ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บาศกนิยม"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Dcoetzee (คุย | ส่วนร่วม)
Toeytoey28 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Juan Gris - Portrait of Pablo Picasso - Google Art Project.jpg|thumb|ผลงานแบบบาศกนิยม]]
[[ไฟล์:Juan Gris - Portrait of Pablo Picasso - Google Art Project.jpg|thumb|ผลงานแบบบาศกนิยม]]
'''บาศกนิยม''' ({{lang-en|Cubism}}) เป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะอาวองการ์ดในศตวรรษที่ 20 ริเริ่มโดย[[ปาโบล ปีกัสโซ]] (Pablo Picasso) และ[[จอร์จส์ บราค]] (Georges Braque) ได้เปลี่ยนรูปโฉมของจิตรกรรมและประติมากรรมสไตล์ยุโรป รวมไปถึงดนตรีและงานเขียนที่เกี่ยวข้อง สาขาแรกของบาศกนิยมเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Analytic Cubism (บาศกนิยมแบบวิเคราะห์)เป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะที่มีอิทธิพลรุนแรงและมีความสำคัญอย่างมากในฝรั่งเศส แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนักระหว่างค.ศ.1907 และ 1911 ความเคลื่อนไหวในช่วงที่สองนั้นถูกเรียกว่า Synthetic Cubism (บาศกนิยมแบบสังเคราะห์)ได้แพร่กระจายและตื่นตัวจนกระทั่ง ค.ศ. 1919 เมื่อความเคลื่อนไหวของลัทธิเหนือจริงเป็นที่นิยม


นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษนาม [[ดักลาส คูเปอร์]] (Douglas Cooper) ได้อธิบายสามระยะของบาศกนิยมในหนังสือของเขาชื่อ The Cubist Epoch (ยุคสมัยของบาศกนิยม)ตามแนวคิดของคูเปอร์นั้น มันเคยมีระยะเริ่มต้นของบาศกนิยม (Early Cubism) ตั้งแต่ ค.ศ.1906 ถึง 1908 เมื่อความเคลื่อนไหวนั้นได้เริ่มพัฒนาในห้องทำงานของปิกาซโซ่และบราค ในระยะที่สองนั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงเฟื่องฟูของบาศกนิยม (High Cubism) ตั้งแต่ ค.ศ. 1909 ถึง 1914 ขณะที่[[ยวน กริซ]] (Juan Gris)ปรากฏขึ้นเป็นผู้สนับสนุนหลัก และระยะสุดท้ายนั้นคูเปอร์เรียกว่าช่วงหลังของบาศกนิยม(Late Cubism)ตั้งแต่ค.ศ.1914 ถึง1921 ซึ่งเป็นที่ความเคลื่อนไหวอาวองการ์ดได้ถึงจุดสูงสุด<ref>Douglas Cooper, "The Cubist Epoch", pp. 11–221, Phaidon Press Limited 1970 in association with the [[Los Angeles County Museum of Art]] and the [[Metropolitan Museum of Art]] ISBN 0 87587041 4</ref>


ในผลงานศิลปะของบาศกนิยมนั้น วัตถุจะถูกทำให้แตกเป็นชิ้น วิเคราะห์ และประกอบกลับขึ้นมาใหม่ในรูปลักษณ์ที่เป็นนามธรรมแทนที่จะแสดงวัตถุให้เห็นจากเพียงแค่มุมมองเดียว จิตรกรนั้นได้ถ่ายทอดวัตถุจากหลายแง่มุมเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงวัตถุที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่กว้างขึ้น บ่อยครั้งนักที่ผืนราบดูเหมือนจะตัดกันในมุมที่เป็นไปโดยบังเอิญ ปราศจากความสอดคล้องของความลึก ส่วนพื้นหลังและผืนราบแทรกเข้าไปในระหว่างกันและกันเพื่อที่จะทำให้เกิดพื้นที่ที่ไม่ชัดเจนอย่างผิวเผิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะเฉพาะของบาศกนิยม


== การริเริ่มและจุดกำเนิด ==


'''คิวบิสม์''' หรือ'''บาศกนิยม''' ({{lang-en|Cubism}})เป็นลัทธิการสร้างสรรค์ศิลปะที่ได้รับผลสะท้อนมาจากอิทธิพลด้านความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และจากลักษณะรูปแบบหน้ากากของชนเผ่าพรีมิตีฟในแอฟริกา ซึ่งได้ปลุกเร้าการสร้างสรรค์แบบใหม่ รวมทั้งลักษณะการของศิลปินสมัยใหม่ที่พยายามแสวงหาลักษณะเฉพาะตัวให้กับตนเอง เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับลักษณะรูปแบบศิลปะกลุ่มอื่นที่ผ่านมาหรือที่มีอยู่ในยุคนั้น ซึ่งมีหลักสุนทรียภาพที่แสดงรูปทรงศิลปะในลักษณะผันแปรความจริง โดยให้มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมุม เป็น[[ลูกบาศก์]] เป็นทรง[[เรขาคณิต] เพื่อสร้างความคิดรวบยอดเชิง3มิติให้ปรากฏในผืนระนาบ2มิติหรือ3มิติ แสดงออกทั้งงานจิตรกรรมและประติมากรรม หากเป็นงานจิตรกรรมรูปแบบผลงานก็จะสามารถแสดงลักษณะปรากฏทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังบนพื้นระนาบไปพร้อมกัน บางทีก็แสดงการทับซ้อนและปิดบังระหว่างกัน รวมทั้งมีการตัดทอนรูปทรงให้ดูง่ายขึ้นกว่ารูปจริงของวัตถุหรือสภาวะที่แท้จริงของรูปทรงนั้นๆด้วย
ในช่วงปลายของ[[ศตวรรษที่ 19]] และช่วงต้นของ[[ศตวรรษที่ 20]] ผู้นำทางด้านวัฒนธรรมยุโรปได้ค้นพบศิลปะแบบแอฟริกัน [[ไมโครนีเซียน]] และอเมริกันท้องถิ่นเป็นครั้งแรก จิตรกรหลายคนเช่น [[พอล โกแกง]] (Paul Gauguin) อองรี มาตีส (Henri Matisse) และ ปาโบล ปีกัสโซ ได้มีแรงบันดาลใจจากสไตล์ที่มีพลังที่ตายตัวและความเรียบง่ายของวัฒนธรรมต่างชาติเหล่านั้น ประมาณปีค.ศ.1906 ปีกัสโซได้พบมาตีสผ่านเกอร์ทรูด สไตน์(Gertrude Stein)ในตอนที่ทั้งสองจิตรกรนี้พึ่งได้เริ่มที่จะมีความสนใจในความดั้งเดิม ประติกรรมไอเบอร์เรียน ศิลปกรรมแอฟริกัน และหน้ากากชนเผ่าแอฟริกัน พวกเขาได้กลายเป็นคู่แข่งที่เป็นมิตรและได้แข่งขันกันตลอดการเวลาทำงานของพวกเขา ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่นำปีกัสโซเข้าสู่ผลงานช่วงใหม่ของเขาในปี 1907 ที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะแบบกรีค ไอเบอร์เรียน และแอฟริกัน ภาพวาดของปีกัสโซในปี 1907นั้นถูกจำแนกไว้เป็นบาศกนิยมแบบดัั้งเดิม (Protocubism)ที่ซึ่งสามารถเห็นได้ในผลงานเหล่าหญิงสาวแห่งเอวิกนอน (Les Demoiselles d'Avignon)นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของบาศกนิยม


บางคนเชื่อว่ารากฐานของบาศกนิยมนั้นสามารถพบได้จากสองแนวโน้มที่ชัดเจนในงานถัดมาของ[[พอล เซซานน์]] (Paul Cezanne)สิ่งแรกคือได้แตกพื้นที่สีออกมาเป็นหลายพื้นที่ที่มีหลายแง่มุม ด้วยวิธีนี้มันได้เน้นย้ำความหลายหลากหลายของมุมมองที่ได้จากการประสานการทำงานของสองตา สิ่งที่สองนั้นคือความสนใจของเขาที่จะสร้างความเรียบง่ายจากรูปทรงธรรมชาติกลายเป็นทรงกระบอก ทรงกลม และทรงกรวย


