ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระเจ้าปเสนทิโกศล"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 33: บรรทัด 33:
ในระหว่างที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด้จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระคันธกุฎีแต่เฉพาะพระองค์ ทีฆการายนะ[[อำมาตย์]]เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงนำ[[เครื่องราชกกุธภัณฑ์]]กลับไป[[กรุงสาวัตถี]] สถาปนาวิฑูฑภะซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดี (แม่ทัพ) ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน เหลือไว้แต่[[ม้า]]ตัวหนึ่งกับนางสนมคนหนึ่ง
ในระหว่างที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด้จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระคันธกุฎีแต่เฉพาะพระองค์ ทีฆการายนะ[[อำมาตย์]]เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงนำ[[เครื่องราชกกุธภัณฑ์]]กลับไป[[กรุงสาวัตถี]] สถาปนาวิฑูฑภะซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดี (แม่ทัพ) ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน เหลือไว้แต่[[ม้า]]ตัวหนึ่งกับนางสนมคนหนึ่ง


เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทูลลาเสด็จกลับออกมาจากพระคันธกุฎีไม่พบทีฆการายนะอำมาตย์ ซึ่งพระองค์มอบให้รักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้จึงเสด็จไปยังค่ายที่พักพล พบเพียงม้าตัวหนึ่งกับนางสนมคนหนึ่ง สอบถามได้ความว่าทีฆการายนะอำมาตย์กับวิฑูฑภะเสนาบดียกกองทัพกลับกรุงสาวัตถีแล้วพร้อมทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ก็ทรงแน่พระทัยว่าเจ้าชายวิฑูฑภะเป็นขบถแน่ จึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อขอกำลังทหารจาก[[พระเจ้าอชาตศัตรู]] พระราชาแห่ง[[แคว้นมคธ]]ผู้เป็นพระราชนัดดาไปกู้ราชบัลลังก์คืน <ref>[http://clubchay.tripod.com/buddha/buddha11.html พระเจ้าปเสนทิโกศล] จาก [http://clubchay.tripod.com]</ref> แต่เนื่องด้วยทรงพระ[[ชรา]]และทรงเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง จึงสิ้นพระชนม์อยู่นอก[[ประตูเมือง]]ราชคฤห์ในราตรีที่เสด็จไปถึงนั่นเอง [[นางสนม]]ที่โดยเสด็จก็ร้องไห้คร่ำครวญ ความทราบถึง[[พระเจ้าอชาตศัตรู]] จึงโปรดให้จัดการพระบรม[[ศพ]]ให้เสร็จสิ้นไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าวิฑูฑภะได้ถูกน้ำหลากพัดหายไปพร้อมกับกองทัพ หลังบุกโจมตีกรุงกบิลพัสดุ์และทำการกวาดล้างศากยะวงศ์จนหมดสิ้น เนื่องจากแค้นที่ถูกดูหมิ่น แคว้นโกศลก็ไร้ซึ่งรัชทายาทหรือผู้ที่จะมาเป็นพระราชาปกครอง แต่ว่าเนื่องจากพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นทรงพระประสูติมาจากพระนางเวเทหิ ผู้เป็นพระพี่นางของพระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งมีเชื้อสายแห่งราชวงศ์โกศล ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูผู้มีเชื้อสายราชวงศ์โกศล มีสิทธิ์ที่จะปกครองแคว้น หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ผนวกแคว้นโกศลเข้ากับแคว้นมคธเข้าด้วยกันทำให้แคว้นมคธกว้างใหญ่ไพศาลตลอดมาจนถึงสมัย[[พระเจ้าอโศกมหาราช]]
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทูลลาเสด็จกลับออกมาจากพระคันธกุฎีไม่พบทีฆการายนะอำมาตย์ ซึ่งพระองค์มอบให้รักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้จึงเสด็จไปยังค่ายที่พักพล พบเพียงม้าตัวหนึ่งกับนางสนมคนหนึ่ง สอบถามได้ความว่าทีฆการายนะอำมาตย์กับวิฑูฑภะเสนาบดียกกองทัพกลับกรุงสาวัตถีแล้วพร้อมทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ก็ทรงแน่พระทัยว่าเจ้าชายวิฑูฑภะเป็นขบถแน่ จึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อขอกำลังทหารจาก[[พระเจ้าอชาตศัตรู]] พระราชาแห่ง[[แคว้นมคธ]]ผู้เป็นพระราชนัดดาไปกู้ราชบัลลังก์คืน <ref>[http://clubchay.tripod.com/buddha/buddha11.html พระเจ้าปเสนทิโกศล] จาก [http://clubchay.tripod.com]</ref> แต่เนื่องด้วยทรงพระ[[ชรา]]และทรงเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง จึงสิ้นพระชนม์อยู่นอก[[ประตูเมือง]]ราชคฤห์ในราตรีที่เสด็จไปถึงนั่นเอง [[นางสนม]]ที่โดยเสด็จก็ร้องไห้คร่ำครวญ ความทราบถึง[[พระเจ้าอชาตศัตรู]] จึงโปรดให้จัดการพระบรม[[ศพ]]ให้เสร็จสิ้นไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าวิฑูฑภะได้ถูกน้ำหลากพัดหายไปพร้อมกับกองทัพ หลังบุกโจมตีกรุงกบิลพัสดุ์และทำการกวาดล้างศากยะวงศ์จนหมดสิ้น เนื่องจากแค้นที่ถูกดูหมิ่น แคว้นโกศลก็ไร้ซึ่งรัชทายาทหรือผู้ที่จะมาเป็นพระราชาปกครอง แต่ว่าเนื่องจากพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นทรงพระประสูติมาจากพระนางเวเทหิ ผู้เป็นพระพี่นางของพระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งมีเชื้อสายแห่งราชวงศ์โกศล ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูผู้มีเชื้อสายราชวงศ์โกศล มีสิทธิ์ที่จะปกครองแคว้น หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ผนวกแคว้นโกศลและแคว้นสักกะเข้ากับแคว้นมคธมาด้วยกันทำให้แคว้นมคธกว้างใหญ่ไพศาลตลอดมาจนถึงสมัย[[พระเจ้าอโศกมหาราช]]


