ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อุปรากร"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
Pradinu (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Sydney Opera House Australia.jpg|thumb|right|250px|[[โรงอุปรากรซิดนีย์]]ใน[[ประเทศออสเตรเลีย]] เป็นโรงอุปรากรที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก]]
[[ไฟล์:Sydney Opera House Australia.jpg|thumb|right|250px|[[โรงอุปรากรซิดนีย์]]ใน[[ประเทศออสเตรเลีย]] เป็นโรงอุปรากรที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก]]


{{ความหมายอื่น|||ดูที่=โอเปร่า (แก้ความกำกวม)}}
{{ความหมายอื่น|||ดูที่=อุปรากร (แก้ความกำกวม)}}


'''โอเปร่า''' ({{lang-en|opera}}) เป็นศิลปะการแสดงบนเวทีชนิดหนึ่ง โดยมีลักษณะเป็นแบบ[[ละคร]]ที่ดำเนินโดยใช้[[ดนตรี]]เป็นหลักหรือทั้งหมด โดยโอเปร่าถือเป็นส่วนหนึ่งของ[[ดนตรีคลาสสิก]] ของตะวันตก โอเปร่านั้นจะมีความใกล้เคียงกับ[[ละครเวที]]ชนิดอื่น ๆ ในเรื่องของฉาก การแสดง และเครื่องแต่งกาย แต่สิ่งสำคัญที่แยกโอเปร่าออกจากละครเวทีทั่วไปคือ ความสำคัญของเพลง ดนตรีที่ประกอบการร้อง ซึ่งอาจเป็นได้ตั้งแต่วงดนตรีขนาดเล็กจนไปถึง[[วงออร์เคสตรา]]ขนาดเต็ม บางครั้งโอเปร่า อาจใช้คำว่า "อุปรากร" ด้วย
'''อุปรากร''' ({{lang-en|opera}}) เป็นศิลปะการแสดงบนเวทีชนิดหนึ่ง โดยมีลักษณะเป็นแบบ[[ละคร]]ที่ดำเนินเรื่องโดยใช้[[ดนตรี]]เป็นหลักหรือทั้งหมด อุปรากรถือเป็นส่วนหนึ่งของ[[ดนตรีคลาสสิก]] ตะวันตก มีความใกล้เคียงกับ[[ละครเวที]]ในเรื่องฉาก การแสดง และเครื่องแต่งกาย แต่สิ่งสำคัญที่แยกอุปรากรออกจากละครเวทีทั่วไป คือ ความสำคัญของเพลง ดนตรีที่ประกอบการร้อง ซึ่งอาจมีตั้งแต่วงดนตรีขนาดเล็กจนไปถึง[[วงออร์เคสตรา]]ขนาดใหญ่


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==
โอเปร่ามีกำเนิดขึ้นในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 16 ณ [[ประเทศอิตาลี]] ต้นกำเนิดของโอเปร่าสามารถสืบค้นไปได้ถึงสมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีการแสดงที่เรียกว่า tragedies ลักษณะเป็นการขับร้องประสานเสียงประกอบบทเจรจา ในสมัยกลางเรเนสซองส์มีการแสดงที่ใช้การร้องดำเนินเรื่องราว เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 16 กลุ่มนักดนตรีอิตาเลียน ที่เมืองฟลอเรนซ์ได้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับละครร้องย้อนไปถึงยุคกรีกโบราณดังกล่าว ในที่สุดจึงคิดรูปแบบการประพันธ์ที่เรียกว่า '''โอเปร่า''' (Opera) ขึ้น ผู้ประพันธ์เพลงซึ่งได้ประพันธ์และพัฒนารูปแบบโอเปร่าคือ เพรี ราวต้นศตวรรษที่ 17 มอนเทเวร์ดีได้ปรับรูปแบบโอเปร่าให้สมบูรณ์ขึ้น ทำให้โอเปร่ามีรูปแบบคล้ายกับรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อุปรากรกำเนิดขึ้นในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 16 ณ [[ประเทศอิตาลี]] สามารถสืบค้นต้นกำเนิดได้ถึงสมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีการแสดงที่เรียกว่า tragedies ลักษณะเป็นการขับร้องประสานเสียงประกอบบทเจรจา ในสมัยกลางและเรเนส์ซองส์มีการแสดงที่ใช้การขับร้องดำเนินเรื่อง เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 16 กลุ่มนักดนตรีอิตาเลียนที่เมืองฟลอเรนซ์ได้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับละครร้องย้อนไปถึงยุคกรีกโบราณดังกล่าว ในที่สุดจึงคิดรูปแบบการประพันธ์ที่เรียกว่า '''อุปรากร''' (Opera) ขึ้น ผู้ประพันธ์เพลงที่ได้พัฒนารูปแบบของอุปรากร คือ เพรี ราวต้นศตวรรษที่ 17 มอนเทเวร์ดีได้ปรับรูปแบบอุปรากรให้สมบูรณ์ขึ้น ทำให้คล้ายกับรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


[[ดนตรีบาโรก|ยุคบาโรค]]โอเปร่าเป็นการแสดงที่ผู้ขับร้องนำงตัวพระเอกและนางเอกเป็นสตรีล้วน ตั้งแต่[[ยุคคลาสสิก (ดนตรี)|ยุคคลาสสิก]]เป็นต้นมาผู้ขับร้องนำทั้งตัวพระเอกและนางเอกใช้ผู้ขับร้องเป็นชายและหญิงแท้จริง [[โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท|โมซาร์ท]]เป็นผู้หนึ่งที่พัฒนารูปแบบโอเปร่าในยุคคลาสสิกให้มีมาตรฐาน โดยได้ประพันธ์โอเปร่าไว้หลายเรื่องด้วยกัน ใน[[ยุคโรแมนติก (ดนตรี)|ยุคโรแมนติก]]การประพันธ์โอเปร่ามีรูปแบบหลากหลาย บางเรื่องมีความยาวมาก สามารถแสดงได้ทั้งวันทั้งคืน
[[ดนตรีบาโรค|ยุคบาโรค]]อุปรากรเป็นการแสดงที่ผู้ขับร้องนำบทพระเอกและนางเอกเป็นสตรีล้วน ตั้งแต่[[ยุคคลาสสิก (ดนตรี)|ยุคคลาสสิก]]เป็นต้นมา ผู้ขับร้องนำทั้งพระเอกและนางเอกใช้ผู้ขับร้องเป็นชายและหญิงแท้จริง [[โวล์ฟกัง มาเดอุส โมสาร์ท|โมสาร์ท]]เป็นผู้หนึ่งที่พัฒนารูปแบบอุปรากรในยุคคลาสสิกให้มีมาตรฐาน โดยไว้หลายเรื่องด้วยกัน ใน[[ยุคโรแมนติก (ดนตรี)|ยุคโรแมนติก]]การประพันธ์อุปรากรมีรูปแบบหลากหลาย บางเรื่องมีความยาวมาก สามารถแสดงได้ทั้งวันทั้งคืน


