยู่ด้านใต้ เกลือหินสามารถละลายน้ำได้ง่ายและทำให้เกิดโพรงใต้ติน เมื่อตะกอนด้านบนรับน้ำหนักไม่อยู่จึงเกิดการถล่มตัวลงเป็นปรากฏการทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า '''หลุมยุบ''' โดยเริ่มแรกเป็นหลุมขนาดเล็กและค่อยขยายตัวใหญ่ขึ้น เมื่อเกิดหลุมยุบครั้งแรกน้ำจะรสชาติเค็มเนื่องจากน้ำเกลือใต้ดินขึ้นมา ภายหลังตะกอนขนาดเล็กจะปิดกั้นไม่ให้เกลือสามารถขึ้นมาได้ ในขณะที่น้ำจืดเพิ่มปริมาณมากขึ้นความเค็มก็เจือจางไป ปัจจุบันบึงไม่มีการขยายตัวและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ลักษณะเช่นนี้สามารถพบได้หลายแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<ref>เอกสารแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาจังหวัดชัยภูมิ, จุศึกษาที่ 9 บึงละหาน</ref>



== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 07:23, 26 กันยายน 2558

บึงละหาน
เรือประมง ณ บึงละหาน

บึงละหาน เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติมีเนื้อที่กว้างใหญ่ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของประเทศไทย 18,181 ไร่ เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และยังมีระบบนิเวศที่ดี บึงละหานได้รับเลือกให้เข้าอยู่ในทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติของไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับนานาชาติ(Ramsar Site)ต่อสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีของอนุสัญญาแรมซาร์(Ramsar Convention) อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในการเป็นถิ่นที่อยู่ของนกน้ำ (The Convention on Wetlands of International Importance, especially as Waterfowl Habitat.) และเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 มีมติคณะรัฐมนตรี การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 บึงละหานจึงยังไม่ได้อยู่ในทะเบียนรายชื่อของสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่เพื่อเป็นการอนุรักษ์แหล่งเพาะพันธ์และอนุบาลสัตว์น้ำจึงมีการกำหนดจุดอนุรักษ์จำนวน 2 จุด คือบริเวณศาลเจ้าพ่อหาญคำและบริเวณวิจัยประมงน้ำจืดจังหวัดชัยภูมิ และขอความร่วมมือชาวประมงไม่ให้จับสัตว์น้ำในบริเวณจุดอนุรักษ์ดังกล่าว


ที่ตั้งและพื้นที่

บึงละหาน ครอบคลุมพื่นที่ 4 ตำบลในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ ตำบลละหาน ตำบลหนองบัวใหญ่ ตำบลหนองบัวบาน ตำบลลุ่มลำชี โดยมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณตำบลละหาน อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ

เนื้อที่ 29.09 ตารางกิโลเมตร (18,181 ไร่)

ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ 15ํ 35'-40' N และ 101ํ 50'-56' E

สูงจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 190 เมตร

สภาพทางกายภาพ

ลักษณะภูมิประเทศ

บึงละหานมีลักษณะเป็นที่ลุ่มคล้ายแอ่งกระทะเอียงไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณพื้นที่ทิศตะวันตกมีพื้นที่มากกว่าด้านอื่น[1]

สภาพเดิม

บึงละหานในฤดูแล้ง สามารถนำปศุสัตว์ลงหากินได้

สภาพเดิม เป็นหนองน้ำหลายแห่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ในฤดูน้ำหลากน้ำจะไหลเข้ามาจากลำห้วยต่างๆเช่น ห้วยลำคันฉู ห้วยหลัว ห้วยยาง ห้วยตาแก้ว เป็นต้น ทำให้ปริมาณน้ำในหนองเออเข้าหากันรวมเป็นหนองขนาดใหญ่ เรียกว่า บึงละหาน ภายในบริเวณบึงมีเกาะที่เกิดจากน้ำท่วมไม่ถึงซึ่งชาวบ้านเรียกว่าโนน เช่น โนนจาน โนนงิ้ว และน้ำในบึงจะใหลลงแม่น้ำชีในที่สุด เนื่องจากบึงละหานเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติไม่มีระบบกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งน้ำในบึงจึงลดลงมากจนมีสภาพตื้นเขินสามารถนำปศุสัตว์ลงหากินและทำเกษตรได้ในบางพื้นที่

สภาพปัจจุบัน

สภาพปัจจุบัน บึงละหาน ได้รับการพัฒนาให้มีคันดินล้อมรอบบริเวณบึง มีฝายน้ำล้นกักเก็บน้ำและมีประตูเปิดปิดน้ำไว้ไม่ให้ไหลลงลำน้ำชีเร็วเกินไปเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการอุปโภคบริโภคหล่อเลี้ยงชาวจังหวัดชัยภูมิ เพื่อการเกษตร การประมง และเพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่บึงละหาน บึงละหานจึงกลายเป็นบึงขนาดใหญ่ มีน้ำตลอดทั้งปี ระดับน้ำลึกที่สุดประมาณ 1.5 – 4 เมตร และยังคงมีแกาะกลางน้ำที่น้ำท่วมไม่ถึงอยู่เช่นเดิม เกาะที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 0.3 ตารางกิโลเมตร (187.5 ไร่) มีป่าละเมาะขึ้นที่โดยรอบจะมีลักษณะเกาะจะค่อนข้างเรียบลักษณะดินโดยรอบเป็นดินที่ที่มีการทับถมของซากพืชจึงมีความอ่อนตัวของดิน จากสภาพเดิมของบึงละหานที่เป็นบึงน้ำตามธรรมชาติ ในฤดูน้ำหลากน้ำจะเออเข้าท่วมหมู่บ้านโดยรอบเป็นประจำทุกปี

