ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เกรซ เคลลี"
บรรทัด 43: | บรรทัด 43: | ||
'''เกรซ เคลลี'''ในการแสดงแบบชุดกลางคืนในภาพยนตร์เรื่อง ''[[หน้าต่างชีวิต|Rear Window]]''.]] ตั้งแต่เด็ก เกรซก็มีเค้าลางว่าจะได้ทำงานในสายอาชีพการแสดง เกรซได้เป็นนางแบบเดินแฟชั่นในงานสังคมสาธารณะกุศลร่วมกับแม่และพี่สาว การแสดงครั้งแรกของเกรซมีขึ้นเมื่อเธอมีอายุเพียง 12 ขวบโดยการแสดงละครเรื่องหนึ่ง ในระหว่างการเรียนชั้นมัธยมปลาย เกรซได้แสดงทั้งละครและระบำ ในหนังสือรุ่น เพื่อนๆ เธอเขียนทำนายไว้ว่าเธอจะได้เป็น “ดาราที่มีชื่อเสียงทั้งในจอเงินและทางวิทยุ” |
'''เกรซ เคลลี'''ในการแสดงแบบชุดกลางคืนในภาพยนตร์เรื่อง ''[[หน้าต่างชีวิต|Rear Window]]''.]] ตั้งแต่เด็ก เกรซก็มีเค้าลางว่าจะได้ทำงานในสายอาชีพการแสดง เกรซได้เป็นนางแบบเดินแฟชั่นในงานสังคมสาธารณะกุศลร่วมกับแม่และพี่สาว การแสดงครั้งแรกของเกรซมีขึ้นเมื่อเธอมีอายุเพียง 12 ขวบโดยการแสดงละครเรื่องหนึ่ง ในระหว่างการเรียนชั้นมัธยมปลาย เกรซได้แสดงทั้งละครและระบำ ในหนังสือรุ่น เพื่อนๆ เธอเขียนทำนายไว้ว่าเธอจะได้เป็น “ดาราที่มีชื่อเสียงทั้งในจอเงินและทางวิทยุ” |
||
เมื่อจบชั้นมัธยมปลาย เกรซตัดสินใจมุ่งสู่อาชีพการแสดง และได้เข้าศึกษาใน ''สถาบันศิลปะการแสดงอเมริกัน''ใน[[นิวยอร์ก]] ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่ได้ผลิตดาราที่มีชื่อเสียงในวงการมาแล้วหลายคน เช่น [[แคทารีน เฮ |
เมื่อจบชั้นมัธยมปลาย เกรซตัดสินใจมุ่งสู่อาชีพการแสดง และได้เข้าศึกษาใน ''สถาบันศิลปะการแสดงอเมริกัน''ใน[[นิวยอร์ก]] ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่ได้ผลิตดาราที่มีชื่อเสียงในวงการมาแล้วหลายคน เช่น [[แคทารีน เฮปเบิร์น]]และ[[สเปนเซอร์ เทรซี]]เป็นต้น เกรซหารายได้มาจุนเจือค่าเล่าเรียนจากเป็นนางแบบ ระหว่างการศึกษา เกรซเป็นนักศึกษาที่ขยันมาก ใช้เครื่องอัดเสียงมาช่วยในการฝึกพูดจนได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ เธอได้เริ่มงานแสดงละครบรอดเวย์เป็นครั้งปฐมฤกษ์ และเมื่ออายุ 19 ปี เกรซจบการศึกษาด้วยการแสดงละครเรื่อง “''เดอะฟิลาเดลเฟียสตอรี''” ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิตการแสดงภาพยนตร์ของเธอ |
||
ต่อมาเกรซได้เข้าสู่วงการโทรทัศน์และประสบความสำเร็จซึ่งนำไปสู่วงการจอเงินเป็นครั้งแรกโดยการเป็นตัวแสดงประกอบในภาพยนตร์เรื่อง “''14 ชั่วโมง''” (พ.ศ. 2494) เมื่ออายุ 22 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้เกรซได้รับข้อเสนอมากหลายรายแต่เธอก็ปฏิเสธด้วยเกรงว่าจะขาดอิสรภาพในวงการละคร |
