ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อิกกีว โซจุง"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
AlphamaBot (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 49: บรรทัด 49:


== ข้อสังเกต ==
== ข้อสังเกต ==
อิกกีว น่าจะสร้างภาพให้เหมือนว่าท่านเป็นพระนอกรีด โดยเน้นให้คนเราได้เห็นว่า พระกับคนทั่วไปไม่แตกต่างกัน หากยังยึดติดกามอารมณ์ แต่ท่านคงไม่ได้ทำตัวมั่วกิเลสอย่างที่ได้รับการตีความ และการมีภรรยา ก็คงมิใช่การลากสังขารมามีอะไรกับใคร แต่คงเป็นการให้เกรียติและยกย่อง เพื่อให้สังคมมองเห็นถึงความไม่แน่นอนในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะคุณค่าของความเป็นคน ที่ไม่มีสิ่งใดสมมติได้ ยกเว้นว่าจะมองเห็น หรือทำให้มองเห็นสัจจะธรรมได้อย่างไรก็เท่านั้นเอง
อิกกีว น่าจะสร้างภาพให้เหมือนว่าท่านเป็นพระนอกรีด โดยเน้นให้คนเราได้เห็นว่า พระกับคนทั่วไปไม่แตกต่างกัน หากยังยึดติดกามอารมณ์ แต่ท่านคงไม่ได้ทำตัวมั่วกิเลสอย่างที่ได้รับการตีความ และการมีภรรยา ก็คงมิใช่การลากสังขารมามีอะไรกับใคร แต่คงเป็นการให้เกียรติและยกย่อง เพื่อให้สังคมมองเห็นถึงความไม่แน่นอนในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะคุณค่าของความเป็นคน ที่ไม่มีสิ่งใดสมมติได้ ยกเว้นว่าจะมองเห็น หรือทำให้มองเห็นสัจจะธรรมได้อย่างไรก็เท่านั้นเอง


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:51, 8 กุมภาพันธ์ 2558

อิกกีว โซจุง

(เซงกิกุมารุ {{{ฉายา}}})
ภาพเหมือนของพระอิกกีว
ส่วนบุคคล
เกิด1394
มรณภาพ1481
สำนักRinzai
ตำแหน่งชั้นสูง
ตำแหน่งZen Master

อิกกีว โซจุน (ญี่ปุ่น: 一休宗純โรมาจิIkkyū Sōjun) (พ.ศ. 1937–2024) เป็นพระนิกายเซนชาวญี่ปุ่นที่มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคมุโระมะชิ และเป็นต้นแบบของอิกกีวซังในการ์ตูนเณรน้อยเจ้าปัญญา

ประวัติ

อิกกีวเกิดที่เมืองเคียวโตะ ชื่อในวัยเด็กคือเซงกิกุมารุ (千菊丸) เขาเป็นลูกนอกสมรสของจักรพรรดิโงโคะมะสึ แม่ของอิกกีวถูกกลั่นแกล้งเพราะมาจากราชวงศ์ทางใต้จนต้องหนีออกจากราชวัง อิกกีวเริ่มบวชที่วัดอังโกะกุจิตอนอายุได้ 6 ขวบ และเปลี่ยนชื่อเป็นชูเคง (周建) เขามีความสามารถทางด้านการแต่งกลอนตั้งแต่ยังเด็ก เมื่ออายุ 13 ขวบ อิกกีวซึ่งขณะนั้นย้ายมาอยู่วัดเคนนินแต่งกลอนวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของพระที่กอบโกยทรัพย์สินยศถาบรรดาศักดิ์บนความทุกข์ยากของชาวบ้าน

เมื่ออายุได้ 17 ปี อิกกีวย้ายมาที่วัดไซกินเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเคนโอ โซอิ และได้ฉายาว่าโซจุน ต่อมาหลวงพ่อเคนโอมรณภาพ อิกกีวจึงเดินทางไปวัดอิชิยะมะ อดอาหาร 7 วัน 7 คืน และพยายามฆ่าตัวตายที่แม่น้ำเซตะ อิกกีวจึงอธิษฐานจิตว่า "ถ้าพระโพธิสัตว์ต้องการให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็ขอให้ข้าพเจ้าฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่หากชีวิตข้าพเจ้าไร้ซึ่งคุณค่าเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศสังขารให้เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำ" ระหว่างที่ดิ่งลงในท้องน้ำ อิกกีวก็นึกถึงหน้าท่านแม่และคำสอนขึ้นมาทันใด "เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ย่อท้อ" อิกกีวจึงตะเกียกตะกายกลับขึ้นฝั่ง