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:11, 15 ธันวาคม 2555

พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงมีพระนามเดิมว่า ปเสนทิ เป็นพระราชโอรสในพระเจ้ามหาโกศล กรุงสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล ทรงมีพระภคินีนามว่า เวเทหิ พระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เมื่อได้เจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา ณ สำนักตักกสิลา ต่อมาก็ได้ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาเป็น พระเจ้าปเสนทิโกศล

พระสหาย

เจ้าชายมีพระสหายอีก 2 พระองค์ ที่เป็นศิษย์ร่วมรุ่นกัน คือ เจ้าชายมหาลิจากกรุงเวสาลี แคว้นวัชชี และเจ้าชายพันธุละจากกรุงกุสินาราหนึ่งในเมืองหลวงของแคว้นมัลละ

แสดงศิลปวิทยา

เมื่อจบการศึกษาแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับมาตุภูมิ และได้แสดงศิลปวิทยาให้พระประยูรญาติได้ชมโดยทั่วหน้ากัน พระเจ้ามหาโกศลได้มอบพระราชบัลลังก์ให้พระเจ้าปเสนทิโกศลขึ้นครองราชย์แทนในเวลาต่อมา

เจ้าชายพันธุละหนีออกจากกุสินารา

ส่วนเจ้าชายพันธุละถูกคู่อริกลั่นแกล้ง แม้การแสดงศิลปวิทยาท่ามกลางพระประยูรญาติจะจบลงด้วยความพอใจของมหาสมาคม แต่เจ้าชายพันธุละทรงน้อยพระทัย จึงหนีออกจากเมืองกุสินารา มาขอถวายตัวเข้ารับราชการรับใช้พระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ทรงดีพระทัยมาก จึงทรงแต่งตั้งให้พันธุละเป็นเสนาบดี

ศาสนา

พระเจ้าปเสนทิโกศลเดิมทีนับถือศาสนานิครนถ์ (ศาสนาเชน) และเชื่อถือในการบูชายัญของพราหมณ์อีกด้วย เมื่อมานับถือพระพุทธศาสนาแล้วก็ยังไม่เลิกบูชายัญ และยังติดต่อกับพวกชีเปลือยเป็นต้นอยู่

พบพระพุทธเจ้าครั้งแรก

ครั้งหนึ่ง ขณะที่อยู่สำนักพระพุทธเจ้า พอดีเหล่าชีเปลือยเดินผ่านมาใกล้ ๆ พระเจ้าปเสนทิโกศลประคองอัญชลีประกาศว่า ขอนมัสการพระคุณเจ้าทั้งหลาย แล้วหันมาทูลพระพุทธเจ้าว่า สมณะเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสเตือนสติว่า

มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์ จะรู้ว่าใครมีศีลหรือไม่ ต้องอยู่ด้วยกันนาน ๆ จะรู้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ด้วยการทำงาน (หรือเจรจา) จะรู้ว่ามีปัญญาหรือไม่ ด้วยการสนทนา จะรู้ว่ากำลังใจเข้มแข็งหรือไม่ ก็ต้องเมื่อตกอยู่ในอันตราย

— พระพุทธเจ้า

ประกอบพิธีบูชายัญ

ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประกอบพิธีบูชายัญยิ่งใหญ่ มีการตระเตรียมฆ่าสัตว์อย่างละ 700 ตัว เพราะสุบินได้ยินเสียงประหลาด บังเอิญว่าพระนางมัลลิกา พระมเหสีทรงทัดทาน การฆ่าสัตว์ครั้งมโหฬารจึงไม่เกิดขึ้นและเป็นผู้ชักจูงพระองค์เข้าสู่พระพุทธศาสนา [1]