ต่อมาเกรซได้เข้าสู่วงการโทรทัศน์และประสบความสำเร็จซึ่งนำไปสู่วงการจอเงินเป็นครั้งแรกโดยการเป็นตัวแสดงประกอบในภาพยนตร์เรื่อง “''14 ชั่วโมง''” (พ.ศ. 2494) เมื่ออายุ 22 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้เกรซได้รับข้อเสนอมากหลายรายแต่เธอก็ปฏิเสธด้วยเกรงว่าจะขาดอิสรภาพในวงการละคร |
||
บรรทัด 49: | บรรทัด 49: | ||
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเกรซได้รับโทรเลขจาก[[ผู้กำกับภาพยนตร์]][[ฮอลลีวูด]]ให้มาแสดงนำคู่กับ[[แกรี คูเปอร์]] ในเรื่อง “''ไฮนูน''” ซึ่งได้แม้จะได้รับ[[รางวัลออสการ์]] 2 ถึงรางวัล แต่เกรซก็ยังไม่พอใจและสมัครเข้ารับการฝึกจากครูฝึกสอนการแสดง ซึ่งมีผลให้ได้รับบทบาทเป็นผู้แสดงประกอบในภาพยนตร์ที่แสดงโดย[[คล๊าก เกเบิล]]และ[[เอวา การ์ดเนอร์]]ในเรื่อง “''โมแกมโบ''” พ.ศ. 2496 ที่ถ่ายทำในป่า[[ประเทศเคนยา]] การฝึกฝนต่อดังกล่าว มีผลให้เกรซได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง[[รางวัลออสการ์]]ส่งให้เกรซขึ้นชั้นในระดับดารา |
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเกรซได้รับโทรเลขจาก[[ผู้กำกับภาพยนตร์]][[ฮอลลีวูด]]ให้มาแสดงนำคู่กับ[[แกรี คูเปอร์]] ในเรื่อง “''ไฮนูน''” ซึ่งได้แม้จะได้รับ[[รางวัลออสการ์]] 2 ถึงรางวัล แต่เกรซก็ยังไม่พอใจและสมัครเข้ารับการฝึกจากครูฝึกสอนการแสดง ซึ่งมีผลให้ได้รับบทบาทเป็นผู้แสดงประกอบในภาพยนตร์ที่แสดงโดย[[คล๊าก เกเบิล]]และ[[เอวา การ์ดเนอร์]]ในเรื่อง “''โมแกมโบ''” พ.ศ. 2496 ที่ถ่ายทำในป่า[[ประเทศเคนยา]] การฝึกฝนต่อดังกล่าว มีผลให้เกรซได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง[[รางวัลออสการ์]]ส่งให้เกรซขึ้นชั้นในระดับดารา |
||
ผู้กำกับชื่อดังคือ [[อัลเฟรด ฮิชค็อก]] ได้ให้เกรซสวมบทบาทนางเอกในภาพยนตร์ประเภทลึกลับตื่นเต้นหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่อง “''[[หน้าต่างชีวิต|เรียร์ วินโดว์]]''” คู่กับ[[ |
ผู้กำกับชื่อดังคือ [[อัลเฟรด ฮิชค็อก]] ได้ให้เกรซสวมบทบาทนางเอกในภาพยนตร์ประเภทลึกลับตื่นเต้นหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่อง “''[[หน้าต่างชีวิต|เรียร์ วินโดว์]]''” คู่กับ[[เจมส์ สจ๊วต]]ซึ่งทำให้เกรซเป็นที่เลื่องลือไปทั่วประเทศ ฮิชค็อกได้ให้เกรซแสดงอีกหลายเรื่องจนที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในปี [[พ.ศ. 2498]] เคลลีได้รับรางวัลอะแคเดมีในฐานะนักแสดงยอดเยี่ยมในเรื่อง “เด็กบ้านนอก” (The Country Girl) |
||
เรื่องสุดท้ายที่เกรซนำแสดงได้แก่เรื่อง “''สังคมชั้นสูง''” (High Society –พ.ศ. 2499) ภาพยนตร์เพลงที่ดัดแปลงจากเรื่อง “''เดอะฟิลาเดลเฟียสตอรี''” ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับเรื่องที่เกรซใช้แสดงเพื่อจบการศึกษาดังกล่าวในตอนต้น |