สภาพทางชีวภาพ

นก

บึงละหานมีระบบนิเวศที่มีความสภาพสมบูรณ์ ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มากทำให้มีนกหลากหลายสายพันธุ์เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่งพบอย่างน้อย 56 ชนิด นกประจำถิ่น 24 ชนิด นกน้ำและนกชายเลน 27 ชนิด นกอพยพแต่มิใช่เพื่อการผสมพันธุ์ 29 ชนิดได้แก่ นกยางโทนน้อย นกยางโทนใหญ่ นกยางเปีย นกยางไฟธรรมดา นกยางไฟหัวดำ นกอพยพเพื่อการผมพันธ์ 1 ชนิด ได้แก่ นกแอ่นทุ่งใหญ่ นกอพยพตามฤดูกาล 1 ชนิด ได้แก่ นกแซงแซวหางปลา นกที่อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ นกกระสานวล นกกระสาแดง นกกระแตหาง นกที่อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ได้แก่ นกกระแตผีใหญ่ นกที่พบมาก ได้แก่ นกนางแอ่นทุ่งใหญ่ เป็ดแดง

ปลา

ปลาหมอช้างเหยียบ ปลาที่เป็นสัญลักษณ์ของบึงละหาน

บึงละหานมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่และมีน้ำตลอดทั้งปี ทำให้ปลาสามารถอาศัยและขยายพันธุ์ได้ดี พบปลาอย่างน้อย 25 ชนิด ชนิดที่อยู่ในสภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ ปลาดุกด้าน ปลาในวงศ์ปลาตะเพียน พบ 9 ชนิด ปลาในวงศ์ปลาหมอ พบ 3 ชนิด ปลาเศรษฐกิจ ได้แก่ ปลาสลาด ปลาสูบจุด ปลาตะเพียนขาว ปลาสร้อยขาว ปลาสร้อยนกเขา ปลาหมอช้างเหยียบ ปลาช่อน

พืช

พืชในบึงละหานกระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ หนาแน่นบริเวณขอบบึงทิศตะวันตกและทิศเหนือของบึง พบมากที่สุดคือธูปฤๅษี กกสามเหลี่ยม หญ้าขน หญ้าชันกาด บริเวณขอบบึงถึงบริเวณกลางน้ำพบ ผักตกชวา จอกแหน พังพวยน้ำ ผักบุ้ง สาวบัว บัวหลวง กระจับ จอก ไข่ผำ บริเวณน้ำลึกจะมีสาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายหางวัว บางบริเวณจะมีกลุ่มพืชที่ขึ้นทับถมกันหนาแน่นลอยไปตามน้ำคล้ายเกาะลอยน้ำ ชาวบ้านในท้องถิ่น เรียกว่า กอสนม อ่านว่า กอ-สะ-นม

ลักษณะทางธรณีวิทยา

บึงละหาน ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบที่มีชั้นเกลือหินวางตัวอยู่ด้านใต้ เกลือหินสามารถละลายน้ำได้ง่ายและทำให้เกิดโพรงใต้ติน เมื่อตะกอนด้านบนรับน้ำหนักไม่อยู่จึงเกิดการถล่มตัวลงเป็นปรากฏการทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า หลุมยุบ โดยเริ่มแรกเป็นหลุมขนาดเล็กและค่อยขยายตัวใหญ่ขึ้น เมื่อเกิดหลุมยุบครั้งแรกน้ำจะรสชาติเค็มเนื่องจากน้ำเกลือใต้ดินขึ้นมา ภายหลังตะกอนขนาดเล็กจะปิดกั้นไม่ให้เกลือสามารถขึ้นมาได้ ในขณะที่น้ำจืดเพิ่มปริมาณมากขึ้นความเค็มก็เจือจางไป ปัจจุบันบึงไม่มีการขยายตัวและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ลักษณะเช่นนี้สามารถพบได้หลายแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ[2]

อ้างอิง

  1. ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดชัยภูมิ, การรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นและผลการจับปลาในบึงละหาน ปี 2549-2551, 2551
  2. เอกสารแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาจังหวัดชัยภูมิ, จุศึกษาที่ 9 บึงละหาน

บรรณานุกรม

  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดชัยภูมิ, การรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นและผลการจับปลาในบึงละหาน ปี 2549-2551, 2551
  • เอกสารแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาจังหวัดชัยภูมิ, จุดศึกษาที่ 9 บึงละหาน