ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ณ อยุธยา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Poonyo (คุย | ส่วนร่วม)
เพิ่มอ้างอิง
บรรทัด 2: บรรทัด 2:


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 โดยบัญญัติไว้ว่า ผู้ที่สืบเชื้อสายทางบิดามาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันให้ใช้นามสกุลเดียวกัน เป็นเหตุให้คนไทยมีนามสกุลใช้

เมื่อวันที่ [[1 มกราคม]] [[พ.ศ. 2458]] [[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ “ประกาศเพิ่มเครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชตระกูล” ซึ่งมีความว่า มีพระราชดำริถึงนามสกุลที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ผู้ที่สืบต่อจากราชตระกูลลงมาโดยสายต่าง ๆ นั้น ต่อไปภายหน้านามสกุลเหล่านี้อาจไปปะปนกับนามสกุลสามัญ จนไม่อาจทราบได้ว่า นามสกุลใดเป็นนามสกุลสำหรับราชตระกูล เพราะไม่มีเครื่องหมายเป็นที่สังเกต และเนื่องจากมีพระราชดำริที่จะดำรงนามสกุลสำหรับราชตระกูลให้ยืนยงอยู่ชั่วกัลปาวสาน
เมื่อวันที่ [[1 มกราคม]] [[พ.ศ. 2458]] [[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ “ประกาศเพิ่มเครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชตระกูล” ซึ่งมีความว่า มีพระราชดำริถึงนามสกุลที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ผู้ที่สืบต่อจากราชตระกูลลงมาโดยสายต่าง ๆ นั้น ต่อไปภายหน้านามสกุลเหล่านี้อาจไปปะปนกับนามสกุลสามัญ จนไม่อาจทราบได้ว่า นามสกุลใดเป็นนามสกุลสำหรับราชตระกูล เพราะไม่มีเครื่องหมายเป็นที่สังเกต และเนื่องจากมีพระราชดำริที่จะดำรงนามสกุลสำหรับราชตระกูลให้ยืนยงอยู่ชั่วกัลปาวสาน


จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า บรรดานามสกุลซึ่งได้ทรงขนานพระราชทานแก่ผู้สืบสายราชตระกูลนั้น ให้มีคำว่า “ณ กรุงเทพ” เพิ่มท้ายนามสกุลนั้น และห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้สืบสายราชตระกูลใช้คำ “ณ กรุงเทพ” เป็นนามสกุลหรือต่อท้ายนามสกุลของตน แม้แต่ผู้ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตพิเศษให้ใช้นามสกุลสำหรับราชตระกูลได้ จะเติมคำ “ณ กรุงเทพ” ลงด้วยไม่ได้
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า บรรดานามสกุลซึ่งได้ทรงขนานพระราชทานแก่ผู้สืบสายราชตระกูลนั้น ให้มีคำว่า “ณ กรุงเทพ” เพิ่มท้ายนามสกุลนั้น<ref>"รู้ไปโม้ด" นสพ.ข่าวสดรายวัน ฉบับวันที่ 12-13 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5766-5767 </ref> และห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้สืบสายราชตระกูลใช้คำ “ณ กรุงเทพ” เป็นนามสกุลหรือต่อท้ายนามสกุลของตน แม้แต่ผู้ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตพิเศษให้ใช้นามสกุลสำหรับราชตระกูลได้ จะเติมคำ “ณ กรุงเทพ” ลงด้วยไม่ได้