== ประวัติ ==
อย่างไรก็ตามนักบาศกนิยมได้ออกตามหาแนวคิดออกไปมากกว่าเซซานน์ พวกเขาแสดงให้เห็นถึงระนาบทั้งหมดของวัตถุภายในภาพเดียว คล้ายกับว่าวัตถุเหล่านั้นมีด้านทุกด้านให้เห็นในเวลาเดียวกัน การแสดงภาพให้เห็นแบบใหม่นี้ได้ปฏิวัติการรับรู้ของวัตถุด้วยตาที่ซึ่งถูกถ่ายทอดลงในภาพเขียนและศิลปะ
===แนวคิดและจุดเริ่มต้น===
คิวบิสม์นับเป็นวิวัฒนาการของวงการศิลปะอย่างสำคัญ โดยศิลปินสองคน คือ [[ฌอร์ฌ บรัก]] ({{lang-en|George Braque}}) และ [[ปาโบล ปีกัสโซ]] ({{lang-en|Pablo Picasso}}) ซึ่งทั้งสองต่างมีจุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจจากผลงานของ [[พอล เซซาน]] ({{lang-en|Paul Cezanne}}) ซึ่งมีความคิดว่า “โครงสร้างเรขาคณิตเป็นรากฐานของรูปทรงธรรมชาติทั้งมวล” และ ถ้าเข้าใจรูปทรงของโลกภายนอก และโครงสร้างตามความเป็นจริงแล้ว จงมองดูรูปเหล่านั้นให้เป็นเหลี่ยมเป็นลูกบาศก์ง่ายๆ ทั้งปิกัสโซและบาร์ค พยายามเน้นคุณค่าของปริมาตร ของวัสดุกับอากาศซึ่งสัมพันธ์กันเต็มไปหมดในภาพ อีกทั้งยังปฏิเสธหลักการของลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ ซึ่งละเลยความสำคัญของรูปทรงและมวลปริมาตร ศิลปินทั้งสองต่างสำรวจรายละเอียดของสิ่งที่พวกเขาต้องการวาด ด้วยการวิเคราะห์และแยกแยะทำลายรูปทรงเหล่านั้นให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ปะติดปะต่อกัน จากนั้นก็นำมาสังเคราะห์ประกอบกันใหม่ ให้รูปทรงบางรูปทับกัน ซ้อนกัน หรือเหลื่อมล้ำกันก็ได้ โดยมีจุดประสงค์สำคัญในเรื่องการสร้างความงามที่เกิดจากมวลปริมาตรเป็นเป้าหมายสูงสุด
โดยที่มาของชื่อคิวบิสม์นั้นมาจากการที่ จอร์จ บาร์ค ได้ส่งงานเขียนของเขาไปแสดงในนิทรรศการศิลปะที่หอศิลป์ Salon des Artistes Indepndants ในกรุงปารีส และถูกปฏิเสธไม่ให้แสดงงาน และนำผลงานทั้งหมดออกจากนิทรรศการ โดยมีนักวิจารณ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับผลงานของ บาร์ค ว่า เป็นการสร้างสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ขนาดเล็กทั้งสิ้น และเป็นผลงานที่ไม่เห็นความสำคัญของรูปทรงและตัดทอนทุกอย่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน รูปร่างของสิ่งต่างๆ โดยบาร์คตัดทอนให้เกิดรูปทรงเรขาคณิตและนำไปสู่รูปทรงแบบลูกบาศก์
โดยในแรกเริ่มนั้น ปิกัสโซ และ บาร์ค เริ่มทำงานในแบบ คิวบิสม์ร่วมกันนั้น ปิกัสโซเปิดเผยว่า “ ตอนที่เริ่ม เขียนภาพ ในแนวทางนี้นั้น พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะสร้างรูปสี่เหลี่ยม แต่เพียงแต่ต้องการแสดงความคิดพวกเขาออกมาเท่านั้น” และการที่จะแสดงออกให้ตรงกับความคิดของทั้งสองคน มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการค้นหาโครงสร้างใหม่ด้วย จำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแนวศิลปะไปในทางตรงกันข้ามกับศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ ด้วยเหตุดังนี้ เขาจึงต้องละเลยเรื่องสี และสัมผัส เพื่อหันไปค้นหาเรื่องโครงสร้าง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานขององค์ประกอบ โดยจัดระเบียบเสียใหม่
===มุมมองเทคนิคและรูปแบบ===
ศิลปะแบบคิวบิสม์นั้น เกิดจากการที่ศิลปินไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางศิลปะที่ต่างไปจากแบบเก่าโดยสิ้นเชิง มันยากแก่การจำกัดความให้ เพราะคิวบิสม์มันไม่ใช่เพียงแค่ทฤษฎี ระบบ หรือแม้แต่รูปแบบเพียงแบบเดียว หากแต่ว่า คิวบิสม์ได้พยายามค้นคว้าจากแนวทางในการสร้างสรรค์ งานศิลปะ ที่แสดงให้เห็นวัตถุ โดยให้ความรู้สึกว่าภาพนั้นๆ ถูกสร้างขึ้นด้วยสีบนผืนผ้าใบ ไม่ใช่เพียงแค่การเลียนแบบวัตถุเท่านั้น ให้สายตามองเห็นเป็นจริงอย่างธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ศิลปะแบบคิวบิสม์ ก็ไม่ใช่ศิลปะนามธรรมโดยแท้จริง เพราะว่าคิวบิสม์ยังมีเนื้อหาเรื่องราวในภาพอยู่ แต่สิ่งที่คิวบิสม์ให้ความสนใจนั้น คือ มุ่งไปที่ลักษณะของวัตถุ ทางรูปทรงที่เราเห็นได้ด้วยความคิด ดังนั้น คิวบิสม์จึงเป็นแนวทางศิลปะที่พยายามจะเชื่อมโยงทั้งความคิดและสายตาเข้าด้วยกัน
ทั้งสองศิลปินนั้นได้แรงบันดาลใจ ในการทำศิลปะแบบ cubism จาก Cezanne ในเรื่อง โครงสร้าง และการไม่ลวงตา Cubism ทำตามหลักการ วิเคราะห์ โครงสร้าง และ การแปรระนาบ แล้วสร้างรูปทรงที่เป็นเหลี่ยม เป็นสันขึ้นมา โดยลดระยะในช่วงความลึก จากโลกแห่งทิวทัศน์จริง มาทำให้ มวลสารทั้งหลาย อัดรวมกันเหมือนภาพนูน คิวบิสม์ รูปวิเคราะห์ (Analytical Cubism) จะทำการ ตัดรายละเอียด ซับซ้อนของวัตถุจริงออกไป บ้านและต้นไม้จะลดรูปทรง ลงเหลือแค่ก้อนเหลี่ยม หรือ รูปโค้งอย่างง่ายๆ
แนวทางของ คิวบิสม์ จะมีแนวทางที่ จะไม่แสดงให้เห็นได้ชัดว่า อะไรเป็นอะไร แต่จะ ใช้ให้สิ่งต่างๆ นั้น มาปรากฎคู่กันเสมอ เช่น ในการการสร้างปริมาตร (Volume) แต่ในขณะที่ก็มีการใช้สีแบนราบ ตามผืนผ้าใบในบริเวณใกล้เคียง มีการจับลักษณะ วัตถุตามที่ตาเห็น ขณะเดียวกันก็จงใจใช้สีที่แสดง ให้รู้ว่านี่คือ ผืนผ้าใบแท้ๆ ไม่ใช่อย่างอื่น ในเรื่องของ เส้นวาดและสีก็เช่นเดียวกัน เส้นอาจจะถูกกลืน หายเข้าไปในบริเวณสี ขอบร่างที่คมชัดของคน อาจจจะเลือนหายเข้าไป กลืนกับระนาบรอบตัวได้โดยง่าย วิธีการทำระนาบให้เชื่อมโยง กันไปเรื่อยๆนั้น จะทำโดยการเปลี่ยนระดับสายตาไปด้วยกัน จะพบกับความตื้นลึกที่ต่างกัน แม้มันจะอยู่บนระนาบเดียวกันก็ตาม
ในช่วงระหว่าาง สงครามโลกครั้งที่ 1 ปีกัสโซ่ได้เปลี่ยนแนวทางการทำงานแบบ คิวบิสม์ มาเป็น คิวบิสม์สังเคราะห์ (Synthetic Cubism) คิวบิสม์แบบนี้จะมีวัสดุต่างๆ เท่าที่หาได้มาปะติดเข้าไปด้วย ภาพที่ใช้วัสดุมาประกอบกันนี้ เรียกว่า "Collage" อาจจะใช้แผ่นกระดาษ เศษหนังสือพิมพ์ แผ่นกระจกเงา เส้นเชือก ทราย หรือไม่ก็ไพ่ การนำเอาเศษ วัสดุเหล่านี้มาใส่ในภาพ สามารถอำพรางความรู้สึกที่ว่า โลกของภาพเขียน กับโลกของจิตรกร หรือผู้ดูไม่มีอะไร เกี่ยวกันเป็นคนละโลกให้มันลดลง ซึ่งมันจะทำให้ คนดูภาพ กับ จิตกร มีการเชื่อมโยง สัมพันธืกันทาง ความคิดมากยิ่งขึ้น วัสดุที่เลือกมาใช้นี้ จะยังคงไว้ซึ่ง คุณสมบัติทางการใช้สอย เมื่อนำมาจัดองค์ประกอบทางศิลปะ ก็จะได้คุณลักษณะใหม่ ที่เป็นนามธรรมในแบบแผนที่แปลกออกไป
===คิวบิสม์ยุคแรก===
ระยะที่ 1 คิวบิสม์แบบเหลี่ยมมุม (อังกฤษ : Facet Cubism) ระหว่าง ค.ศ. 1907-1909 เป็นคิวบิสม์แบบเริ่มต้น ระยะนี้ศิลปินจะทำการสร้างสรรค์โดยการแบ่งแยกวัตถุ หรือรูปภาพออกเป็นส่วนประกอบทางเรขาคณิตที่แน่นอน หรืออาจเรียกว่าตัดเป็นเหลี่ยมมุมอย่างหน้าเพชร (Facet) ก็ได้ ปล้วจึงนำเอาส่วนประกอบย่อยเหล่านั้นมาจัดองค์ประกอบใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งการแสดงออกในระยะเริ่มต้นของคิวบิสม์นี้ แสดงให้เห็นอิทธิพลของเซซานน์อย่างชัดเจน ด้วยพวกเขาได้นำลักษณะรูปแบบของเซซานน์มาเป็นจุดดลใจและแนวทางการพัฒนาของตน นอกจากนั้น ศิลปินคิวบิสม์ยังสนใจศึกษาศิลปกรรมของชนเผ่าอนารยะชาวอาฟริกา และศิลปกรรมแบบอาร์เคอิคของกรีกโบราณ
===คิวบิสม์ยุคที่สอง===
ระยะที่ 2 คิวบิสม์แบบวิเคราะห์ (อังกฤษ : Analytical Cubism) ระหว่าง ค.ศ. 1909-1912 เป็นคิวบิสม์ที่ถูกสร้างขึ้น ด้วยการแตกแยกรูปแบบจริงของวัตถุเพิ่มมากขึ้น แล้วจึงนำมาวิเคราะห์ (Analyzed) ประกอบผ่านผลงาน แสดงให้เห็นแง่มุมต่างๆของวัตถุไปพร้อมกัน คิวบิสม์แบบวิเคราะห์นี้เป็นการๅวิเคราะห์เกี่ยวกับรูปทรงและพื้นที่ พื้นระนาบของวัตถุได้ถูกสร้างขึ้นในแนวใหม่ จากการศึกษาโครงสร้าง และการแสดงให้เห็นแง่มุมต่างๆ (angular and faceted planes) ของวัตถุสิ่งเดียวกันได้หลายด้าน ในส่วนเนื้อหาศิลปะนั้นศิลปินสามารถสร้างสรรค์ด้วยเนื้อหาที่หลากหลาย เช่น เป็นภาพคน หุ่นนิ่ง หรือทิวทัศน์ โดยการใช้สีที่มีลักษณะไม่ฉูดฉาด ภาพระยะนี้มักถูกคลุมไว้ด้วยสีเทา สีน้ำตาลอมแดง สีเขียว และสีดิน
===คิวบิสม์ยุคที่สาม===
ระยะที่ 3 คิวบิสม์แบบสังเคราะห์ (อังกฤษ : Synthetic Cubism) ระหว่าง ค.ศ. 1912-1914 คิวบิสม์แบบสังเคราะห์มีพัฒนาการล้ำหน้า เกินกว่าคิวบิสม์ที่ผ่านมามาก ศิลปินแสดงออกด้วยการจัดองค์ประกอบมากขึ้น และหยิบเอาเรื่องราวที่ง่ายและใกล้ตัวมาเป็นเนื้อหาแสดงออก เช่น แผ่นกระจก วัตถุที่ปรากฏนห้องทำงาน อาทิ แก้วเหล้า กล่องยาสูบ บุหรี่ ขวดเหล้า ไพ่ เศษผ้า เครื่องดนตรี หนังสือพิมพ์ โดยการใช้เทคนิคการปะติด (Collage) เข้ามาช่วย หรือที่เรียกว่า "Flat-Pattern Cubism" จัดวางลงบนผิวระนาบด้านตั้งและนอนในลักษณะแบนราบ ด้วยโครงสรา้งของสีที่เข้ากันในลักษณะลึกลับน่าอัศจรรย์ จิตรกรรมคิวบิสม์ในระยะหลังนี้ จะแสดงรูปทรงต่างๆ ของวัตถุด้วยการแบ่งแยกออกจากกัน และวางทับ ซ้อนกันด้วยผิวระนาบ(overlapping Planes) และเส้น มีค่าของสีและลักษณะผิวพื้นที่แตกต่างกัน ดังเช่น ภาพหญิงสาวกับกีต้าร์ ของ จอร์จ บาร์ค และภาพคนเล่นไพ่ ของปิกัสโซ ซึ่งศิลปินทั้งสองมีเป้าหมายด้านการแสดงออกมากกว่าคำนึงถึงเนื้อหา
===จุดมุ่งหมายและการตีความ===
กระแสคิวบิสม์มีความเชื่อทางศิลปะว่า การแสดงออกทางศิลปะนอกจากจะต้องไม่แสดงเชิงการถ่ายทอดตามความเป็นจริงตามตาเห็นแล้ว ศิลปินยังจะต้องกลั่นกรองรูปทรงด้วยการวิเคราะห์และสังเคราะห์รูปทรงให้เหลือเพียงแก่นแกนที่แท้จริงและมั่นคงแข็งแรงด้วยปริมาตรของรูปทรงที่แข็งแรงอัดแน่น ส่วนมิติแห่งความลึกถูกทำให้ปรากฏด้วยการใช้เหลี่ยมมุมประดุจเพชรที่ถูกเจียระไน ทำให้เกิดเงาทับซ้อนและเล่นแง่มุมด้วยขอบเขตของภาพ ที่ประสานสัมผัสกันอย่างเป็นจังหวะภายใต้การให้สีที่ไม่ฉูดฉาดรุนแรง เปลี่ยนแปลงรูปทรงธรรมชาติ มาสู่การจัดองค์ประกอบแบบนามธรรมทางเรขาคณิต ในลักษณะทับซ้อนกันบ้าง หรือมีรูปทรงบางใสซ้อนสลับกันบ้าง ใช้สีแบนราบปราศจากแสงและเงา มีความกลมกลืนหรือตัดกัน
หากพิจารณารูปแบบศิลปะของกระแสคิวบิสม์โดยภาพรวม จะเห็นมีลักษณะเป็นลูกบาศก์ ดังนั้นผลงานดังกล่าวจึงถูกเรียกว่าลัทธิหลายมุม หรือ Cubism อย่างไรก็ตามลักษณะเฉพาะประการแรกของควิบิสม์ประการสำคัญคือ การแสดงออกด้านการสร้างสรรค์ของศิลปินจะอยู่ภายใต้การควบคุมขอบเขตของผลงาน และความรู้สึกของศิลปินให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์และหลักการเสมอ ศิลปินคำนึงถึงความมีระยะใกล้ไกลในภาพ ด้วยรูปทรงขนาด การทับซ้อน การบัง และความโปร่งใสเหมือนภาพเอ๊กซเรย์ จะคำนึงถึงการตัดทอน การย่อและขยายส่วน และการบิดเบือนรูปทรง ให้อิสรเสรีแก่ผู้ชม และการสร้างสรรค์งานศิลปะจะคำนึงถึงหลังการจัดองค์ประกอบศิลป์
===ประติมากรรมคิวบิสม์===
ผลพลอยได้จากจิตรกรรมกระแสคิวบิสม์ไปมีอิทธิพลต่อประติมากรรมอย่างเด่นชัดด้วยตัวของปีกัสโซ เคยสร้างประติมากรรมเพื่อเพิ่มพูนการค้นคว้าของกระแสนี้ควบคู่ไปกับจิตรกรรมด้วย เพราะบางอย่างในประติมากรรมแสดงออกเป็นรูปธรรมได้มากกว่าจิตรกรรม นอกจากได้มีการปั้นรุปด้วยดินเหนียวและหล่อด้วยโลหะแล้ว ปิกัสโซยังได้พัฒนาสร้างงานด้วยไม้ระบายสีด้วย เขาริเริ่มนำเศษโลหะมาเชื่อมต่อกันเป็นรูป โดยนำเศษชิ้นส่วนของเครื่องจักรซึ่งมีรูปร่างต่างๆ แต่ละชิ้นมีรูปทรงสำเร็จรูปอยู่แล้ว นำชิ้นสำเร็จรุปเหล่านั้นเข้ามารวมกันอยู่ในรูปเดียว ซึ่งก่อให้เกิดความคิดแก่พวกดาดาในภายหลัง อย่างไรก็ตาม มีประติมากรแท้ๆหลายคนทำงานตามแนวอุดมคติของกระแสคิวบิสม์อย่างสัมฤทธิผล