== องค์ประกอบของโอเปร่า ==
== องค์ประกอบของอุปรากร ==
* '''1. เนื้อเรื่อง''' เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นบทร้อยกรองที่มาจากตำนาน เทพนิยายนิทานโบราณ และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับแสดงโอเปร่าโดยเฉพาะ โดยมีคีตกวีเป็นผู้แต่งทำนองดนตรี คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเรื่องทำเนื้อเรื่องให้เป็นบทร้อยกรองหรือบทละครสำหรับขับร้อง และแต่งดนตรีประกอบทั้งเรื่องด้วย
* '''1. เนื้อเรื่อง''' เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นเรื่องที่มาจากตำนาน เทพนิยายโบราณ และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่โดยเฉพาะ โดยมีคีตกวีเป็นผู้แต่งทำนอง คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเนื้อเรื่องหรือบทละคร และดนตรีประกอบด้วย
* '''2. ดนตรี''' ดนตรีในโอเปร่านั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้โอเปรามีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยดนตรีบรรเลงโหมโรง (Overture) บรรเลงประกอบบทร้อยกรองซึ่งเป็นบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญ จนโอเปร่าได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของผู้ประพันธ์ดนตรี หรือ คีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง หรือ บทขับร้อง เช่น โอเปร่าเรื่อง Madame Butterfly ของ Giacomo Puccini (1878-1924) [[จาโกโม ปุชชีนี|ปุชชีนี]] เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบ ผู้แต่งละครเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (David Belasco ได้เค้าเรื่องนี้จากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้ร้อยกรองเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa แต่เมื่อพูดถึงโอเปร่าเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นผลงานของคีตกวีปุชชินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์ หรือ กวีผู้ร้อยกรองเรื่องให้เป็นบทขับร้อง หรือโอเปร่าเรื่อง คาร์เมน (Carmen) ของ [[จอร์จ บีเซต์|บิเซต์]] (Georges Bizet) ที่มี Prosper Merimee เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่าโอเปร่าเรื่องคาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา (Orchertral)
* '''2. ดนตรี''' ดนตรีในอุปรากรเป็นสิ่งที่ทำให้อุปรากรมีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยบทโหมโรง (Overture) และดนตรีประกอบบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญ จนอุปรากรได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของคีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง เช่น เรื่อง Madame Butterfly ของ Giacomo Puccini (1878-1924) [[จาโกโม ปุชชีนี|ปุชชีนี]] เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบ ผู้แต่งละครมาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (ได้โครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้แต่งเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นงานของปุชชินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์บทขับร้อง หรืออุปรากรเรื่อง คาร์เมน (Carmen) ของ [[จอร์จ บีเซต์|บิเซต์]] (Georges Bizet) ที่มี Prosper Merimee เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่า อุปรากรเรื่องคาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา
* '''3. ผู้แสดง''' ผู้แสดงโอเปร่านอกจากต้องเป็นนักร้องที่เสียงไพเราะดังแจ่มใสกังวาน มีพลังเสียงดี แข็งแรงร้องได้นาน ต้องฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะ ยังเป็นผู้มีบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นในเรื่องน้ำเสียง ความสามารถในการขับร้องและบทบาทมากกว่าความสวยงามและรูปร่างของผู้แสดง มักให้นักร้องเสียงสูงทั้งหญิงและชายแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยทั่วไป น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้องแบ่งเป็น 6 ระดับเสียง คือ เป็นน้ำเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ และน้ำเสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ดังนี้
* '''3. ผู้แสดง''' ผู้แสดงอุปรากรนอกจากจะต้องเป็นนักร้องที่มีเสียงไพเราะ มีพลังเสียงดี แข็งแรง ฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะแล้ว ยังเป็นนักแสดงผู้มีบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นในเรื่องน้ำเสียง ความสามารถในการขับร้องและบทบาทมากกว่าความสวยงามและรูปร่างของผู้แสดง มักให้นักร้องเสียงสูงทั้งหญิงและชายแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยทั่วไป น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้องแบ่งเป็น 6 ระดับเสียง คือ เป็นน้ำเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ และน้ำเสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ดังนี้


1. [[โซปราโน]] (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง
1. [[โซปราโน]] (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง
บรรทัด 27: บรรทัด 27:
6. [[เบส]] (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย
6. [[เบส]] (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย


