ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระเจ้าปเสนทิโกศล"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Earthpanot (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{ต้องการอ้างอิง}}
'''พระเจ้าปเสนทิโกศล''' เป็นพระราชโอรสของ[[พระเจ้ามหาโกศล]] กรุง[[สาวัตถี]] เมืองหลวงของ[[แคว้นโกศล]] เมื่อได้เจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมือง[[ตักสิลา]] ณ สำนักตักกสิลา
'''พระเจ้าปเสนทิโกศล''' เป็นพระราชโอรสใน[[พระเจ้ามหาโกศล]] กรุง[[สาวัตถี]] เมืองหลวงของ[[แคว้นโกศล]] เมื่อได้เจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมือง[[ตักสิลา]] ณ สำนักตักกสิลา


== พระสหาย ==
== พระสหาย ==
เจ้าชายมีพระสหายอีก ๒ พระองค์ ที่เป็นศิษย์ร่วมรุ่นกัน คือ [[เจ้าชายมหาลิ]] จากเมือง[[เวสาลี]] เมืองหลวงของ[[แคว้นวัชชี]] และ[[เจ้าชายพันธุละ]] จากเมือง[[กุสินารา]] หนึ่งในเมืองหลวงของ[[แคว้นมัลละ]]
เจ้าชายมีพระสหายอีก ๒ พระองค์ ที่เป็นศิษย์ร่วมรุ่นกัน คือ [[เจ้าชายมหาลิ]]จากกรุง[[เวสาลี]] [[แคว้นวัชชี]] และ[[เจ้าชายพันธุละ]]จากกรุง[[กุสินารา]]หนึ่งในเมืองหลวงของ[[แคว้นมัลละ]]


== แสดงศิลปวิทยา ==
== แสดงศิลปวิทยา ==
เมื่อจบการศึกษาแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับ[[มาตุภูมิ]] และได้แสดง[[ศิลปวิทยา]]ให้พระ[[ประยูรญาติ]]ได้ชมโดยทั่วหน้ากัน พระเจ้ามหาโกศลได้มอบ[[พระราชบัลลังก์]]ให้พระเจ้าปเสนทิโกศลขึ้น[[ครองราชย์]]แทนในเวลาต่อมา
เมื่อจบการศึกษาแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับ[[มาตุภูมิ]] และได้แสดงศิลปวิทยาให้พระ[[ประยูรญาติ]]ได้ชมโดยทั่วหน้ากัน พระเจ้ามหาโกศลได้มอบพระราชบัลลังก์ให้พระเจ้าปเสนทิโกศลขึ้น[[ครองราชย์]]แทนในเวลาต่อมา


== เจ้าชายพันธุละหนีออกจากกุสินารา ==
== เจ้าชายพันธุละหนีออกจากกุสินารา ==
ส่วนเจ้าชายพันธุละถูกคู่อริกลั่นแกล้ง แม้การแสดงศิลปวิทยาท่ามกลางพระประยูรญาติจะจบลงด้วยความพอใจของมหาสมาคม แต่เจ้าชายพันธุละทรงน้อยพระทัย จึงหนีออกจากเมืองกุสินารา มาขอถวายตัวเข้ารับ[[ราชการ]]รับใช้พระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ทรงดีพระทัยมาก จึงทรงแต่งตั้งให้พันธุละเป็น[[เสนาบดี]]
ส่วนเจ้าชายพันธุละถูกคู่อริกลั่นแกล้ง แม้การแสดงศิลปวิทยาท่ามกลางพระประยูรญาติจะจบลงด้วยความพอใจของมหาสมาคม แต่เจ้าชายพันธุละทรงน้อยพระทัย จึงหนีออกจากเมืองกุสินารา มาขอถวายตัวเข้ารับราชการรับใช้พระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ทรงดีพระทัยมาก จึงทรงแต่งตั้งให้พันธุละเป็น[[เสนาบดี]]