เรื่องสุดท้ายที่เกรซนำแสดงได้แก่เรื่อง “''สังคมชั้นสูง''” (High Society –พ.ศ. 2499) ภาพยนตร์เพลงที่ดัดแปลงจากเรื่อง “''เดอะฟิลาเดลเฟียสตอรี''” ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับเรื่องที่เกรซใช้แสดงเพื่อจบการศึกษาดังกล่าวในตอนต้น |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:27, 3 มีนาคม 2557
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก | |
---|---|
เกรซ แพทริเซีย | |
เจ้าหญิงแห่งโมนาโก | |
ประสูติ | 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472 ฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา |
สวรรคต | 14 กันยายน พ.ศ. 2525 โมนาโก |
พระราชสวามี | เจ้าชายเรนิเยที่ 3 แห่งโมนาโก (พ.ศ. 2499 - 2525) |
พระราชบุตร | - เจ้าหญิงกาโรลีนแห่งโมนาโก - เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 แห่งโมนาโก - เจ้าหญิงสเตฟานีแห่งโมนาโก |
ราชวงศ์ | กรีมัลดี |
พระบิดา | นายจอห์น เบรนดัน เคลลี ซีเนียร์ |
พระมารดา | นางมาร์กาเร็ต แคทรีน เมเจอร์ |
เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก หรือ เกรซ แพทริเซีย เคลลี (อังกฤษ: Grace Patricia Kelly; 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472 – 14 กันยายน พ.ศ. 2525) เป็นนักแสดงภาพยนตร์ชาวอเมริกันผู้ได้รับรางวัลอะแคเดมี ได้เสกสมรสกับเจ้าชายเรนิเยที่ 3 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2499 เจ้าหญิงเกรซเป็นพระมารดาของเจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก
หลังการอภิเษกสมรสแล้ว เจ้าหญิงเกรซถือสัญชาติพร้อมกันสองสัญชาติ คือทั้งอเมริกันและโมนาโก ชีวิตที่เป็นดัง “เทพนิยาย” ทำให้พระองค์เป็นชาวอเมริกันผู้เลื่องลือและเป็นที่รักมากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20[ต้องการอ้างอิง]
ครอบครัว
เกรซ เคลลีเกิดที่ย่านอีสฟอลล์ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวน 4 คนของนายแจ็คและนางมากาเร็ต เคลลี บิดาของเกรซเป็นบุตร 1 ใน 10 คนของครอบครัวชาวอเมริกันคาทอลิกที่อพยพมาจากสาธารณรัฐไอร์แลนด์ แจ็คผู้บิดาเคยเป็นวีรบุรุษของชาวอเมริกันมาแล้วจากการได้เหรียญทองโอลิมปิกมากถึง 3 เหรียญในแข่งขันเรือกรรเชียงคู่ในขณะที่กีฬาชนิดนี้กำลังเป็นที่นิยมสูงสุด แจ็คทำธุรกิจการค้าอิฐที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ และประสบความสำเร็จในระดับมหาเศรษฐีคนหนึ่ง พี่น้องของแจ็คหลายคนประสบความสำเร็จในชีวิตด้านศิลปะ คนหนึ่งเป็นนักเขียนบทละครย่อยที่โด่งดัง อีกคนหนึ่งได้รับรางวัลพูลิตเซอร์