== ลักษณะของโอเปร่า ==
== ลักษณะของอุปรากร ==
* 1. [[ลิเบรตโต]] (Libretto) คือเนื้อเรื่อง หรือบทละครของโอเปร่า บางครั้งบทโอเปร่าอาจจะเป็นบทหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายหรือบทละครอื่น ๆ บางครั้งบทโอเปราก็เป็นบทที่ผู้ประพันธ์แต่งเนื้อเรื่องขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ประพันธ์เพลงใช้เป็นบทแต่งโอเปร่า เช่น ดา ปองเต (Da Ponte) เขียนบทโอเปร่าบางเรื่องให้กับ[[โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท|โมซาร์ท]] เช่น เรื่อง [[Don Giovanni]], บัวตา (Boita) เขียนบทโอเปร่าบางเรื่องให้กับ[[จูเซปเป แวร์ดี|แวร์ดี]] เช่น เรื่อง Otella บางครั้งบทโอเปราเป็นบทประพันธ์ของผู้ประพันธ์เพลงเองโดยแท้ เช่น [[ริชาร์ด วากเนอร์|วากเนอร์]] ประพันธ์ Lohengrin และ The Flying Dutchman และเมโนตี (Menotti) ประพันธ์ The Telephone เป็นต้น
* 1. [[ลิเบรตโต]] (Libretto) คือเนื้อเรื่อง หรือบทละครของอุปรากร บางครั้งอาจดัดแปลงมาจากนวนิยายหรือบทละครอื่น ๆ บางครั้งก็เป็นบทที่ผู้ประพันธ์แต่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับคีตกวี เช่น ดา ปองเต (Da Ponte) เขียนบทบางเรื่องให้กับ[[โวล์ฟกัง มาเดอุส โมสาร์ท|โมสาร์ท]] เช่น เรื่อง [[Don Giovanni]], บัวตา (Boita) เขียนบทบางเรื่องให้กับ[[จูเซปเป แวร์ดี|แวร์ดี]] เช่น เรื่อง Otella บางครั้งบทก็เป็นของผู้ประพันธ์เพลงเอง เช่น [[ริชาร์ด วากเนอร์|วากเนอร์]] ประพันธ์ Lohengrin และ The Flying Dutchman และเมน็อตตี (Menotti) ประพันธ์ The Telephone เป็นต้น
* 2. [[โอเวอร์เชอร์]] (Overture) คือ บทประพันธ์ที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีล้วน ๆ ใช้เป็นเพลงนำก่อนการแสดงโอเปร่า อาจเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า “เพลงโหมโรง” บางครั้งอาจใช้คำว่า [[พรีลูด]] (Prelude) แทนโอเวอร์เชอร์ เพลงโอเวอร์เชอร์อาจจะเป็นเพลงที่แสดงถึงบรรยากาศของโอเปร่าที่จะแสดง กล่าวคือ ถ้าโอเปร่าเป็นเรื่องเศร้าโอเวอร์เชอร์จะมีทำนองเศร้าอยู่ในที เป็นต้น บางครั้งโอเวอร์เชอร์อาจเป็นเพลงที่รวมทำนองหลักของโอเปร่าฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้ โอเวอร์เชอร์มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ 5-10 นาที ปกติจะใช้[[วงออร์เคสตรา]]ทั้งวงบรรเลง ถ้าโอเปราเรื่องนั้นใช้วงออร์เคสตราประกอบ ลักษณะของเพลงโอเวอร์เชอร์ มักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นด้านความดัง – ค่อย สีสัน ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้โอเวอร์เชอร์เป็นบทเพลงที่ชวนฟัง โอเวอร์เชอร์ของโอเปราบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป็นเพลงบทเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ตโดยทั่วไป เช่น “Overture of [[The Marriage of Figaro]]” ของโมซาร์ทOverture of the Barder of Saville” ของ [[จิอาซิโน รอสชินี|รอสซินี]] “Overture of Fidelio” ของ[[ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟิน|เบโธเฟน]] “Overture of [[Carmen]]” ของ[[ชอร์ช บีเซ|บิเซต์]] เป็นต้น
* 2. [[เพลงโหมโรง]] (Overture) คือ บทประพันธ์ที่ใช้บรรเลงนำก่อนการแสดงอุปรากร บางครั้งใช้คำว่า [[พรีลูด]] (Prelude) เป็นเพลงที่แสดงถึงอารมณ์โดยรวมของอุปรากรที่จะแสดง กล่าวคือ ถ้าเป็นเรื่องเศร้า เพลงโหมโรงก็จะมีทำนองเศร้าอยู่ในที เป็นต้น บางครั้งเพลงโหมโรงอาจรวมเอาทำนองหลักจากอุปรากรฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้ เพลงโหมโรงนี้มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ 5-10 นาที ปกติจะใช้[[วงออร์เคสตรา]]ทั้งวงบรรเลง ลักษณะของเพลงโหมโรงมักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านความดัง – ค่อย สีสัน ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้เพลงโหมโรงเป็นบทเพลงที่ชวนฟัง เพลงโหมโรงของอุปรากรบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป็นบทเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ตโดยทั่วไป เช่น “Overture of [[The Marriage of Figaro]]” ของโมสาร์ทThe Barber of Seville Overture” ของ [[จิโออัคคิโน รอสซินี|รอสซินี]] “Fidelio” ของ[[ลุดวิก ฟาน เบโธเฟ่น|เบโธเฟ่น]] “Overture of [[Carmen]]” ของ[[จอร์จ บีเซต์|บิเซต์]] เป็นต้น
* 3. [[รีซิเททีฟ]] (Recitative) คือบทสนทนาในโอเปร่าที่ใช้การร้องแทนการใช้คำพูด อย่างไรก็ตามมักจะไม่เป็นทำนองที่ไพเราะมากนัก จะเน้นที่คำพูดมากกว่า แต่ก็มีดนตรีและการร้องช่วยทำให้บทสนทนาน่าสนใจ เป็นลักษณะการร้องหรือดนตรีอีกประเภทหนึ่ง
* 3. [[เรซิเททีฟ]] (Recitative) คือบทสนทนาในอุปรากรที่ใช้การร้องแทนการพูด อย่างไรก็ตามมักจะไม่เป็นทำนองที่ไพเราะมากนัก จะเน้นที่คำพูดมากกว่า แต่ก็มีดนตรีและการร้องช่วยทำให้บทสนทนาน่าสนใจ เป็นลักษณะการร้องอีกประเภทหนึ่ง