==ตัวอย่างศิลปินสำคัญในลัทธิคิวบิสม์==
วิทยาการของบาศกนิยมนั้นเกิดขึ้นจากความพยายามร่วมกันของปีกัสโซและบราค ตามมาด้วยชาวเมือง Monmartre ในปารีส จิตรกรเหล่านี้เป็นผู้บุกเบิกสำคัญสำหรับความเคลื่อนไหว และชาวสเปนที่มาร่วมสมทบในภายหลังคือ ยวน กริซ หลังจากได้พบกับปีกัสโซ และบราคในปี 1907 โดยเฉพาะการเริ่มที่จะพัฒนาบาศกนิยม ปีกัสโซเป็นแรงผลักดันและแรงบันดาลใจที่ชักจูงบราคให้ออกจากลัทธิโฟวิสม์ (Fauvism) จิตรกรทั้งสองนี้เริ่มต้นที่จะทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิดในช่วงปลายปี 1908 ถึงช่วงต้นปี 1909 จนกระทั่งเกิดการจลาจลขึ้นจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี 1914 ความเคลื่อนไหวนี้ได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วทั่วทั้งปารีสและยุโรป
=== 1.ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso, 1881-1973)===
'''ผลงานสำคัญ'''
1.1 La Vie, 1903.
1.2 Family of Saltimbanques, 1905.
1.3 Les Demoisselles D’AVIGON, 1907.
1.4 Woman with Mandolin, 1910.
1.5 Girl with Mandolin, 1910.
1.6 Pierrot and Harlequin, 1910.
1.7 Women in White, 1923.
1.8 Three Dances, 1925.
1.9 Woman of Algiers, 1932.
1.10 Girl before for a mirror, 1932.
1.11 Weeping Woman, 1937.
1.12 Guernica, 1937.
=== 2.จอร์จ บราค (George Braque, 1882-1963)===
'''ผลงานสำคัญ'''
2.1 Houses at L’estaque, 1908.
2.2 The Musician’s Table, 1913.
2.3 The Black Pedestal Table, 1919.
2.4 Horse’s Head, 1943.
2.5 The Salon, 1944.
=== 3.แฟร์นอง เลเชร์ (Fernand Leger, 1881-1955)===
'''ผลงานสำคัญ'''
3.1 Nudes in the Forest, 1910.
3.2 City Landscape, 1914.
3.3 The Builders, 1955.
===4.อาร์ชิเป็นโก (Alexander Archipenko, 1887-1964)===
'''ผลงานสำคัญ'''
4.1 Woman Combing her Hair, 1915.
===5. ลิปซิทซ์ (Jacques Lipchitz, 1891-?)===
'''ผลงานสำคัญ'''
5.1 The Large Bathers, 1923-1925.
5.2 Mother and Child, 1941-1945.
===6. โลรองส์ (Henri Laurens, 1885-1954)===
'''ผลงานสำคัญ'''
6.1 Man With Pipe, 1919.
===7. ซัดกิน (Ossip Zadkine, 1890-?)===
'''ผลงานสำคัญ'''
7.1 Commemorative Monument to the Destruction of Rotterdam, 1953-1954.