เมื่อ พ.ศ. 2478 แจ็ก หรือที่เรียกกันอย่างว่า จอห์น เคลลีได้ลงสมัครรับการเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีในนามของพรรคเดโมแครตแต่ก็แพ้อย่างหวุดหวิด ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ได้แต่งตั้งแจ็กเป็นประธานกรรมการพลศึกษาแห่งชาติซึ่งเป็นตำแหน่งทางประชาสัมพันธ์ที่ใช้ความมีชื่อเสียงด้านกีฬาของเขามาช่วยโน้มน้าวให้ชาวอเมริกันหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมากขึ้น
มากาเร็ต มารดาของเกรซมีเชื้อสายเยอรมันที่เข้ารีตเป็นคาทอลิก เธอเองก็เก่งด้านกีฬา จบสาขาพลศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทมเพิลซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้าภาควิชาพลศึกษาคนแรกของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
จอห์น บี เคลลี จูเนียร์พี่ชายของเกรซก็มีเชื้อไม่ทิ้งแถวของครอบครัว โดยเป็นนักกีฬาที่ชนะเลิศรางวัล “เจมส์ อี ซุลลิแวน” ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดสำหรับกีฬาสมัครเล่นของสหรัฐฯ เมื่อ พ.ศ. 2490 ในปี พ.ศ. 2499 จอห์น จูเนียร์ยังได้รางวัลเหรียญทองแดงโอลิมปิกฤดูร้อนจากการแข่งขันเรือกรรเชียง และได้มอบเหรียญนี้เป็นของขวัญแต่งงานของน้องสาว
ชีวิตการแสดง
ตั้งแต่เด็ก เกรซก็มีเค้าลางว่าจะได้ทำงานในสายอาชีพการแสดง เกรซได้เป็นนางแบบเดินแฟชั่นในงานสังคมสาธารณะกุศลร่วมกับแม่และพี่สาว การแสดงครั้งแรกของเกรซมีขึ้นเมื่อเธอมีอายุเพียง 12 ขวบโดยการแสดงละครเรื่องหนึ่ง ในระหว่างการเรียนชั้นมัธยมปลาย เกรซได้แสดงทั้งละครและระบำ ในหนังสือรุ่น เพื่อนๆ เธอเขียนทำนายไว้ว่าเธอจะได้เป็น “ดาราที่มีชื่อเสียงทั้งในจอเงินและทางวิทยุ”
เมื่อจบชั้นมัธยมปลาย เกรซตัดสินใจมุ่งสู่อาชีพการแสดง และได้เข้าศึกษาใน สถาบันศิลปะการแสดงอเมริกันในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่ได้ผลิตดาราที่มีชื่อเสียงในวงการมาแล้วหลายคน เช่น แคทารีน เฮปเบิร์นและสเปนเซอร์ เทรซีเป็นต้น เกรซหารายได้มาจุนเจือค่าเล่าเรียนจากเป็นนางแบบ ระหว่างการศึกษา เกรซเป็นนักศึกษาที่ขยันมาก ใช้เครื่องอัดเสียงมาช่วยในการฝึกพูดจนได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ เธอได้เริ่มงานแสดงละครบรอดเวย์เป็นครั้งปฐมฤกษ์ และเมื่ออายุ 19 ปี เกรซจบการศึกษาด้วยการแสดงละครเรื่อง “เดอะฟิลาเดลเฟียสตอรี” ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิตการแสดงภาพยนตร์ของเธอ
ต่อมาเกรซได้เข้าสู่วงการโทรทัศน์และประสบความสำเร็จซึ่งนำไปสู่วงการจอเงินเป็นครั้งแรกโดยการเป็นตัวแสดงประกอบในภาพยนตร์เรื่อง “14 ชั่วโมง” (พ.ศ. 2494) เมื่ออายุ 22 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้เกรซได้รับข้อเสนอมากหลายรายแต่เธอก็ปฏิเสธด้วยเกรงว่าจะขาดอิสรภาพในวงการละคร