* 4. [[อาเรีย]] (Aria) คือ บทร้องเดี่ยวในโอเปร่า มีลักษณะตรงกันข้ามกับรีซิเททีฟ เนื่องจากเน้นการร้องและดนตรีเป็นหลัก มากกว่าเน้นการสนทนา อาเรียเป็นบทร้องที่ตัวละครตัวเดียวร้องซึ่งจัดเป็นบทร้องที่เต็มไปด้วยลีลาของดนตรีที่งดงาม จึงยากแก่การร้อง กล่าวได้ว่าอาเรียเป็นส่วนที่ทำให้โอเปร่ามีความเป็นเอกลักษณ์ได้เลยทีเดียว
* 4. [[อาเรีย]] (Aria) คือ บทร้องเดี่ยวในอุปรากร มีลักษณะตรงกันข้ามกับเรซิเททีฟ เนื่องจากเน้นการร้องและดนตรีมากกว่าเน้นการสนทนา อาเรียเป็นบทร้องที่ตัวละครเดี่ยวร้อง จัดเป็นบทร้องที่เต็มไปด้วยลีลาของดนตรีที่งดงาม ยากแก่การร้อง กล่าวได้ว่าอาเรียเป็นส่วนที่ทำให้อุปรากรมีความเป็นเอกลักษณ์ได้เลยทีเดียว
* 5. บทร้องประเภทสอง สาม สี่ และมากกว่านี้ของตัวละคร (Duo, Trio, and Other Small Ensembles) บทร้องที่มีคนร้องสองคนแทนที่จะเป็นคนเดียวในลักษณะของอาเรียเรียกว่า [[ดูโอ]] (Duo) ถ้าเป็น 3 คนร้องเรียกว่า [[ทรีโอ]] (Trio) สี่และห้าคนร้องเรียกว่า [[ควอเต็ต]] (Quartet) และ[[ควินเต็ต]] (Quintet) และอาจมีมากกว่าห้าคนก็ได้ เช่น บทร้อง 6 คน (Sextet) “Lucia” จากเรื่อง Rigoletto เป็นบทร้องที่มีชื่อเสียงของโอเปร่ามาก
* 5. บทร้องประเภทสอง สาม สี่ และมากกว่านี้ของตัวละคร (Duo, Trio, and Other Small Ensembles) บทร้องที่มีนักร้องสองคนแทนที่จะเป็นคนเดียวในลักษณะของอาเรีย เรียกว่า [[ดูโอ]] (Duo) ถ้าเป็น 3 คนร้องเรียกว่า [[ทริโอ]] (Trio) สี่และห้าคนร้องเรียกว่า [[ควอเต็ต]] (Quartet) และ[[ควินเต็ต]] (Quintet) และอาจมีมากกว่าห้าคนก็ได้ เช่น บทร้อง 6 คน (Sextet) “Lucia” จากเรื่อง Rigoletto เป็นบทร้องที่มีชื่อเสียงมาก
* 6. [[วงขับร้องประสานเสียง|บทร้องประสานเสียง]] (Chorus) ในโอเปร่าบางเรื่องที่มีฉากประกอบด้วยผู้เล่นเป็นจำนวนมาก มักจะมีการร้องประสานเสียงเสมอ บทร้องประสานเสียงจากโอเปร่าที่มีชื่อเสียง เช่น “The Anvil Chorus” จาก II Irovatore, “The Pilgrim’s Chorus” จาก “Tannhauser, The Triumphal Chorus” จาก Aida
* 6. [[วงขับร้องประสานเสียง|บทร้องประสานเสียง]] (Chorus) ในอุปรากรบางเรื่องที่มีฉากประกอบไปด้วยผู้เล่นจำนวนมากมักจะมีการร้องประสานเสียงเสมอ บทร้องประสานเสียงที่มีชื่อเสียง เช่น “The Anvil Chorus” จาก Il Trovatore, “The Pilgrim’s Chorus” จาก “Tannhauser, The Triumphal Chorus” จาก Aida
* 7. [[วงออร์เคสตรา|ออร์เคสตรา]] (Orchestra) วงออร์เคสตรานอกจากจะเล่นโอเวอร์เชอร์แล้ว ยังใช้ประกอบการร้องในลักษณะต่าง ๆ ในโอเปราตลอดเรื่องในบางครั้งออร์เคสตราจะบรรเลงโดยไม่มีผู้ร้องเพื่อให้การร้องหรือรีซิเททีฟแต่ละตอนต่อเนื่องหรือสร้างอารมณ์ในเนื้อเรื่องให้เข้มข้นขึ้น บางครั้งวงออร์เคสตราจะมีบทบาทในโอเปร่ามากทีเดียว เช่น โอเปร่า ที่แต่งโดยวากเนอร์ มักจะเน้นการบรรเลงของวงออร์เคสตราเสมอ
* 7. [[วงออร์เคสตรา|ออร์เคสตรา]] (Orchestra) วงออร์เคสตรานอกจากจะเล่นเพลงโหมโรงแล้ว ยังใช้ประกอบการร้องในลักษณะต่าง ๆ ตลอดเรื่อง ในบางครั้งออร์เคสตราจะบรรเลงโดยไม่มีผู้ร้อง เพื่อให้การร้องหรือเรซิเททีฟแต่ละตอนต่อเนื่องหรือสร้างอารมณ์ให้เข้มข้นขึ้น บางครั้งวงออร์เคสตราจะมีบทบาทมาก เช่น อุปรากรของวากเนอร์ มักจะเน้นการบรรเลงของวงออร์เคสตราเสมอ
* 8. ระบำ (Dance) ในโอเปร่าแทบทุกเรื่องมักจะมีบางตอนของฉากใด ฉากหนึ่งที่มีระบำประกอบ โดยทั่วไปการเต้นรำมักเป็นการแสดง[[บัลเลต์]]ที่สวยงาม ซึ่งเป็นของคู่กันกับโอเปราแบบฝรั่งเศส (French Opera) บางครั้งอาจจะเป็นระบำในลักษณะอื่น ๆ เช่น ระบำพื้นเมือง การเต้นรำแบบต่าง ๆ เช่น วอล์ทซ (Waltz) เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องของโอเปร่า
* 8. ระบำ (Dance) ในอุปรากรบางเรื่องอาจมีบางฉากที่มีการเต้นรำประกอบ โดยทั่วไปมักเป็นการแสดง[[บัลเลต์]]ที่สวยงาม ซึ่งเป็นของคู่กันกับอุปรากรแบบฝรั่งเศส (French Opera) บางครั้งอาจจะเป็นระบำในลักษณะอื่น ๆ เช่น ระบำพื้นเมือง การเต้นรำแบบต่าง ๆ เช่น วอล์ทซ (Waltz) เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
* 9. องก์ และฉาก (Acts and Scenes) โอเปร่าก็เช่นเดียวกับละครทั่ว ๆ ไป มีการแบ่งเป็นตอน ๆ เรียกว่า องก์ และแบ่งย่อยลงไปเป็นฉาก เช่น คาร์เมน (Carmen) เป็นโอเปร่า ประกอบด้วย 4 องก์ เป็นต้น
* 9. องก์ และฉาก (Acts and Scenes) อุปรากรก็เช่นเดียวกับละครทั่ว ๆ ไป มีการแบ่งเป็นองก์ และแบ่งย่อยลงไปเป็นฉาก เช่น คาร์เมน (Carmen) เป็นอุปรากร 4 องก์ เป็นต้น
* 10. [[ไลท์โมทีฟ]] (Leitmotif) ในโอเปร่าบางเรื่อง ผู้ประพันธ์จะมีแนวทำนองต่าง ๆ แทนตัวละครแต่ละตัว หรือแทนเหตุการณ์ สภาพการณ์ และแนวทำนองเหล่านี้จะปรากฏอยู่ตลอดเวลาในโอเปร่าเพื่อแทนตัวละครหรือเหตุการณ์นั้น ๆ วากเนอร์เป็นผู้หนึ่งที่ชอบใช้ไลท์โมทีฟ เช่น Ring motive ของ Ring Cycle และ Love motive ใน Tristan and Isolde
* 10. [[ไลท์โมทีฟ]] (Leitmotif) ในอุปรากรบางเรื่อง ผู้ประพันธ์จะมีแนวทำนองต่าง ๆ แทนตัวละครแต่ละตัว หรือแทนเหตุการณ์ สภาพการณ์ แนวทำนองเหล่านี้จะปรากฏอยู่ตลอดเวลาเพื่อแทนตัวละครหรือเหตุการณ์นั้น ๆ วากเนอร์เป็นผู้หนึ่งที่ชอบใช้ไลท์โมทีฟ เช่น Ring motive ในอุปรากรชุด The Ring และ Love motive จากอุปรากรเรื่อง Tristan and Isolde