== ศาสนา ==
== ศาสนา ==
พระเจ้าปเสนทิโกศลเดิมทีนับถือศาสนานิครนถ์ (ศาสนาเชน หรือ ลัทธิชีเปลือย) และเชื่อถือในการบูชายัญของพราหมณ์อีกด้วย เมื่อมานับถือพระพุทธศาสนาแล้วก็ยังไม่เลิกบูชายัญ และยังติดต่อกับพวกชีเปลือยเป็นต้นอยู่
พระเจ้าปเสนทิโกศลเดิมทีนับถือศาสนานิครนถ์ ([[ศาสนาเชน]] หรือ ลัทธิชีเปลือย) และเชื่อถือในการบูชายัญของพราหมณ์อีกด้วย เมื่อมานับถือพระพุทธศาสนาแล้วก็ยังไม่เลิกบูชายัญ และยังติดต่อกับพวกชีเปลือยเป็นต้นอยู่


== เข้าสู่สำนักของ[[พระโคตมพุทธเจ้า|พระพุทธโคตม]] ==
== เข้าสู่สำนักของ[[พระโคตมพุทธเจ้า]] ==
ครั้งหนึ่ง ขณะที่อยู่สำนักพระพุทธเจ้า พอดีเหล่าชีเปลือยเดินผ่านมาใกล้ ๆ พระเจ้าปเสนทิโกศลประคองอัญชลีประกาศว่า ขอนมัสการพระคุณเจ้าทั้งหลาย แล้วหันมาทูลพระพุทธเจ้าว่า สมณะเหล่านั้นเป็น[[พระอรหันต์]] พระพุทธเจ้าตรัสเตือนสติว่า
ครั้งหนึ่ง ขณะที่อยู่สำนักพระพุทธเจ้า พอดีเหล่าชีเปลือยเดินผ่านมาใกล้ ๆ พระเจ้าปเสนทิโกศลประคองอัญชลีประกาศว่า ขอนมัสการพระคุณเจ้าทั้งหลาย แล้วหันมาทูลพระพุทธเจ้าว่า สมณะเหล่านั้นเป็น[[พระอรหันต์]] พระพุทธเจ้าตรัสเตือนสติว่า


{{คำพูด|มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์ จะรู้ว่าใครมี[[ศีล]]หรือไม่ ต้องอยู่ด้วยกันนานๆ จะรู้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ด้วยการทำงาน (หรือ[[เจรจา]]) จะรู้ว่ามี[[ปัญญา]]หรือไม่ ด้วยการ[[สนทนา]] จะรู้ว่ากำลัง[[ใจ]]เข้มแข็งหรือไม่ ก็ต้องเมื่อตกอยู่ในอันตราย|พระพุทธเจ้า}}
{{คำพูด|มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์ จะรู้ว่าใครมี[[ศีล]]หรือไม่ ต้องอยู่ด้วยกันนาน ๆ จะรู้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ด้วยการทำงาน (หรือ[[เจรจา]]) จะรู้ว่ามี[[ปัญญา]]หรือไม่ ด้วย[[การสนทนา]]จะรู้ว่ากำลัง[[ใจ]]เข้มแข็งหรือไม่ ก็ต้องเมื่อตกอยู่ในอันตราย|พระพุทธเจ้า}}


== ประกอบพิธีบูชายัญ ==
== ประกอบพิธีบูชายัญ ==
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประกอบ[[พิธีบูชายัญ]]ยิ่งใหญ่ มีการตระเตรียมฆ่าสัตว์อย่างละ ๗๐๐ เพราะสุบินได้ยินเสียงประหลาด บังเอิญว่า[[พระนางมัลลิกา]] พระมเหสีทรงทัดทาน การฆ่าสัตว์ครั้งมโหฬารจึงไม่เกิดขึ้นและเป็นผู้ชักจูงพระองค์เข้าสู่[[พระพุทธศาสนา]]
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประกอบพิธี[[บูชายัญ]]ยิ่งใหญ่ มีการตระเตรียมฆ่าสัตว์อย่างละ ๗๐๐ เพราะสุบินได้ยินเสียงประหลาด บังเอิญว่า[[พระนางมัลลิกา]] พระมเหสีทรงทัดทาน การฆ่าสัตว์ครั้งมโหฬารจึงไม่เกิดขึ้นและเป็นผู้ชักจูงพระองค์เข้าสู่[[พระพุทธศาสนา]]