นักวิจารณ์ศิลปะชาวฝรั่งเศสนาม[[หลุยส์ วาเซลส์]] (Louis Vauxcelles)เป็นผู้แรกที่ได้ใช้คำว่า cubism หรือ bizarre cubiques (ลูกบาศก์ที่ประหลาด)หลังจากที่เขาได้เห็นรูปภาพโดยบราค เขาได้อธิบายมันว่า เต็มไปด้วยลูกบาศก์เล็ก ซึ่งศัพท์นี้ได้ถูกใช้กันอย่างกว้างขวางแม้ว่าสองผู้สร้างนั้นจะไม่ได้เป็นคนนำมาใช้แรกเริ่ม นักประวัติศาตร์ศิลปะชื่อ เอิร์นส์ กอมบริ (Ernst Gombrich) ได้อธิบายบาศกนิยมไว้ว่าเป็นความพยายามที่แรงกล้าที่จะขจัดออกซึ่งความคลุมเครือและเพื่อที่จะบังคับให้คนได้อ่านภาพนั้น ที่ซึ่งเป็นการก่อสร้างขึ้นโดยมนุษย์ นั่นก็คือผ้าใบที่ถูกลงสี<ref>[[Ernst Gombrich]] (1960) ''Art and Illusion'', as quoted in [[Marshall McLuhan]] (1964) ''[[Understanding Media]]'', p.12 [http://www9.georgetown.edu/faculty/irvinem/theory/McLuhan-Understanding_Media-I-1-7.html]</ref>