== ประเภทของโอเปร่า ==
== ประเภทของอุปรากร ==
* 1. โอเปร่า (Opera) โดยปกติคำว่า “โอเปร่า” มักจะใช้จนเป็นที่เข้าใจว่า หมายถึง โอเปราซีเรีย (Opera seria) หรือ Serious opera หรือ Grand opera ซึ่งเป็นโอเปร่าที่ผู้ชมต้องตั้งใจดูอย่างมากเพราะการดำเนินเรื่องใช้บทร้องลักษณะต่าง ๆ และรีซิเททีฟไม่มีการพูดสนทนาซึ่งจัดว่าเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูง เช่นเดียวกับการเข้าถึงศิลปะแขนงอื่น ๆ การชมโอเปร่าประเภทนี้จึงต้องมีพื้นความรู้และมีความเข้าใจในองค์ประกอบของโอเปร่า โดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริงเรื่องราวของโอเปร่าประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องของความเก่งกาจของพระเอกหรือตัวนำ หรือเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม (Heroic or tragic drama) โอเปร่าประเภทนี้มักดำเนินเรื่องด้วยการร้องตลอดเรื่อง ไม่มีบทพูด หรือเจรจาอยู่เลย โดยใช้บทร้องกึ่งพูด รีซิเททีฟ (Recitative) ทั้งหมด
* 1. อุปรากร (Opera) โดยทั่วไปเป็นที่เข้าใจว่า หมายถึง โอเปราซีเรีย (Opera seria) หรือ Serious opera หรือ Grand opera ซึ่งเป็นอุปรากรที่ผู้ชมต้องตั้งใจชมเป็นอย่างมาก เพราะการดำเนินเรื่องใช้บทร้องลักษณะต่าง ๆ และเรซิเททีฟ ไม่มีการพูดสนทนา จัดว่าเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูง การชมอุปรากรประเภทนี้จึงต้องมีพื้นความรู้และความเข้าใจในองค์ประกอบของอุปรากร โดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริง เรื่องราวของอุปรากรประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องความเก่งกาจของพระเอกหรือตัวนำ หรือเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม (Heroic or Tragic drama)
* 2. โคมิค โอเปร่า (Comic Opera) หรือโอเปร่าชวนหัว คือ โอเปร่าที่มักจะมีเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน ตลกขบขันล้อเลียนคน หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ มักมีบทสนทนาที่ใช้พูดแทรกระหว่างบทเพลงร้อง โอเปร่าประเภทนี้จะดูง่ายกว่าประเภทแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องสนุกสนาน มีบทสนทนาแทรก ดนตรีและเพลงที่ฟังไพเราะไม่ยากเกินไป โคมิคโอเปร่ามีหลายประเภท เช่น Opera–comique (ฝรั่งเศส) Opera buffa (อิตาเลียน) Ballad opera (อังกฤษ) และ Singspiel (เยอรมัน)
* 2. อุปรากรชวนหัว (Comic Opera) คือ อุปรากรที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน ตลกขบขันล้อเลียน มักมีบทสนทนาที่ใช้พูดแทรกระหว่างบทเพลงร้อง อุปรากรประเภทนี้ดูง่ายกว่าประเภทแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องสนุกสนาน มีบทสนทนาแทรก ดนตรีและเพลงที่ฟังไม่ยากเกินไป อุปรากรชวนหัวมีหลายประเภท เช่น Opera–comique (ฝรั่งเศส) Opera buffa (อิตาเลียน) Ballad opera (อังกฤษ) และ Singspiel (เยอรมนี)
* 3. โอเปเรตตา (Operetta) โอเปอเรตตาจัดเป็นโอเปร่าขนาดเบา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นการสะท้อนชีวิตจริงในสังคม โดยมีการสอดแทรกบทตลกเบาสมองอยู่ด้วย บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระจุ่มกระจุ๋ม คล้ายกับ โคมิคโอเปรา โดยปกติโอเปเรตตาใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา
* 3. โอเปเรตตา (Operetta) จัดเป็นอุปรากรขนาดเบา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่สะท้อนชีวิตในสังคม มีการสอดแทรกบทตลกเบาสมองอยู่ด้วย บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระจุ๋มกระจิ๋ม คล้ายกับอุปรากรชวนหัว โดยปกติใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา
* 4. คอนทินิวอัส โอเปร่า (Continuous opera) เป็นโอเปร่าที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ มิใช่เป็นการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วง ๆ ลักษณะของคอนทินิวอัส โอเปร่านี้วากเนอร์เป็นผู้นำและใช้เสมอในโอเปร่าที่เขาเป็นผู้ประพันธ์
* 4. คอนทินิวอัส โอเปร่า (Continuous opera) เป็นอุปรากรที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ มิใช่เป็นการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วง ๆ ลักษณะของคอนทินิวอัส โอเปร่านี้วากเนอร์เป็นผู้นำและใช้เสมอในอุปรากรที่เขาเป็นผู้ประพันธ์