== เป็นผู้อุปถัมภ์ทุกศาสนา ==
== เป็นผู้อุปถัมภ์ทุกศาสนา ==
จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้อุปถัมภ์ทุกศาสนาให้ความสำคัญศาสนาต่าง ๆ ทัดเทียมกัน ต่อเมื่อมานับถือพระพุทธศาสนาน้อมเอา[[พระรัตนตรัย]]มาเป็นสรณะเด็ดขาดแล้ว จึงทรงเลิกการกระทำที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนชีวิต และนำเอาหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นแบบอย่างดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น
จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้อุปถัมภ์ทุกศาสนาให้ความสำคัญศาสนาต่าง ๆ ทัดเทียมกัน ต่อเมื่อมานับถือพระพุทธศาสนาน้อมเอาพระ[[รัตนตรัย]]มาเป็นสรณะเด็ดขาดแล้ว จึงทรงเลิกการกระทำที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนชีวิต และนำเอาหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นแบบอย่างดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น


พระนางมัลลิกา เป็นสาวิกาผู้บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุยังน้อย มีศรัทธามั่นคงใน[[พระรัตนตรัย]] เมื่อมาเป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมมีอิทธิพลต่อความเชื่อของ[[พระราชสวามี]]และแนะนำให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาในที่สุด กอปรกับสุทัตตคหบดี เพราะฉะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงถวายความอุปถัมภ์ดูแลพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์อย่างดี พระองค์เองเสด็จเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลถามปัญหาธรรมและฟังพระพุทธ[[โอวาท]]อยู่เสมอ เพราะต้องการเป็นญาติทางสายโลหิตกับพระพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามล้างโคตรในหมู่ศากยะในเวลาต่อมา ศากยวงศ์ต้องถูกทำลายล้างจนสูญหายไปจากประวัติศาสตร์
พระนางมัลลิกา เป็นสาวิกาผู้บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุยังน้อย มีศรัทธามั่นคงในพระ[[รัตนตรัย]] เมื่อมาเป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมมีอิทธิพลต่อความเชื่อของพระราชสวามีและแนะนำให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาในที่สุด กอปรกับสุทัตตคหบดี เพราะฉะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงถวายความอุปถัมภ์ดูแลพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์อย่างดี พระองค์เองเสด็จเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลถามปัญหาธรรมและฟังพระพุทธโอวาทอยู่เสมอ เพราะต้องการเป็นญาติทางสายโลหิตกับพระพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามล้างโคตรในหมู่ศากยะในเวลาต่อมา ศากยวงศ์ต้องถูกทำลายล้างจนสูญหายไปจากประวัติศาสตร์


เมืองสาวัตถีเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศานาที่สำคัญ รองจากเมือง[[ราชคฤห์]] ก็ด้วยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าปเสนทิโกศลนั่นเอง
เมืองสาวัตถีเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศานาที่สำคัญ รองจากเมือง[[ราชคฤห์]] ก็ด้วยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าปเสนทิโกศลนั่นเอง


{{บุคคลในพุทธประวัติ}}
{{บุคคลในพุทธประวัติ}}

[[หมวดหมู่:บุคคลในพุทธประวัติ]]
[[หมวดหมู่:บุคคลในพุทธประวัติ]]

[[en:Pasenadi]]
[[es:Pasenadi]]
[[fr:Pasenadi]]
[[ja:プラセーナジット]]
[[km:បសេនទិកោសល]]
[[zh:波斯匿王]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:22, 8 กันยายน 2555

พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระราชโอรสในพระเจ้ามหาโกศล กรุงสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล เมื่อได้เจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา ณ สำนักตักกสิลา