บาศกนิยมนั้นได้ถูกใช้โดยจิตรกรมากมายโดยเฉพาะในมองต์ปานาส (Montparnasse) และถูกสนับสนุนโดยผู้ค้างานศิลป์แดเนียล (Daniel-Henry Kahnweiler)และกลายเป็นที่นิยมในเวลาไม่นาน จนภายในปี 1911นั้น นักวิจารณ์หลายท่านได้กล่าวถึงโรงเรียนบาศกนิยมของจิตรกร อย่างไรก็ตามจิตรกรมากมายที่คิดว่าตัวเองเป็นนักบาศกนิยมนั้นได้ไปในทิศทางที่ค่อนข้างจะต่างจากบราคและปีกัสโซ [[กลุ่มของสัดส่วนทอง]] (Puteux Group or Section d'Oro)เป็นการแยกตัวออกมาที่สำคัญของความเคลื่อนไหวบาศกนิยม ซึ่งได้รวมถึง[[กิโยม อาโปลิแนร์]] (Guillaume Apollinaire) [[โรเบิร์ต ดีลูเนย์]] (Robert Delaunay) [[มาร์เซล ดูชอง]] (Marcel Duchamp) พี่ชายของเขาเรมอนด์ ดูชอง (Raymond Duchamp-Villon) [[แยค วิลลอน]] (Jacques Villon) และ[[เฟอร์นา ลีจีร์]] (Fernard Leger) และ[[ฟรานซิส บิคาเบีย]] (Francis Picabia) เหล่าจิตรกรที่สำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับบาศกนิยมได้แก่ [[อัลเบิร์ต เกลซิส]] (Albert Gleizes) [[จีน เมตซิงเกอร์]] (Jean Metzinger) [[มารี ลอเรนซิน]] (Marie Laurencin) [[แม๊กซ์ เวเบอร์]] (Max Weber) [[ดีเอโก้ รีเวร่า]] (Diego Rivera) [[มารี โวโรเบียฟ]] (Marie Vorobieff) [[หลุยส์ มาโคซิส]] (Louis Marcoussis) [[จีน รีจรูโซ่]] (Jeanne Rij-Rousseau) [[โรเจอร์ เด ลา เฟรสเนย์]] (Roger de La Fresnaye) [[อองรีย์ เลอร์ เฟอร์คอนนีเย]] (Henri Le Fauconnier) [[อเล็กซานเดอร์ อาคิเพนโค]] (Alexander Archipenko) [[ฟรานทีสค์ คุปค่า]] (Frantisek Kupka) [[อามีดี โอซอนฟอง]] (Amedee Ozenfant) [[เลโอพอลด์ เซอวาค]] (Leopold Survage) [[แพทริค อองรีย์ บรูซ]] (Patrick Henry Bruce) เซคชั่นดีโอโร่ โดยพื้นฐานแล้วเป็นเพียงแค่ชื่อของจิตรกรที่มีการเชื่อมโยงเข้ากับบาศกนิยมและออฟิสซึม (orphism)

ในปี 1913 สหรัฐอเมริกาได้ถูกเผยต่อบาศกนิยมและศิลปะแบบยุโรปแนวใหม่เมื่อ แยค วิลลอน ได้จัดแสดงเจ็ดผลงานขนาดใหญ่ที่สำคัญแบบ drypoint ที่สถานที่มีชื่อเสียง Armory Show(นิทรรศการศิลปะ)ในเมืองนิวยอร์ก บราคและปีกัสโซได้ผ่านพ้นขั้นตอนที่จำเพาะมากมายก่อนปี 1920 และบางผลงานของพวกเขาได้ถูกพบเห็นในเมืองนิวยอร์กก่อนที่จะได้เข้าไปในนิทรรศการศิลปะ ที่ห้องแสดงผลงานศิลปะ 291 ของอัลเฟรด สตีคลิซ จิตรกรชาวเช็คได้ตระหนักถึงการเปิดศักราชใหม่ที่สำคัญของบาศกนิยมที่ปีกัสโซและบราคตั้งใจจะสกัดเอาส่วนประกอบจากงานของพวกเขาออกมาในทุกสาขาของความสร้างสรรค์แบบศิลป์ โดยเฉพาะจิตรกรรมและสถาปัตยกรรม และสิ่งนี้ทำให้มันถูกพัฒนาไปสู่บาศกนิยมแบบเช็คที่เป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะอาวองการ์ดที่สนับสนุนโดยเช็คและมีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในปราคจากปี 1910 ถึง 1914

== บาศกนิยมแบบวิเคราะห์ ==

บาศกนิยมแบบวิเคราะห์เป็นหนึ่งในสองสาขาที่สำคัญของความเคลื่อนไหวทางศิลปะของบาศกนิยมและได้ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างปี 1908 และ 1912 ซึ่งที่ต่างจากบาศกนิยมแบบสังเคราะห์ก็คือนักบาศกนิยมแบบวิเคราะห์นั้นได้วิเคราะห์รูปทรงธรรมชาติและลดทอนรูปทรงนั้นลงไปยังรูปทรงเรขาคณิตที่เรียบง่ายบนรูประนาบสองมิติ สีเกือบจะเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเว้นแต่ว่าจะเป็นการใช้สีแบบโทนเดียวซึ่งส่วนใหญ่นั้นรวมไปถึงสีเทา สีน้ำเงิน และสีเหลืองอมน้ำตาล แทนที่จะเน้นการใช้สีนั้นนักบาศกนิยมแบบวิเคราะห์ได้ให้ความสนใจกับรูปทรงมากกว่าเช่น ทรงกระบอก ทรงกลม ทรงกรวย เพื่อที่จะอธิบายให้เห็นถึงโลกธรรมชาติ ในระหว่างความเคลื่อนไหวนี้ผลงานโดยปีกัสโซและบราคได้มีความคล้ายคลึงกันของรูปแบบ

ทั้งปาโบล ปีกัสโซและ จอร์จส์ บราคนั้นได้เคลื่อนเข้าสู่ความเป็นนามธรรม ทิ้งไว้แต่เพียงสัญญานที่เพียงพอของโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อที่จะทำให้เกิดแรงตึงระหว่างความเป็นจริงภายนอกรูปภาพและการไตร่ตรองที่ซับซ้อนของภาษาการมองเห็นที่อยู่ภายในกรอบ ทำให้เป็นตัวอย่างผ่านทางรูปภาพของพวกเขา Ma Jolie โดยปีกัสโซในปี 1911 และ The Protuguese โดยบราคในปีเดียวกัน

ในปารีสปี 1907 ได้เคยมีการจัดนิทรรศการขนาดใหญ่สำหรับผลงานเก่าๆเพื่อที่จะหวนรำลึกถึงพอล เซซานน์เป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากการตายของเขา การจัดแสดงงานนี้มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงที่จะแต่งตั้งเซซานน์ให้เป็นจิตรกรเอก ผู้ที่มีความคิดดังกึกก้องไปทั่วโดยเฉพาะจิตรกรรุ่นเยาว์ในปารีส ทั้งปีกัสโซและบราคได้พบแรงบันดาลใจมาจากพอล เซซานน์ผู้ที่สังเกตและเรียนรู้ที่จะเห็นและปฏิบัติต่อธรรมชาติราวกับว่ามันถูกประกอบขึ้นด้วยรูปทรงพื้นฐานเช่น [[ลูกบาศก์]] [[ทรงกลม]] [[ทรงกระบอก]] และ[[ทรงกรวย]] ปีกัสโซเป็นเสาหลักของนักบาศกนิยมแบบวิเคราะห์ แต่บราคก็เป็นที่โด่งดังเช่นเดียวกันที่ได้ละทิ้งลัทธิโฟวิสม์มาร่วมงานกับปีกัสโซในการที่จะพัฒนานักบาศกนิยมเฉพาะสาขา

== บาศกนิยมแบบสังเคราะห์ ==

บาศกนิยมแบบสังเคราะห์เป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญลำดับที่สามของบาศกนิยมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยปีกัสโซ บราค ยวน กริซ และคนอื่นระหว่างปี 1912 และ 1919 บาศกนิยมแบบสังเคราะห์ถูกจำแนกคุณลักษณะโดยการริเริ่มของความแตกต่างในพื้นผิว ผิวหน้า องค์ประกอบที่ถูกปะติดปะต่อกัน กระดาษที่ถูกต่อกัน (papier colle) และความหลากหลายของการรวมกันของสสาร มันเป็นจุดเริ่มต้นของวัสดุที่ใช้ในการปะติดปะต่อกันที่ถือว่าเป็นส่วนผสมที่สำคัญของงานวิจิตรศิลป์