== ตัวอย่างบทประพันธ์โอเปร่าที่สำคัญ ==
== ตัวอย่างอุปรากรที่สำคัญ ==
* 1. Opera, Serious Opera
* 1. Opera, Serious Opera
** [[Don Giovanni]] โดย โมซาร์ท
** [[Don Giovanni]] โดย โมสาร์ท
** [[The Magic Flute]] โดย โมซาร์ท
** [[The Magic Flute]] โดย โมสาร์ท
** Alceste โดย [[คริสตอฟ วิลลิบัลด์ กลุ๊ค|กลุ๊ค]]
** Alceste โดย [[คริสโตฟ วิลลิบัลด์ กลุ๊ค|กลุ๊ค]]
** [[La Bohème]] โดย [[จาโกโม ปุชชีนี|ปุชชีนี]]
** [[La Bohème]] โดย [[จาโกโม ปุชชีนี|ปุชชีนี]]
** [[Hensel and Gretel]] โดย ฮัมเปอร์ดิง
** [[Hensel and Gretel]] โดย ฮุมเปอร์ดิง
** [[Julius Caesar]] โดย [[จอร์จ เฟรดริก ฮันเดล|ฮันเดล]]
** [[Julius Caesar]] โดย [[เกออร์ก ฟรีดริก ฮันเดล|ฮันเดล]]
** Lohengrin โดย วากเนอร์
** Lohengrin โดย วากเนอร์
** [[Madama Butterfly]] โดย [[จาโกโม ปุชชีนี|ปุชชีนี]]
** [[Madama Butterfly]] โดย [[จาโกโม ปุชชีนี|ปุชชีนี]]
บรรทัด 60: บรรทัด 60:
** [[Otello]] โดย แวร์ดี
** [[Otello]] โดย แวร์ดี
** Parsifal โดย วากเนอร์
** Parsifal โดย วากเนอร์
** Pelleas et Melisande โดย [[โคล้ด เดอบุซซี|เดอบูสซี]]
** Pelleas et Melisande โดย [[โคล้ด เดอบูซี|เดอบูซี]]
** Prince Igor โดย โบโรดิน
** Prince Igor โดย โบโรดิน
** The Rake's Progress โดย [[อิกอร์ สตราวินสกี้|สตราวินสกี]]
** The Rake's Progress โดย [[อิกอร์ สตราวินสกี้|สตราวินสกี้]]
** Rigoletto โดย แวร์ดี
** Rigoletto โดย แวร์ดี
** The Ring of the Nibelung (โอเปร่า 4 เรื่อง) โดย วากเนอร์
** The Ring of the Nibelung (ชุดอุปรากร 4 เรื่อง) โดย วากเนอร์
** [[Romeo et Juleitte]] โดย [[ชาร์ล กูโน|กูโน]]
** [[Romeo et Juleitte]] โดย [[ชาร์ลส กูโนด์|กูโนด์]]
** The Tale of Hoffmann โดย [[ชาก ออฟเฟนบาค|ออฟเฟนบาค]]
** The Tale of Hoffmann โดย [[ฌาร์ค ออฟเฟนบาค|ออฟเฟนบาค]]
** [[La Tosca]] โดย ปุชชินี
** [[Tosca]] โดย ปุชชินี
** Tristan and Isolde โดย วากเนอร์
** Tristan and Isolde โดย วากเนอร์
** [[La Traviata]] โดย แวร์ดี
** [[La Traviata]] โดย แวร์ดี
** [[William Tell]] โดย [[จิอาซิโน รอสชินี|รอสชินี]]
** [[William Tell]] โดย [[จิโออัคคิโน รอสซินี|รอสซินี]]
* 2. Comic Opera, Operetta
* 2. Comic Opera, Operetta
** The Abduction From The Seraglio โดย โมซาร์ท
** The Abduction From The Seraglio โดย โมสาร์ท
** [[The Barber of Seville]] โดย รอสชินี
** [[The Barber of Seville]] โดย รอสซินี
** The Bartered Bride โดย สเมนตานา
** The Bartered Bride โดย สเมทานา
** Die Fledermaus โดย โยฮัน สเตราส์
** Die Fledermaus โดย โยฮัน สเตราส์
** Hary Janos โดย โคดาย
** Hary Janos โดย โคดาย
** H.M.S. Pinafore โดย กิลเบิร์ต และซัลลิแวน
** H.M.S. Pinafore โดย เซอร์อาร์เธอร์ ซัลลิแวน
** [[The Marriage of Figaro]] โดย โมซาร์ท
** [[The Marriage of Figaro]] โดย โมสาร์ท