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเกรซได้รับโทรเลขจากผู้กำกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดให้มาแสดงนำคู่กับแกรี คูเปอร์ ในเรื่อง “ไฮนูน” ซึ่งได้แม้จะได้รับรางวัลออสการ์ 2 ถึงรางวัล แต่เกรซก็ยังไม่พอใจและสมัครเข้ารับการฝึกจากครูฝึกสอนการแสดง ซึ่งมีผลให้ได้รับบทบาทเป็นผู้แสดงประกอบในภาพยนตร์ที่แสดงโดยคล๊าก เกเบิลและเอวา การ์ดเนอร์ในเรื่อง “โมแกมโบ” พ.ศ. 2496 ที่ถ่ายทำในป่าประเทศเคนยา การฝึกฝนต่อดังกล่าว มีผลให้เกรซได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ส่งให้เกรซขึ้นชั้นในระดับดารา
ผู้กำกับชื่อดังคือ อัลเฟรด ฮิชค็อก ได้ให้เกรซสวมบทบาทนางเอกในภาพยนตร์ประเภทลึกลับตื่นเต้นหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่อง “เรียร์ วินโดว์” คู่กับเจมส์ สจ๊วตซึ่งทำให้เกรซเป็นที่เลื่องลือไปทั่วประเทศ ฮิชค็อกได้ให้เกรซแสดงอีกหลายเรื่องจนที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2498 เคลลีได้รับรางวัลอะแคเดมีในฐานะนักแสดงยอดเยี่ยมในเรื่อง “เด็กบ้านนอก” (The Country Girl)
เรื่องสุดท้ายที่เกรซนำแสดงได้แก่เรื่อง “สังคมชั้นสูง” (High Society –พ.ศ. 2499) ภาพยนตร์เพลงที่ดัดแปลงจากเรื่อง “เดอะฟิลาเดลเฟียสตอรี” ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับเรื่องที่เกรซใช้แสดงเพื่อจบการศึกษาดังกล่าวในตอนต้น
แม้ชีวิตการเป็นนักแสดงภาพยนตร์ของเกรซ เคลลีจะมีช่วงเวลาเพียง 5 ปี และแสดงไปเพียง 11 เรื่อง ความสวยและเสน่ห์ของเกรซได้ประทับลงไปในความทรงจำของคนอมเริกันและนักชมภาพยนตร์ในยุคนั้นอย่างไม่มีวันลืมเลือน
การแต่งงานและชีวิตเจ้าหญิง
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2498 เกรซ เคลลีได้รับการขอร้องให้เป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ขณะที่อยู่ที่นั่น เธอได้รับเชิญไปร่วมงานถ่ายภาพในวังโมนาโกกับเจ้าชายเรนีเย เจ้าผู้ครองประเทศโมนาโก หลังจากผลัดผ่อนหลายครั้งจากความไม่สะดวกหลายอย่าง ในที่สุด เกรซก็ได้ไปถึงโมนาโก ที่ซึ่งทำให้เกรซได้พบกับเจ้าชาย
หลังจากกลับสหรัฐฯ และเริ่มแสดงภาพยนตร์เรื่องใหม่เรื่อง “หงส์” (The Swan - พ.ศ. 2499) ซึ่งบังเอิญสวมบทบาทเป็นเจ้าหญิง ไม่นานจากนั้น เกรซ เคลลีเริ่มมีการติดต่อสัมพันธ์กับเจ้าชายเรนีเยเป็นการส่วนตัว ในเดือนธันวาคมปีนั้น เจ้าชายก็ได้เสด็จมาอเมริกาเป็นทางการ ซึ่งมีการโจษจันว่าเสด็จเพื่อแสวงหาพระชายาเนื่องจากสนธิสัญญากับฝรั่งเศสซึ่งทำไว้เมื่อ พ.ศ. 2461 บ่งไว้ว่า เมื่อใดที่เจ้าชายแห่งโมนาโกไม่มีรัชทายาท โมนาโกจะต้องรวมกับฝรั่งเศส
เจ้าชายได้ถูกถามในการให้สัมภาษณ์ว่าพระองค์กำลังแสวงหาพระชายาใช่หรือไม่ ซึ่งพระองค์ทรงตอบปฏิเสธ และในคำถามถัดมาถามว่าสมมุติว่าใช่ พระองค์จะโปรดพระชายาแบบไหน? พระงค์ทรงพระสรวลแล้วตอบว่า “ไม่ทราบ... แต่คงจะดีที่สุดกระมัง” เจ้าชายได้ทรงพบเกรซ เคลลีกับครอบครัวของเธอ และในอีกเพียง 3 วันต่อมาเจ้าชายเรนีเยก็ขอแต่งงานกับเกรซ ซึ่งเธอตอบรับ จากนั้นพระองค์และครอบครัวของเกรซก็ได้เตรียมการแต่งงานที่โด่งดังที่สุดแห่งศตวรรษ