หลังจากนั้น เมื่ออายุได้ 23 ปี อิกกีวไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคะโซ โซดน แห่งวัดไดโตคุ อิกกีวสามารถแก้ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อคะโซตั้งไว้ได้จึงได้รับฉายาใหม่ว่า "อิกกีว โซจุน" ขณะที่อยู่ที่วัดไดโตะกุนี้ท่านต้องทำงานทั้งวัน และปฏิบัติอย่างหนักหน่วง นอกจากใช้แรงงานในวัดแล้ว อิกกีวยังต้องสานรองเท้า เย็บเสื้อผ้าตุ๊กตาผู้หญิง และออกไปขายแรงงานในหมู่บ้านละแวกนั้น ซ้ำยังโดนพระรุ่นพี่ที่ไม่ชอบหน้ากลั่นแกล้งอยู่เสมอ แต่ในที่สุดอิกกีวก็สามารถบรรลุธรรมในขณะที่นั่งสมาธิบนเรือริมฝั่งทะเลสาบ "เหตุแห่งความทุกข์และความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเกิดจากจิตที่ เต็มไปด้วยอัตตา" คือแก่นธรรมที่ท่านค้นพบ

เมื่อทราบว่าอิกกีวสามารถบรรลุแก่นธรรม หลวงพ่อคะโซมีความประสงค์ที่จะมอบใบสำเร็จเปรียญธรรมให้ แต่อิกกีวปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมติ" และเริ่มออกธุดงค์

เมื่อท่านอายุได้ 75 พรรษา ระหว่างที่ธุดงค์เร่ร่อนหลบภัยสงครามภายในประเทศมาอยู่ที่เมืองซึมิโยชิ ท่านได้พบกับชินจิชะ หญิงศิลปินขอทานตาบอด ซึ่งภายหลังท่านได้รับนางเป็นภรรยา เมื่ออายุได้ 85 พระจักรพรรดิแต่งตั้งให้อิกกีวเป็น เจ้าอาวาสวัดไดโตะกุซึ่งเป็นวัดหลวงที่สำคัญที่สุดในสมัยนั้น เมื่อไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้ อิกกีวจึงยอมรับตำแหน่ง แต่เพียงแค่วันเดียวก็ลาออกกลับมาอยู่วัดเมียวโชจิที่ท่านสร้างจวบจนวาระสุดท้าย ท่านมรณภาพเพราะโรคมาลาเรีย ในปีพ.ศ. 2024 เมื่ออายุได้ 88 ปี

อุปนิสัย

อิกกีวเป็นพระที่มีนิสัยประหลาด และปฏิเสธสังคมพระในขณะนั้นอย่างรุนแรง ทำทุกอย่างที่ถือว่าเป็น อาบัติ เช่น ดื่มสุรา เล่นการพนัน ฉันเนื้อสัตว์ ไม่โกนผมและหนวดเครา ซึ่งอิกกีวทำเพื่อต้องการต่อต้านและเสียดสีรวมทั้งสั่งสอนพระจอมปลอมในยุคนั้นให้ละอายกับการลวงโลก

ข้อสังเกต

อิกกีว น่าจะสร้างภาพให้เหมือนว่าท่านเป็นพระนอกรีด โดยเน้นให้คนเราได้เห็นว่า พระกับคนทั่วไปไม่แตกต่างกัน หากยังยึดติดกามอารมณ์ แต่ท่านคงไม่ได้ทำตัวมั่วกิเลสอย่างที่ได้รับการตีความ และการมีภรรยา ก็คงมิใช่การลากสังขารมามีอะไรกับใคร แต่คงเป็นการให้เกียรติและยกย่อง เพื่อให้สังคมมองเห็นถึงความไม่แน่นอนในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะคุณค่าของความเป็นคน ที่ไม่มีสิ่งใดสมมติได้ ยกเว้นว่าจะมองเห็น หรือทำให้มองเห็นสัจจะธรรมได้อย่างไรก็เท่านั้นเอง

อ้างอิง