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:27, 24 มิถุนายน 2556

โรงอุปรากรซิดนีย์ในประเทศออสเตรเลีย เป็นโรงอุปรากรที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

อุปรากร (อังกฤษ: opera) เป็นศิลปะการแสดงบนเวทีชนิดหนึ่ง โดยมีลักษณะเป็นแบบละครที่ดำเนินเรื่องโดยใช้ดนตรีเป็นหลักหรือทั้งหมด อุปรากรถือเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีคลาสสิก ตะวันตก มีความใกล้เคียงกับละครเวทีในเรื่องฉาก การแสดง และเครื่องแต่งกาย แต่สิ่งสำคัญที่แยกอุปรากรออกจากละครเวทีทั่วไป คือ ความสำคัญของเพลง ดนตรีที่ประกอบการร้อง ซึ่งอาจมีตั้งแต่วงดนตรีขนาดเล็กจนไปถึงวงออร์เคสตราขนาดใหญ่

ประวัติ

อุปรากรกำเนิดขึ้นในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 16 ณ ประเทศอิตาลี สามารถสืบค้นต้นกำเนิดได้ถึงสมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีการแสดงที่เรียกว่า tragedies ลักษณะเป็นการขับร้องประสานเสียงประกอบบทเจรจา ในสมัยกลางและเรเนส์ซองส์มีการแสดงที่ใช้การขับร้องดำเนินเรื่อง เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 16 กลุ่มนักดนตรีอิตาเลียนที่เมืองฟลอเรนซ์ได้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับละครร้องย้อนไปถึงยุคกรีกโบราณดังกล่าว ในที่สุดจึงคิดรูปแบบการประพันธ์ที่เรียกว่า อุปรากร (Opera) ขึ้น ผู้ประพันธ์เพลงที่ได้พัฒนารูปแบบของอุปรากร คือ เพรี ราวต้นศตวรรษที่ 17 มอนเทเวร์ดีได้ปรับรูปแบบอุปรากรให้สมบูรณ์ขึ้น ทำให้คล้ายกับรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ยุคบาโรคอุปรากรเป็นการแสดงที่ผู้ขับร้องนำบทพระเอกและนางเอกเป็นสตรีล้วน ตั้งแต่ยุคคลาสสิกเป็นต้นมา ผู้ขับร้องนำทั้งพระเอกและนางเอกใช้ผู้ขับร้องเป็นชายและหญิงแท้จริง โมสาร์ทเป็นผู้หนึ่งที่พัฒนารูปแบบอุปรากรในยุคคลาสสิกให้มีมาตรฐาน โดยไว้หลายเรื่องด้วยกัน ในยุคโรแมนติกการประพันธ์อุปรากรมีรูปแบบหลากหลาย บางเรื่องมีความยาวมาก สามารถแสดงได้ทั้งวันทั้งคืน

องค์ประกอบของอุปรากร

  • 1. เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นเรื่องที่มาจากตำนาน เทพนิยายโบราณ และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่โดยเฉพาะ โดยมีคีตกวีเป็นผู้แต่งทำนอง คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเนื้อเรื่องหรือบทละคร และดนตรีประกอบด้วย
  • 2. ดนตรี ดนตรีในอุปรากรเป็นสิ่งที่ทำให้อุปรากรมีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยบทโหมโรง (Overture) และดนตรีประกอบบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญ จนอุปรากรได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของคีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง เช่น เรื่อง Madame Butterfly ของ Giacomo Puccini (1878-1924) ปุชชีนี เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบ ผู้แต่งละครมาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (ได้โครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้แต่งเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นงานของปุชชินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์บทขับร้อง หรืออุปรากรเรื่อง คาร์เมน (Carmen) ของ บิเซต์ (Georges Bizet) ที่มี Prosper Merimee เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่า อุปรากรเรื่องคาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา
  • 3. ผู้แสดง ผู้แสดงอุปรากรนอกจากจะต้องเป็นนักร้องที่มีเสียงไพเราะ มีพลังเสียงดี แข็งแรง ฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะแล้ว ยังเป็นนักแสดงผู้มีบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นในเรื่องน้ำเสียง ความสามารถในการขับร้องและบทบาทมากกว่าความสวยงามและรูปร่างของผู้แสดง มักให้นักร้องเสียงสูงทั้งหญิงและชายแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยทั่วไป น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้องแบ่งเป็น 6 ระดับเสียง คือ เป็นน้ำเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ และน้ำเสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ดังนี้