งานที่ได้ถือว่าเป็นงานแรกของรูปแบบนี้คือผลงานของปาโบล ปีกัสโซ ภาพนิ่งกับเก้าอี้ไม้ (Still Life with Chair-Caning) ในช่วงปี 1911 ถึง 1912 ซึ่งรวมไปถึงผ้าน้ำมันที่ถูกพิมพ์ให้เหมือนกันเก้าอี้ไม้ติดลงบนผ้าใบทรงรีพร้อมข้อความและเชือกที่ล้อมกรอบภาพรวม ในมุมบนซ้ายนั้นมีตัวอักษร JOU ที่ปรากฏขึ้นในงานของนักบาศกนิยมหลายๆคนเพื่อที่จะสื่อถึงหัวหนังสือพิมพ์ Le Journal ข่าวสารที่ถูกตัดออกจากหนังสือพิมพ์ยังเป็นการแทรกเข้ามาที่ปกติ ชิ้นส่วนของหนังสือพิมพ์ แผ่นโน้ตดนตรีและสิ่งของยังถูกใช้ในการปะติดปะต่อกัน ตัวอักษร JOU นั้นอาจจะมีอีกความหมายหนึ่งในเวลาเดียวกันในภาษาฝรั่งเศสคือ เกม (jeu) และ เล่น (jouer) ปีกัสโซและบราคมีการแข่งขันที่เป็นมิตรด้วยกันซึ่งรวมไปถึงตัวอักษรในงานของพวกเขาที่ถือได้ว่าเป็นการต่อยอดของเกมพวกเขา

ในทางตรงกันข้ามกับบาศกนิยมแบบวิเคราะห์ที่เป็นการวิเคราะห์ของวัตถุ ที่แตกวัตถุออกมาในรูปของสองมิติ บาศกนิยมแบบสังเคราะห์นั้นเป็นเหมือนกับการดันวัตถุหลายชิ้นเข้าด้วยกัน ตลอดความเคลื่อนไหวนี้ปีกัสโซเป็นบุคคลแรกที่ใช้ข้อความในผลงานศิลป์ของเขาเพื่อที่จะทำให้พื้นที่นั้นแบนลง และใช้สื่อกลางที่มีความผสมผสาน นั่นคือมีมากกว่าหนึ่งสือกลางในชิ้นเดียวกัน บาศกนิยมแบบสังเคราะห์มีความบริสุทธิ์น้อยกว่าบาศกนิยมแบบวิเคราะห์ เนื่องจากมันมีการเคลื่อนของระนาบที่น้อยกว่า การให้แสงเงาที่น้อยกว่า ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่ที่แบนกว่า


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:51, 26 ตุลาคม 2555

ผลงานแบบบาศกนิยม



คิวบิสม์ หรือบาศกนิยม (อังกฤษ: Cubism)เป็นลัทธิการสร้างสรรค์ศิลปะที่ได้รับผลสะท้อนมาจากอิทธิพลด้านความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และจากลักษณะรูปแบบหน้ากากของชนเผ่าพรีมิตีฟในแอฟริกา ซึ่งได้ปลุกเร้าการสร้างสรรค์แบบใหม่ รวมทั้งลักษณะการของศิลปินสมัยใหม่ที่พยายามแสวงหาลักษณะเฉพาะตัวให้กับตนเอง เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับลักษณะรูปแบบศิลปะกลุ่มอื่นที่ผ่านมาหรือที่มีอยู่ในยุคนั้น ซึ่งมีหลักสุนทรียภาพที่แสดงรูปทรงศิลปะในลักษณะผันแปรความจริง โดยให้มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมุม เป็นลูกบาศก์ เป็นทรง[[เรขาคณิต] เพื่อสร้างความคิดรวบยอดเชิง3มิติให้ปรากฏในผืนระนาบ2มิติหรือ3มิติ แสดงออกทั้งงานจิตรกรรมและประติมากรรม หากเป็นงานจิตรกรรมรูปแบบผลงานก็จะสามารถแสดงลักษณะปรากฏทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังบนพื้นระนาบไปพร้อมกัน บางทีก็แสดงการทับซ้อนและปิดบังระหว่างกัน รวมทั้งมีการตัดทอนรูปทรงให้ดูง่ายขึ้นกว่ารูปจริงของวัตถุหรือสภาวะที่แท้จริงของรูปทรงนั้นๆด้วย


ประวัติ

แนวคิดและจุดเริ่มต้น

คิวบิสม์นับเป็นวิวัฒนาการของวงการศิลปะอย่างสำคัญ โดยศิลปินสองคน คือ ฌอร์ฌ บรัก (อังกฤษ: George Braque) และ ปาโบล ปีกัสโซ (อังกฤษ: Pablo Picasso) ซึ่งทั้งสองต่างมีจุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจจากผลงานของ พอล เซซาน (อังกฤษ: Paul Cezanne) ซึ่งมีความคิดว่า “โครงสร้างเรขาคณิตเป็นรากฐานของรูปทรงธรรมชาติทั้งมวล” และ ถ้าเข้าใจรูปทรงของโลกภายนอก และโครงสร้างตามความเป็นจริงแล้ว จงมองดูรูปเหล่านั้นให้เป็นเหลี่ยมเป็นลูกบาศก์ง่ายๆ ทั้งปิกัสโซและบาร์ค พยายามเน้นคุณค่าของปริมาตร ของวัสดุกับอากาศซึ่งสัมพันธ์กันเต็มไปหมดในภาพ อีกทั้งยังปฏิเสธหลักการของลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ ซึ่งละเลยความสำคัญของรูปทรงและมวลปริมาตร ศิลปินทั้งสองต่างสำรวจรายละเอียดของสิ่งที่พวกเขาต้องการวาด ด้วยการวิเคราะห์และแยกแยะทำลายรูปทรงเหล่านั้นให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ปะติดปะต่อกัน จากนั้นก็นำมาสังเคราะห์ประกอบกันใหม่ ให้รูปทรงบางรูปทับกัน ซ้อนกัน หรือเหลื่อมล้ำกันก็ได้ โดยมีจุดประสงค์สำคัญในเรื่องการสร้างความงามที่เกิดจากมวลปริมาตรเป็นเป้าหมายสูงสุด โดยที่มาของชื่อคิวบิสม์นั้นมาจากการที่ จอร์จ บาร์ค ได้ส่งงานเขียนของเขาไปแสดงในนิทรรศการศิลปะที่หอศิลป์ Salon des Artistes Indepndants ในกรุงปารีส และถูกปฏิเสธไม่ให้แสดงงาน และนำผลงานทั้งหมดออกจากนิทรรศการ โดยมีนักวิจารณ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับผลงานของ บาร์ค ว่า เป็นการสร้างสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ขนาดเล็กทั้งสิ้น และเป็นผลงานที่ไม่เห็นความสำคัญของรูปทรงและตัดทอนทุกอย่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน รูปร่างของสิ่งต่างๆ โดยบาร์คตัดทอนให้เกิดรูปทรงเรขาคณิตและนำไปสู่รูปทรงแบบลูกบาศก์ โดยในแรกเริ่มนั้น ปิกัสโซ และ บาร์ค เริ่มทำงานในแบบ คิวบิสม์ร่วมกันนั้น ปิกัสโซเปิดเผยว่า “ ตอนที่เริ่ม เขียนภาพ ในแนวทางนี้นั้น พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะสร้างรูปสี่เหลี่ยม แต่เพียงแต่ต้องการแสดงความคิดพวกเขาออกมาเท่านั้น” และการที่จะแสดงออกให้ตรงกับความคิดของทั้งสองคน มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการค้นหาโครงสร้างใหม่ด้วย จำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแนวศิลปะไปในทางตรงกันข้ามกับศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ ด้วยเหตุดังนี้ เขาจึงต้องละเลยเรื่องสี และสัมผัส เพื่อหันไปค้นหาเรื่องโครงสร้าง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานขององค์ประกอบ โดยจัดระเบียบเสียใหม่