ข่าวการหมั้นเป็นที่ตื่นเต้นเลื่องลือ แม้จะหมายความถึงการสิ้นสุดชีวิตการแสดงของเกรซก็ตาม วงการภาพยนตร์ก็รู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เกรซอยู่ในวงการแสดงต่อไป จึงได้แต่อวยพรให้เธอมีความสุข
การเตรียมพระราชพิธีมงคลสมรสเต็มไปด้วยความพิถีพิถัน มีการทาสีพระราชวัง ตบแต่งใหม่ทั้งหมด รวมทั้งพิธีการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสู่โมนาโก ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2499 เกรซ เคลลีได้ลงเรือที่ท่าในนครนิวยอร์กพร้อมกับเพื่อนเจ้าสาวและครอบครัวของเธอ สุนัขพูเดิลและสัมภาระ 400 ชิ้นออกจากท่าสู่ริเวียรา มีนักข่าวมากกว่า 400 คนขอร่วมเดินทางไปด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธเกือบทั้งหมด ใช้เวลาเดินทาง 8 วัน มีผู้คอยต้อนรับมากกว่าสองหมื่นคนเรียงรายโห่ร้องต้อนรับเจ้าหญิงในอนาคตตามถนน
พระราชพิธีสมรสได้รับการถ่ายทอดไปทั่วยุโรป เกรซต้องจดจำชื่อตำแหน่งทางการให้ได้มากถึง 142 ชื่อ ในงานพระราชพิธีมีแขกผู้มีเกียรติและชนชั้นสูงได้รับเชิญจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก 600 คน และคาดว่ามีผู้ชมการถ่ายทอดทางโทรทัศน์รวม 30 ล้านคน เจ้าชายเรนีเยและเจ้าหญิงเกรซพระชายาได้ลงเรือยอชต์ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ท่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเวลา 7 วันในคืนวันนั้นเอง
ทั้งสองพระองค์ได้พระราชธิดาพระองค์แรกหลังพระราชพิธีสมรส 9 เดือนกับ 4 วัน มีการยิงสลุต 21 นัดและประกาศเป็นวันหยุดราชการ หยุดการพนัน แจกแชมเปญฟรี และในปีเศษต่อมามีการยิงสลุต 101 นัดเพื่อต้อนรับโอรส คือเจ้าชายอัลแบร์
เจ้าชายเรนีเยและเจ้าหญิงเกรซมีพระโอรสและพระธิดา 3 พระองค์ดังนี้
- เจ้าฟ้าหญิงกาโรลีนแห่งฮาโนเวอร์ ประสูติวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2500
- เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ประสูติ 14 มีนาคม พ.ศ. 2501
- เจ้าหญิงสเตฟานี มารี เอลิซาเบทแห่งโมนาโก ประสูติ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508
เจ้าหญิงเกรซ ไม่ได้หวนกลับสู่วงการจอเงินอีก พระองค์ทรงเลือกที่จะเป็นผู้นำประเทศฝ่ายสตรี ในปี พ.ศ. 2505 ฮิตช์ค็อกได้ทูลชวนพระองค์ให้มาแสดงภาพยนตร์อีก พระองค์อยากจะลองแต่ไม่มีผู้ใดเห็นด้วยรวมทั้งเจ้าชายเรนีเย เจ้าหญิงจึงตอบปฏิเสธไป แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงเกรซก็ได้เข้าสู่วงการศิลปินในรูปแบบพิเศษโดยการอ่านบทกลอนในภาพยนตร์ชุดสารคดีเมื่อ พ.ศ. 2520 พระองค์ในฐานะเจ้าหญิงได้มีบทบาทในการยกระดับสถาบันศิลปะของโมนาโก มีการจัดตั้งมูลนิธิเจ้าหญิงเกรซขึ้นเพื่ออุปถัมภ์ศิลปินของประเทศ