1. โซปราโน (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง

2. เมซโซโซปราโน (Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง

3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง

4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย

5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย

6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย

ลักษณะของอุปรากร

  • 1. ลิเบรตโต (Libretto) คือเนื้อเรื่อง หรือบทละครของอุปรากร บางครั้งอาจดัดแปลงมาจากนวนิยายหรือบทละครอื่น ๆ บางครั้งก็เป็นบทที่ผู้ประพันธ์แต่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับคีตกวี เช่น ดา ปองเต (Da Ponte) เขียนบทบางเรื่องให้กับโมสาร์ท เช่น เรื่อง Don Giovanni, บัวตา (Boita) เขียนบทบางเรื่องให้กับแวร์ดี เช่น เรื่อง Otella บางครั้งบทก็เป็นของผู้ประพันธ์เพลงเอง เช่น วากเนอร์ ประพันธ์ Lohengrin และ The Flying Dutchman และเมน็อตตี (Menotti) ประพันธ์ The Telephone เป็นต้น
  • 2. เพลงโหมโรง (Overture) คือ บทประพันธ์ที่ใช้บรรเลงนำก่อนการแสดงอุปรากร บางครั้งใช้คำว่า พรีลูด (Prelude) เป็นเพลงที่แสดงถึงอารมณ์โดยรวมของอุปรากรที่จะแสดง กล่าวคือ ถ้าเป็นเรื่องเศร้า เพลงโหมโรงก็จะมีทำนองเศร้าอยู่ในที เป็นต้น บางครั้งเพลงโหมโรงอาจรวมเอาทำนองหลักจากอุปรากรฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้ เพลงโหมโรงนี้มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ 5-10 นาที ปกติจะใช้วงออร์เคสตราทั้งวงบรรเลง ลักษณะของเพลงโหมโรงมักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านความดัง – ค่อย สีสัน ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้เพลงโหมโรงเป็นบทเพลงที่ชวนฟัง เพลงโหมโรงของอุปรากรบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป็นบทเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ตโดยทั่วไป เช่น “Overture of The Marriage of Figaro” ของโมสาร์ท “The Barber of Seville Overture” ของ รอสซินี “Fidelio” ของเบโธเฟ่น “Overture of Carmen” ของบิเซต์ เป็นต้น
  • 3. เรซิเททีฟ (Recitative) คือบทสนทนาในอุปรากรที่ใช้การร้องแทนการพูด อย่างไรก็ตามมักจะไม่เป็นทำนองที่ไพเราะมากนัก จะเน้นที่คำพูดมากกว่า แต่ก็มีดนตรีและการร้องช่วยทำให้บทสนทนาน่าสนใจ เป็นลักษณะการร้องอีกประเภทหนึ่ง
  • 4. อาเรีย (Aria) คือ บทร้องเดี่ยวในอุปรากร มีลักษณะตรงกันข้ามกับเรซิเททีฟ เนื่องจากเน้นการร้องและดนตรีมากกว่าเน้นการสนทนา อาเรียเป็นบทร้องที่ตัวละครเดี่ยวร้อง จัดเป็นบทร้องที่เต็มไปด้วยลีลาของดนตรีที่งดงาม ยากแก่การร้อง กล่าวได้ว่าอาเรียเป็นส่วนที่ทำให้อุปรากรมีความเป็นเอกลักษณ์ได้เลยทีเดียว
  • 5. บทร้องประเภทสอง สาม สี่ และมากกว่านี้ของตัวละคร (Duo, Trio, and Other Small Ensembles) บทร้องที่มีนักร้องสองคนแทนที่จะเป็นคนเดียวในลักษณะของอาเรีย เรียกว่า ดูโอ (Duo) ถ้าเป็น 3 คนร้องเรียกว่า ทริโอ (Trio) สี่และห้าคนร้องเรียกว่า ควอเต็ต (Quartet) และควินเต็ต (Quintet) และอาจมีมากกว่าห้าคนก็ได้ เช่น บทร้อง 6 คน (Sextet) “Lucia” จากเรื่อง Rigoletto เป็นบทร้องที่มีชื่อเสียงมาก
  • 6. บทร้องประสานเสียง (Chorus) ในอุปรากรบางเรื่องที่มีฉากประกอบไปด้วยผู้เล่นจำนวนมากมักจะมีการร้องประสานเสียงเสมอ บทร้องประสานเสียงที่มีชื่อเสียง เช่น “The Anvil Chorus” จาก Il Trovatore, “The Pilgrim’s Chorus” จาก “Tannhauser, The Triumphal Chorus” จาก Aida
  • 7. ออร์เคสตรา (Orchestra) วงออร์เคสตรานอกจากจะเล่นเพลงโหมโรงแล้ว ยังใช้ประกอบการร้องในลักษณะต่าง ๆ ตลอดเรื่อง ในบางครั้งออร์เคสตราจะบรรเลงโดยไม่มีผู้ร้อง เพื่อให้การร้องหรือเรซิเททีฟแต่ละตอนต่อเนื่องหรือสร้างอารมณ์ให้เข้มข้นขึ้น บางครั้งวงออร์เคสตราจะมีบทบาทมาก เช่น อุปรากรของวากเนอร์ มักจะเน้นการบรรเลงของวงออร์เคสตราเสมอ
  • 8. ระบำ (Dance) ในอุปรากรบางเรื่องอาจมีบางฉากที่มีการเต้นรำประกอบ โดยทั่วไปมักเป็นการแสดงบัลเลต์ที่สวยงาม ซึ่งเป็นของคู่กันกับอุปรากรแบบฝรั่งเศส (French Opera) บางครั้งอาจจะเป็นระบำในลักษณะอื่น ๆ เช่น ระบำพื้นเมือง การเต้นรำแบบต่าง ๆ เช่น วอล์ทซ (Waltz) เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
  • 9. องก์ และฉาก (Acts and Scenes) อุปรากรก็เช่นเดียวกับละครทั่ว ๆ ไป มีการแบ่งเป็นองก์ และแบ่งย่อยลงไปเป็นฉาก เช่น คาร์เมน (Carmen) เป็นอุปรากร 4 องก์ เป็นต้น
  • 10. ไลท์โมทีฟ (Leitmotif) ในอุปรากรบางเรื่อง ผู้ประพันธ์จะมีแนวทำนองต่าง ๆ แทนตัวละครแต่ละตัว หรือแทนเหตุการณ์ สภาพการณ์ แนวทำนองเหล่านี้จะปรากฏอยู่ตลอดเวลาเพื่อแทนตัวละครหรือเหตุการณ์นั้น ๆ วากเนอร์เป็นผู้หนึ่งที่ชอบใช้ไลท์โมทีฟ เช่น Ring motive ในอุปรากรชุด The Ring และ Love motive จากอุปรากรเรื่อง Tristan and Isolde

ประเภทของอุปรากร

  • 1. อุปรากร (Opera) โดยทั่วไปเป็นที่เข้าใจว่า หมายถึง โอเปราซีเรีย (Opera seria) หรือ Serious opera หรือ Grand opera ซึ่งเป็นอุปรากรที่ผู้ชมต้องตั้งใจชมเป็นอย่างมาก เพราะการดำเนินเรื่องใช้บทร้องลักษณะต่าง ๆ และเรซิเททีฟ ไม่มีการพูดสนทนา จัดว่าเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูง การชมอุปรากรประเภทนี้จึงต้องมีพื้นความรู้และความเข้าใจในองค์ประกอบของอุปรากร โดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริง เรื่องราวของอุปรากรประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องความเก่งกาจของพระเอกหรือตัวนำ หรือเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม (Heroic or Tragic drama)
  • 2. อุปรากรชวนหัว (Comic Opera) คือ อุปรากรที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน ตลกขบขันล้อเลียน มักมีบทสนทนาที่ใช้พูดแทรกระหว่างบทเพลงร้อง อุปรากรประเภทนี้ดูง่ายกว่าประเภทแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องสนุกสนาน มีบทสนทนาแทรก ดนตรีและเพลงที่ฟังไม่ยากเกินไป อุปรากรชวนหัวมีหลายประเภท เช่น Opera–comique (ฝรั่งเศส) Opera buffa (อิตาเลียน) Ballad opera (อังกฤษ) และ Singspiel (เยอรมนี)
  • 3. โอเปเรตตา (Operetta) จัดเป็นอุปรากรขนาดเบา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่สะท้อนชีวิตในสังคม มีการสอดแทรกบทตลกเบาสมองอยู่ด้วย บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระจุ๋มกระจิ๋ม คล้ายกับอุปรากรชวนหัว โดยปกติใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา
  • 4. คอนทินิวอัส โอเปร่า (Continuous opera) เป็นอุปรากรที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ มิใช่เป็นการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วง ๆ ลักษณะของคอนทินิวอัส โอเปร่านี้วากเนอร์เป็นผู้นำและใช้เสมอในอุปรากรที่เขาเป็นผู้ประพันธ์

ตัวอย่างอุปรากรที่สำคัญ

อ้างอิง

  • คมสันต์ วงค์วรรณ์. ดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2551
  • ณรุทธ์ สุทธจิตต์. สังคีตนิยม ความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2548
  • กรมวิชาการ. กระทรวงศึกษาธิการ. ดนตรีคลาสสิก...บทเพลงและการขับร้อง. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. 2545


แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link GA แม่แบบ:Link GA