ต่อมา มีพระราชดำริว่า คำว่า “กรุงเทพ” นั้น เป็นคำที่ใช้นำหน้านามมหานครซึ่งเป็นราชธานี เช่น ใช้ว่า “กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา” เป็นนามของพระนครศรีอยุธยาเมื่อครั้งเป็นราชธานี และใช้คำว่า “กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์” เป็นนามของพระมหานครราชธานีในปัจจุบัน ดังนั้น คำว่า “กรุงเทพ” จึงมีความหมายถึงราชธานี 2 แห่ง โดยไม่แน่ชัดว่าเป็นแห่งใด และเนื่องจากมีพระราชดำริว่า พระบรมราชวงศ์นี้เดิมเป็นสกุลอันมหาศาลที่มีมาตั้งแต่สมัย[[พระนครศรีอยุธยา]]เป็นราชธานี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ “ประกาศแก้เครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชสกุล” ความว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้สืบสายแต่ราชสกุลใช้คำว่า “ณ กรุงเทพ” ต่อท้ายนามสกุลนั้น เป็น “ณ อยุธยา” ตั้งแต่วันที่ [[6 เมษายน]] [[พ.ศ. 2468]] ซึ่งตรงกับ[[วันมหาจักรี]]
ต่อมา มีพระราชดำริว่า คำว่า “กรุงเทพ” นั้น เป็นคำที่ใช้นำหน้านามมหานครซึ่งเป็นราชธานี เช่น ใช้ว่า “กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา” เป็นนามของพระนครศรีอยุธยาเมื่อครั้งเป็นราชธานี และใช้คำว่า “กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์” เป็นนามของพระมหานครราชธานีในปัจจุบัน ดังนั้น คำว่า “กรุงเทพ” จึงมีความหมายถึงราชธานี 2 แห่ง โดยไม่แน่ชัดว่าเป็นแห่งใด และเนื่องจากมีพระราชดำริว่า พระบรมราชวงศ์นี้เดิมเป็นสกุลอันมหาศาลที่มีมาตั้งแต่สมัย[[พระนครศรีอยุธยา]]เป็นราชธานี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ “ประกาศแก้เครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชสกุล” ความว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้สืบสายแต่ราชสกุลใช้คำว่า “ณ กรุงเทพ” ต่อท้ายนามสกุลนั้น เป็น “ณ อยุธยา” ตั้งแต่วันที่ [[6 เมษายน]] [[พ.ศ. 2468]] ซึ่งตรงกับ[[วันมหาจักรี]]<ref>[http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=967 การใช้สร้อย "ณ อยุธยา" ต่อท้ายนามสกุลสำหรับราชสกุล] จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ </ref>


ในวันที่ [[5 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2472]] [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] มีพระราชดำริว่า "ในขณะนั้นการออกพระนามหม่อมเจ้าโดยใช้พระนามของพระบิดาต่อท้ายเพื่อให้ทราบว่าเป็นหม่อมเจ้าในกรมใดหรือพระองค์ใด นั้น เมื่อได้มีการพระราชทานนามสกุลสำหรับเจ้าต่างกรมและพระองค์เจ้าแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้นามสกุลต่อนามหม่อมเจ้าแทนการใช้นามกรมเช่นแต่ก่อน แต่หม่อมเจ้าซึ่งทรงสถาปนาให้มีพระเกียรติยศเป็นพระองค์เจ้าไม่ต้องใช้นามสกุลต่อท้ายพระนาม"
ในวันที่ [[5 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2472]] [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] มีพระราชดำริว่า "ในขณะนั้นการออกพระนามหม่อมเจ้าโดยใช้พระนามของพระบิดาต่อท้ายเพื่อให้ทราบว่าเป็นหม่อมเจ้าในกรมใดหรือพระองค์ใด นั้น เมื่อได้มีการพระราชทานนามสกุลสำหรับเจ้าต่างกรมและพระองค์เจ้าแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้นามสกุลต่อนามหม่อมเจ้าแทนการใช้นามกรมเช่นแต่ก่อน แต่หม่อมเจ้าซึ่งทรงสถาปนาให้มีพระเกียรติยศเป็นพระองค์เจ้าไม่ต้องใช้นามสกุลต่อท้ายพระนาม"
บรรทัด 19: บรรทัด 22:
== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
{{รายการอ้างอิง}}

{{เริ่มอ้างอิง}}
* [http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=967 การใช้สร้อย "ณ อยุธยา" ต่อท้ายนามสกุลสำหรับราชสกุล] จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗
{{จบอ้างอิง}}


{{นามสกุลพระราชทาน ณ}}
{{นามสกุลพระราชทาน ณ}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:04, 16 พฤศจิกายน 2555

ณ อยุธยา เป็นการสร้อยต่อท้ายนามสกุลสำหรับราชสกุล

ประวัติ

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 โดยบัญญัติไว้ว่า ผู้ที่สืบเชื้อสายทางบิดามาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันให้ใช้นามสกุลเดียวกัน เป็นเหตุให้คนไทยมีนามสกุลใช้

เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ “ประกาศเพิ่มเครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชตระกูล” ซึ่งมีความว่า มีพระราชดำริถึงนามสกุลที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ผู้ที่สืบต่อจากราชตระกูลลงมาโดยสายต่าง ๆ นั้น ต่อไปภายหน้านามสกุลเหล่านี้อาจไปปะปนกับนามสกุลสามัญ จนไม่อาจทราบได้ว่า นามสกุลใดเป็นนามสกุลสำหรับราชตระกูล เพราะไม่มีเครื่องหมายเป็นที่สังเกต และเนื่องจากมีพระราชดำริที่จะดำรงนามสกุลสำหรับราชตระกูลให้ยืนยงอยู่ชั่วกัลปาวสาน

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า บรรดานามสกุลซึ่งได้ทรงขนานพระราชทานแก่ผู้สืบสายราชตระกูลนั้น ให้มีคำว่า “ณ กรุงเทพ” เพิ่มท้ายนามสกุลนั้น[1] และห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้สืบสายราชตระกูลใช้คำ “ณ กรุงเทพ” เป็นนามสกุลหรือต่อท้ายนามสกุลของตน แม้แต่ผู้ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตพิเศษให้ใช้นามสกุลสำหรับราชตระกูลได้ จะเติมคำ “ณ กรุงเทพ” ลงด้วยไม่ได้

ต่อมา มีพระราชดำริว่า คำว่า “กรุงเทพ” นั้น เป็นคำที่ใช้นำหน้านามมหานครซึ่งเป็นราชธานี เช่น ใช้ว่า “กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา” เป็นนามของพระนครศรีอยุธยาเมื่อครั้งเป็นราชธานี และใช้คำว่า “กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์” เป็นนามของพระมหานครราชธานีในปัจจุบัน ดังนั้น คำว่า “กรุงเทพ” จึงมีความหมายถึงราชธานี 2 แห่ง โดยไม่แน่ชัดว่าเป็นแห่งใด และเนื่องจากมีพระราชดำริว่า พระบรมราชวงศ์นี้เดิมเป็นสกุลอันมหาศาลที่มีมาตั้งแต่สมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ “ประกาศแก้เครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชสกุล” ความว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้สืบสายแต่ราชสกุลใช้คำว่า “ณ กรุงเทพ” ต่อท้ายนามสกุลนั้น เป็น “ณ อยุธยา” ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2468 ซึ่งตรงกับวันมหาจักรี[2]

ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า "ในขณะนั้นการออกพระนามหม่อมเจ้าโดยใช้พระนามของพระบิดาต่อท้ายเพื่อให้ทราบว่าเป็นหม่อมเจ้าในกรมใดหรือพระองค์ใด นั้น เมื่อได้มีการพระราชทานนามสกุลสำหรับเจ้าต่างกรมและพระองค์เจ้าแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้นามสกุลต่อนามหม่อมเจ้าแทนการใช้นามกรมเช่นแต่ก่อน แต่หม่อมเจ้าซึ่งทรงสถาปนาให้มีพระเกียรติยศเป็นพระองค์เจ้าไม่ต้องใช้นามสกุลต่อท้ายพระนาม"

ลักษณะการใช้

  • ผู้ที่มีสกุลยศตั้งแต่พระองค์เจ้าขึ้นไปไม่ต้องใช้นามสกุลต่อท้ายพระนาม
  • ผู้ที่มีสกุลยศหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวงใช้นามสกุลต่อท้ายนาม โดยมิต้องมีสร้อย "ณ อยุธยา"
  • ผู้ที่สืบสายจากราชสกุลที่มิได้มีสกุลยศเป็นหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวง ให้ใช้สร้อย "ณ อยุธยา" ต่อท้ายนามสกุล
  • สตรีสามัญซึ่งสมรสกับผู้ที่สืบสายจากราชสกุลทั้งที่มีสกุลยศและไม่มีสกุลยศ ต้องใช้สร้อย "ณ อยุธยา" ต่อท้ายนามสกุลด้วย
  • การใช้สร้อย "ณ อยุธยา" ต่อท้ายนามสกุลนั้น ใช้สำหรับผู้ที่สืบเชื้อสายจากราชสกุลฝ่ายบุรุษเท่านั้น ส่วนทายาทของสายราชสกุลที่เป็นสตรีนำนามราชสกุลของตนมาใช้ได้ แต่จะใช้สร้อย "ณ อยุธยา" ไม่ได้

อ้างอิง

  1. "รู้ไปโม้ด" นสพ.ข่าวสดรายวัน ฉบับวันที่ 12-13 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5766-5767
  2. การใช้สร้อย "ณ อยุธยา" ต่อท้ายนามสกุลสำหรับราชสกุล จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