มุมมองเทคนิคและรูปแบบ

ศิลปะแบบคิวบิสม์นั้น เกิดจากการที่ศิลปินไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางศิลปะที่ต่างไปจากแบบเก่าโดยสิ้นเชิง มันยากแก่การจำกัดความให้ เพราะคิวบิสม์มันไม่ใช่เพียงแค่ทฤษฎี ระบบ หรือแม้แต่รูปแบบเพียงแบบเดียว หากแต่ว่า คิวบิสม์ได้พยายามค้นคว้าจากแนวทางในการสร้างสรรค์ งานศิลปะ ที่แสดงให้เห็นวัตถุ โดยให้ความรู้สึกว่าภาพนั้นๆ ถูกสร้างขึ้นด้วยสีบนผืนผ้าใบ ไม่ใช่เพียงแค่การเลียนแบบวัตถุเท่านั้น ให้สายตามองเห็นเป็นจริงอย่างธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ศิลปะแบบคิวบิสม์ ก็ไม่ใช่ศิลปะนามธรรมโดยแท้จริง เพราะว่าคิวบิสม์ยังมีเนื้อหาเรื่องราวในภาพอยู่ แต่สิ่งที่คิวบิสม์ให้ความสนใจนั้น คือ มุ่งไปที่ลักษณะของวัตถุ ทางรูปทรงที่เราเห็นได้ด้วยความคิด ดังนั้น คิวบิสม์จึงเป็นแนวทางศิลปะที่พยายามจะเชื่อมโยงทั้งความคิดและสายตาเข้าด้วยกัน ทั้งสองศิลปินนั้นได้แรงบันดาลใจ ในการทำศิลปะแบบ cubism จาก Cezanne ในเรื่อง โครงสร้าง และการไม่ลวงตา Cubism ทำตามหลักการ วิเคราะห์ โครงสร้าง และ การแปรระนาบ แล้วสร้างรูปทรงที่เป็นเหลี่ยม เป็นสันขึ้นมา โดยลดระยะในช่วงความลึก จากโลกแห่งทิวทัศน์จริง มาทำให้ มวลสารทั้งหลาย อัดรวมกันเหมือนภาพนูน คิวบิสม์ รูปวิเคราะห์ (Analytical Cubism) จะทำการ ตัดรายละเอียด ซับซ้อนของวัตถุจริงออกไป บ้านและต้นไม้จะลดรูปทรง ลงเหลือแค่ก้อนเหลี่ยม หรือ รูปโค้งอย่างง่ายๆ แนวทางของ คิวบิสม์ จะมีแนวทางที่ จะไม่แสดงให้เห็นได้ชัดว่า อะไรเป็นอะไร แต่จะ ใช้ให้สิ่งต่างๆ นั้น มาปรากฎคู่กันเสมอ เช่น ในการการสร้างปริมาตร (Volume) แต่ในขณะที่ก็มีการใช้สีแบนราบ ตามผืนผ้าใบในบริเวณใกล้เคียง มีการจับลักษณะ วัตถุตามที่ตาเห็น ขณะเดียวกันก็จงใจใช้สีที่แสดง ให้รู้ว่านี่คือ ผืนผ้าใบแท้ๆ ไม่ใช่อย่างอื่น ในเรื่องของ เส้นวาดและสีก็เช่นเดียวกัน เส้นอาจจะถูกกลืน หายเข้าไปในบริเวณสี ขอบร่างที่คมชัดของคน อาจจจะเลือนหายเข้าไป กลืนกับระนาบรอบตัวได้โดยง่าย วิธีการทำระนาบให้เชื่อมโยง กันไปเรื่อยๆนั้น จะทำโดยการเปลี่ยนระดับสายตาไปด้วยกัน จะพบกับความตื้นลึกที่ต่างกัน แม้มันจะอยู่บนระนาบเดียวกันก็ตาม ในช่วงระหว่าาง สงครามโลกครั้งที่ 1 ปีกัสโซ่ได้เปลี่ยนแนวทางการทำงานแบบ คิวบิสม์ มาเป็น คิวบิสม์สังเคราะห์ (Synthetic Cubism) คิวบิสม์แบบนี้จะมีวัสดุต่างๆ เท่าที่หาได้มาปะติดเข้าไปด้วย ภาพที่ใช้วัสดุมาประกอบกันนี้ เรียกว่า "Collage" อาจจะใช้แผ่นกระดาษ เศษหนังสือพิมพ์ แผ่นกระจกเงา เส้นเชือก ทราย หรือไม่ก็ไพ่ การนำเอาเศษ วัสดุเหล่านี้มาใส่ในภาพ สามารถอำพรางความรู้สึกที่ว่า โลกของภาพเขียน กับโลกของจิตรกร หรือผู้ดูไม่มีอะไร เกี่ยวกันเป็นคนละโลกให้มันลดลง ซึ่งมันจะทำให้ คนดูภาพ กับ จิตกร มีการเชื่อมโยง สัมพันธืกันทาง ความคิดมากยิ่งขึ้น วัสดุที่เลือกมาใช้นี้ จะยังคงไว้ซึ่ง คุณสมบัติทางการใช้สอย เมื่อนำมาจัดองค์ประกอบทางศิลปะ ก็จะได้คุณลักษณะใหม่ ที่เป็นนามธรรมในแบบแผนที่แปลกออกไป

คิวบิสม์ยุคแรก

ระยะที่ 1 คิวบิสม์แบบเหลี่ยมมุม (อังกฤษ : Facet Cubism) ระหว่าง ค.ศ. 1907-1909 เป็นคิวบิสม์แบบเริ่มต้น ระยะนี้ศิลปินจะทำการสร้างสรรค์โดยการแบ่งแยกวัตถุ หรือรูปภาพออกเป็นส่วนประกอบทางเรขาคณิตที่แน่นอน หรืออาจเรียกว่าตัดเป็นเหลี่ยมมุมอย่างหน้าเพชร (Facet) ก็ได้ ปล้วจึงนำเอาส่วนประกอบย่อยเหล่านั้นมาจัดองค์ประกอบใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งการแสดงออกในระยะเริ่มต้นของคิวบิสม์นี้ แสดงให้เห็นอิทธิพลของเซซานน์อย่างชัดเจน ด้วยพวกเขาได้นำลักษณะรูปแบบของเซซานน์มาเป็นจุดดลใจและแนวทางการพัฒนาของตน นอกจากนั้น ศิลปินคิวบิสม์ยังสนใจศึกษาศิลปกรรมของชนเผ่าอนารยะชาวอาฟริกา และศิลปกรรมแบบอาร์เคอิคของกรีกโบราณ

คิวบิสม์ยุคที่สอง

ระยะที่ 2 คิวบิสม์แบบวิเคราะห์ (อังกฤษ : Analytical Cubism) ระหว่าง ค.ศ. 1909-1912 เป็นคิวบิสม์ที่ถูกสร้างขึ้น ด้วยการแตกแยกรูปแบบจริงของวัตถุเพิ่มมากขึ้น แล้วจึงนำมาวิเคราะห์ (Analyzed) ประกอบผ่านผลงาน แสดงให้เห็นแง่มุมต่างๆของวัตถุไปพร้อมกัน คิวบิสม์แบบวิเคราะห์นี้เป็นการๅวิเคราะห์เกี่ยวกับรูปทรงและพื้นที่ พื้นระนาบของวัตถุได้ถูกสร้างขึ้นในแนวใหม่ จากการศึกษาโครงสร้าง และการแสดงให้เห็นแง่มุมต่างๆ (angular and faceted planes) ของวัตถุสิ่งเดียวกันได้หลายด้าน ในส่วนเนื้อหาศิลปะนั้นศิลปินสามารถสร้างสรรค์ด้วยเนื้อหาที่หลากหลาย เช่น เป็นภาพคน หุ่นนิ่ง หรือทิวทัศน์ โดยการใช้สีที่มีลักษณะไม่ฉูดฉาด ภาพระยะนี้มักถูกคลุมไว้ด้วยสีเทา สีน้ำตาลอมแดง สีเขียว และสีดิน