เจ้าหญิงเกรซเป็นบุคคลชั้นสูงคนแรกที่สนับสนุนการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา ทรงจัดงานคริสต์มาสประจำปีสำหรับเด็กกำพร้าและทรงจัดตั้งสโมสรสวนดอกไม้ขึ้นเนื่องจากที่พระองค์โปรดปรานดอกไม้มาก
เจ้าชายเรนีเยและเจ้าหญิงเกรซได้จัดงานเฉลิมฉลองวาระที่ได้ทรงอภิเษกสมรสครบ 25 ปี เมื่อ พ.ศ. 2527
การสิ้นพระชนม์
ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2525 ด้วยพระชนมายุ 52 พรรษา เจ้าหญิงเกรซและเจ้าหญิงสเตฟานีพระราชธิดาได้ขับรถมุ่งสู่โมนาโกจากที่ประทับในชนบท พระองค์ประชวรกะทันหันด้วยโรคเส้นโลหิตแตกในสมอง ทำให้รถโรเวอร์ที่ทรงขับอยู่พลิกคว่ำตกจากไหล่เนินที่สูงหลายตลบ และทรงสิ้นพระชนม์ในวันรุ่งขึ้น มีการโจษจันกันว่าจุดเกิดเป็นถนนช่วงโค้งที่เดียวกันกับที่ใช้เป็นเป็นฉากภาพยนตร์ แต่พระโอรสทรงปฏิเสธ เจ้าหญิงสเตฟานีได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
พระศพของเจ้าหญิงเกรซได้รับการฝังไว้ในโบสถ์เซนต์นิโคลาส ประเทศโมนาโก และต่อมาเจ้าชายเรนีเยก็ถูกฝังไว้เคียงของเจ้าหญิงเกรซหลังจากเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2548 มีประชาชนมากกว่า 100 ล้านคนที่ชมการถ่ายทอดพิธีฝังพระศพเจ้าหญิงเคลลี
หลังการสิ้นพระชนม์
ชีวิตในราชวงศ์เริ่มเปลี่ยนไป สิ่งที่ทุกคนเป็นห่วงคือพระพลานามัยของเจ้าชายเรนิเย นับตั้งแต่การจากไปของเจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ อีกทั้งความประพฤติของพระธิดาทั้งสองพระองค์ ที่ไม่เคยนำความชื่นใจมาเลย โดยเฉพาะเจ้าหญิงสเตฟานีที่มีความประพฤติ ไปในทางลบด้านชู้สาวเสียมากกว่า ส่วนเจ้าชายอัลแบร์ก็คงตำแหน่งเจ้าชายเพลย์บอยไม่เสื่อมคาย
ทั้งนี้เจ้าชายเรนิเยทรงรับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2548 หลังจากทรงพระประชวรจากอาการของพระปัปผาสะติดเชื้อ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม อาการทรุดลง เมื่อวันที่ 1 เมษายน สำนักพระราชวังโมนาโกก็แถลงว่า เจ้าชายอัลแบร์จะทรงขึ้นสำเร็จราชการแทนพระองค์ สำนักพระราชวังโมนาโกแถลงว่าเจ้าชายเรนิเยสิ้นพระชนม์แล้วเมื่อเวลา 04.35 น. ด้วยพระชนม์มายุ 81 พรรษา โดยมีเจ้าชายอัลแบร์ประทับอยู่เคียงข้าง
แหล่งข้อมูลอื่น
- เกรซ เคลลี ในข้อมูลอินเทอร์เน็ต [1]
- แผนภูมิการสืบราชวงศ์ของเจ้าชายอัลแบร์ [2]
- รายชื่อเครือญาติเจ้าหญิงเกรซ [3]
ก่อนหน้า | เกรซ เคลลี | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
กีแลน มารี ฟร็องซัว ดอม็องแฌ | เจ้าหญิงพระชายาในองค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก (19 เมษายน พ.ศ. 2499 - 14 กันยายน พ.ศ. 2525) |
ชาร์ลีน ไลเน็ตต์ วิตต์สท็อก |