เป็นผู้อุปถัมภ์ทุกศาสนา

จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้อุปถัมภ์ทุกศาสนา และให้ความสำคัญศาสนาต่าง ๆ ทัดเทียมกัน ต่อเมื่อมานับถือพระพุทธศาสนาน้อมเอาพระรัตนตรัยมาเป็นสรณะเด็ดขาดแล้ว จึงทรงเลิกการกระทำที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนชีวิต และนำเอาหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นแบบอย่างดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น

พระนางมัลลิกา เป็นสาวิกาผู้บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุยังน้อย มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย เมื่อมาเป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมมีอิทธิพลต่อความเชื่อของพระราชสวามีและแนะนำให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาในที่สุด กอปรกับสุทัตตคหบดี เพราะฉะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงถวายความอุปถัมภ์ดูแลพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์อย่างดี พระองค์เองเสด็จเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลถามปัญหาธรรมและฟังพระพุทธโอวาทอยู่เสมอ เพราะต้องการเป็นญาติทางสายโลหิตกับพระพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามล้างโคตรในหมู่ศากยะในเวลาต่อมา ศากยวงศ์ต้องถูกทำลายล้างจนสูญหายไปจากประวัติศาสตร์

ด้วยพระอุปถัมภ์ของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่เองคือเหตุผลที่เมืองสาวัตถีเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศานาที่สำคัญอันดับที่ 2 รองจากเมืองราชคฤห์

พบพระพุทธเจ้าครั้งสุดท้าย

ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เมทฬุปนิคม ในแคว้นสักกะของพวกศากยะ พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จประพาสหัวเมืองผ่านมาทางนั้น โปรดให้พักกองทัพไว้ไม่ไกลวัดนัก ตั้งพระราชหฤทัยจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงมอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์ให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ชื่อว่าทีฑการายนะรักษาไว้ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระคันธกุฎีกราบทูลถึงความที่พระองค์มีความเคารพนับถือพระพุทธเจ้าด้วยเหตุต่างๆ เป็นอันมาก ในตอนสุดท้ายกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกษัตริย์ หม่อมฉันก็เป็นกษัตริย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นชาวโกศล หม่อมฉันก็เป็นชาวโกศล พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระชนมายุ 80 ปี หม่อมฉันก็มีอายุ 80 ปีเหมือนกัน

— พระเจ้าปเสนทิโกศล

ในระหว่างที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด้จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระคันธกุฎีแต่เฉพาะพระองค์ ทีฆการายนะอำมาตย์เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงนำเครื่องราชกกุธภัณฑ์กลับไปกรุงสาวัตถี สถาปนาวิฑูฑภะซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดี (แม่ทัพ) ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน เหลือไว้แต่ม้าตัวหนึ่งกับนางสนมคนหนึ่ง

เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทูลลาเสด็จกลับออกมาจากพระคันธกุฎีไม่พบทีฆการายนะอำมาตย์ ซึ่งพระองค์มอบให้รักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้จึงเสด็จไปยังค่ายที่พักพล พบเพียงม้าตัวหนึ่งกับนางสนมคนหนึ่ง สอบถามได้ความว่าทีฆการายนะอำมาตย์กับวิฑูฑภะเสนาบดียกกองทัพกลับกรุงสาวัตถีแล้วพร้อมทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ก็ทรงแน่พระทัยว่าเจ้าชายวิฑูฑภะเป็นขบถแน่ จึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อขอกำลังทหารจากพระเจ้าอชาตศัตรู พระราชาแห่งแคว้นมคธผู้เป็นพระราชนัดดาไปกู้ราชบัลลังก์คืน [2] แต่เนื่องด้วยทรงพระชราและทรงเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง จึงสิ้นพระชนม์อยู่นอกประตูเมืองราชคฤห์ในราตรีที่เสด็จไปถึงนั่นเอง นางสนมที่โดยเสด็จก็ร้องไห้คร่ำครวญ ความทราบถึงพระเจ้าอชาตศัตรู จึงโปรดให้จัดการพระบรมศพให้เสร็จสิ้นไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าวิฑูฑภะได้ถูกน้ำหลากพัดหายไปพร้อมกับกองทัพ หลังบุกโจมตีกรุงกบิลพัสดุ์และทำการกวาดล้างศากยะวงศ์จนหมดสิ้น เนื่องจากแค้นที่ถูกดูหมิ่น แคว้นโกศลก็ไร้ซึ่งรัชทายาทหรือผู้ที่จะมาเป็นพระราชาปกครอง แต่ว่าเนื่องจากพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นทรงพระประสูติมาจากพระนางเวเทหิ ผู้เป็นพระพี่นางของพระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งมีเชื้อสายแห่งราชวงศ์โกศล ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูผู้มีเชื้อสายราชวงศ์โกศล มีสิทธิ์ที่จะปกครองแคว้น หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ผนวกแคว้นโกศลและแคว้นสักกะเข้ากับแคว้นมคธมาด้วยกันทำให้แคว้นมคธกว้างใหญ่ไพศาลตลอดมาจนถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

อ้างอิง