คิวบิสม์ยุคที่สาม

ระยะที่ 3 คิวบิสม์แบบสังเคราะห์ (อังกฤษ : Synthetic Cubism) ระหว่าง ค.ศ. 1912-1914 คิวบิสม์แบบสังเคราะห์มีพัฒนาการล้ำหน้า เกินกว่าคิวบิสม์ที่ผ่านมามาก ศิลปินแสดงออกด้วยการจัดองค์ประกอบมากขึ้น และหยิบเอาเรื่องราวที่ง่ายและใกล้ตัวมาเป็นเนื้อหาแสดงออก เช่น แผ่นกระจก วัตถุที่ปรากฏนห้องทำงาน อาทิ แก้วเหล้า กล่องยาสูบ บุหรี่ ขวดเหล้า ไพ่ เศษผ้า เครื่องดนตรี หนังสือพิมพ์ โดยการใช้เทคนิคการปะติด (Collage) เข้ามาช่วย หรือที่เรียกว่า "Flat-Pattern Cubism" จัดวางลงบนผิวระนาบด้านตั้งและนอนในลักษณะแบนราบ ด้วยโครงสรา้งของสีที่เข้ากันในลักษณะลึกลับน่าอัศจรรย์ จิตรกรรมคิวบิสม์ในระยะหลังนี้ จะแสดงรูปทรงต่างๆ ของวัตถุด้วยการแบ่งแยกออกจากกัน และวางทับ ซ้อนกันด้วยผิวระนาบ(overlapping Planes) และเส้น มีค่าของสีและลักษณะผิวพื้นที่แตกต่างกัน ดังเช่น ภาพหญิงสาวกับกีต้าร์ ของ จอร์จ บาร์ค และภาพคนเล่นไพ่ ของปิกัสโซ ซึ่งศิลปินทั้งสองมีเป้าหมายด้านการแสดงออกมากกว่าคำนึงถึงเนื้อหา

จุดมุ่งหมายและการตีความ

กระแสคิวบิสม์มีความเชื่อทางศิลปะว่า การแสดงออกทางศิลปะนอกจากจะต้องไม่แสดงเชิงการถ่ายทอดตามความเป็นจริงตามตาเห็นแล้ว ศิลปินยังจะต้องกลั่นกรองรูปทรงด้วยการวิเคราะห์และสังเคราะห์รูปทรงให้เหลือเพียงแก่นแกนที่แท้จริงและมั่นคงแข็งแรงด้วยปริมาตรของรูปทรงที่แข็งแรงอัดแน่น ส่วนมิติแห่งความลึกถูกทำให้ปรากฏด้วยการใช้เหลี่ยมมุมประดุจเพชรที่ถูกเจียระไน ทำให้เกิดเงาทับซ้อนและเล่นแง่มุมด้วยขอบเขตของภาพ ที่ประสานสัมผัสกันอย่างเป็นจังหวะภายใต้การให้สีที่ไม่ฉูดฉาดรุนแรง เปลี่ยนแปลงรูปทรงธรรมชาติ มาสู่การจัดองค์ประกอบแบบนามธรรมทางเรขาคณิต ในลักษณะทับซ้อนกันบ้าง หรือมีรูปทรงบางใสซ้อนสลับกันบ้าง ใช้สีแบนราบปราศจากแสงและเงา มีความกลมกลืนหรือตัดกัน หากพิจารณารูปแบบศิลปะของกระแสคิวบิสม์โดยภาพรวม จะเห็นมีลักษณะเป็นลูกบาศก์ ดังนั้นผลงานดังกล่าวจึงถูกเรียกว่าลัทธิหลายมุม หรือ Cubism อย่างไรก็ตามลักษณะเฉพาะประการแรกของควิบิสม์ประการสำคัญคือ การแสดงออกด้านการสร้างสรรค์ของศิลปินจะอยู่ภายใต้การควบคุมขอบเขตของผลงาน และความรู้สึกของศิลปินให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์และหลักการเสมอ ศิลปินคำนึงถึงความมีระยะใกล้ไกลในภาพ ด้วยรูปทรงขนาด การทับซ้อน การบัง และความโปร่งใสเหมือนภาพเอ๊กซเรย์ จะคำนึงถึงการตัดทอน การย่อและขยายส่วน และการบิดเบือนรูปทรง ให้อิสรเสรีแก่ผู้ชม และการสร้างสรรค์งานศิลปะจะคำนึงถึงหลังการจัดองค์ประกอบศิลป์

ประติมากรรมคิวบิสม์

ผลพลอยได้จากจิตรกรรมกระแสคิวบิสม์ไปมีอิทธิพลต่อประติมากรรมอย่างเด่นชัดด้วยตัวของปีกัสโซ เคยสร้างประติมากรรมเพื่อเพิ่มพูนการค้นคว้าของกระแสนี้ควบคู่ไปกับจิตรกรรมด้วย เพราะบางอย่างในประติมากรรมแสดงออกเป็นรูปธรรมได้มากกว่าจิตรกรรม นอกจากได้มีการปั้นรุปด้วยดินเหนียวและหล่อด้วยโลหะแล้ว ปิกัสโซยังได้พัฒนาสร้างงานด้วยไม้ระบายสีด้วย เขาริเริ่มนำเศษโลหะมาเชื่อมต่อกันเป็นรูป โดยนำเศษชิ้นส่วนของเครื่องจักรซึ่งมีรูปร่างต่างๆ แต่ละชิ้นมีรูปทรงสำเร็จรูปอยู่แล้ว นำชิ้นสำเร็จรุปเหล่านั้นเข้ามารวมกันอยู่ในรูปเดียว ซึ่งก่อให้เกิดความคิดแก่พวกดาดาในภายหลัง อย่างไรก็ตาม มีประติมากรแท้ๆหลายคนทำงานตามแนวอุดมคติของกระแสคิวบิสม์อย่างสัมฤทธิผล

ตัวอย่างศิลปินสำคัญในลัทธิคิวบิสม์

1.ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso, 1881-1973)

ผลงานสำคัญ 1.1 La Vie, 1903. 1.2 Family of Saltimbanques, 1905. 1.3 Les Demoisselles D’AVIGON, 1907. 1.4 Woman with Mandolin, 1910. 1.5 Girl with Mandolin, 1910. 1.6 Pierrot and Harlequin, 1910. 1.7 Women in White, 1923. 1.8 Three Dances, 1925. 1.9 Woman of Algiers, 1932. 1.10 Girl before for a mirror, 1932. 1.11 Weeping Woman, 1937. 1.12 Guernica, 1937.

2.จอร์จ บราค (George Braque, 1882-1963)

ผลงานสำคัญ 2.1 Houses at L’estaque, 1908. 2.2 The Musician’s Table, 1913. 2.3 The Black Pedestal Table, 1919. 2.4 Horse’s Head, 1943. 2.5 The Salon, 1944.

3.แฟร์นอง เลเชร์ (Fernand Leger, 1881-1955)

ผลงานสำคัญ 3.1 Nudes in the Forest, 1910. 3.2 City Landscape, 1914. 3.3 The Builders, 1955.

4.อาร์ชิเป็นโก (Alexander Archipenko, 1887-1964)

ผลงานสำคัญ 4.1 Woman Combing her Hair, 1915.

5. ลิปซิทซ์ (Jacques Lipchitz, 1891-?)

ผลงานสำคัญ 5.1 The Large Bathers, 1923-1925. 5.2 Mother and Child, 1941-1945.

6. โลรองส์ (Henri Laurens, 1885-1954)

ผลงานสำคัญ 6.1 Man With Pipe, 1919.

7. ซัดกิน (Ossip Zadkine, 1890-?)

ผลงานสำคัญ 7.1 Commemorative Monument to the Destruction of Rotterdam, 1953-1954.


อ้างอิง