พระสหาย

เจ้าชายมีพระสหายอีก ๒ พระองค์ ที่เป็นศิษย์ร่วมรุ่นกัน คือ เจ้าชายมหาลิจากกรุงเวสาลี แคว้นวัชชี และเจ้าชายพันธุละจากกรุงกุสินาราหนึ่งในเมืองหลวงของแคว้นมัลละ

แสดงศิลปวิทยา

เมื่อจบการศึกษาแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับมาตุภูมิ และได้แสดงศิลปวิทยาให้พระประยูรญาติได้ชมโดยทั่วหน้ากัน พระเจ้ามหาโกศลได้มอบพระราชบัลลังก์ให้พระเจ้าปเสนทิโกศลขึ้นครองราชย์แทนในเวลาต่อมา

เจ้าชายพันธุละหนีออกจากกุสินารา

ส่วนเจ้าชายพันธุละถูกคู่อริกลั่นแกล้ง แม้การแสดงศิลปวิทยาท่ามกลางพระประยูรญาติจะจบลงด้วยความพอใจของมหาสมาคม แต่เจ้าชายพันธุละทรงน้อยพระทัย จึงหนีออกจากเมืองกุสินารา มาขอถวายตัวเข้ารับราชการรับใช้พระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ทรงดีพระทัยมาก จึงทรงแต่งตั้งให้พันธุละเป็นเสนาบดี

ศาสนา

พระเจ้าปเสนทิโกศลเดิมทีนับถือศาสนานิครนถ์ (ศาสนาเชน หรือ ลัทธิชีเปลือย) และเชื่อถือในการบูชายัญของพราหมณ์อีกด้วย เมื่อมานับถือพระพุทธศาสนาแล้วก็ยังไม่เลิกบูชายัญ และยังติดต่อกับพวกชีเปลือยเป็นต้นอยู่

เข้าสู่สำนักของพระโคตมพุทธเจ้า

ครั้งหนึ่ง ขณะที่อยู่สำนักพระพุทธเจ้า พอดีเหล่าชีเปลือยเดินผ่านมาใกล้ ๆ พระเจ้าปเสนทิโกศลประคองอัญชลีประกาศว่า ขอนมัสการพระคุณเจ้าทั้งหลาย แล้วหันมาทูลพระพุทธเจ้าว่า สมณะเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสเตือนสติว่า

มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์ จะรู้ว่าใครมีศีลหรือไม่ ต้องอยู่ด้วยกันนาน ๆ จะรู้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ด้วยการทำงาน (หรือเจรจา) จะรู้ว่ามีปัญญาหรือไม่ ด้วยการสนทนาจะรู้ว่ากำลังใจเข้มแข็งหรือไม่ ก็ต้องเมื่อตกอยู่ในอันตราย

— พระพุทธเจ้า

ประกอบพิธีบูชายัญ

ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประกอบพิธีบูชายัญยิ่งใหญ่ มีการตระเตรียมฆ่าสัตว์อย่างละ ๗๐๐ เพราะสุบินได้ยินเสียงประหลาด บังเอิญว่าพระนางมัลลิกา พระมเหสีทรงทัดทาน การฆ่าสัตว์ครั้งมโหฬารจึงไม่เกิดขึ้นและเป็นผู้ชักจูงพระองค์เข้าสู่พระพุทธศาสนา

เป็นผู้อุปถัมภ์ทุกศาสนา

จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้อุปถัมภ์ทุกศาสนาให้ความสำคัญศาสนาต่าง ๆ ทัดเทียมกัน ต่อเมื่อมานับถือพระพุทธศาสนาน้อมเอาพระรัตนตรัยมาเป็นสรณะเด็ดขาดแล้ว จึงทรงเลิกการกระทำที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนชีวิต และนำเอาหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นแบบอย่างดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น

พระนางมัลลิกา เป็นสาวิกาผู้บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุยังน้อย มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย เมื่อมาเป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมมีอิทธิพลต่อความเชื่อของพระราชสวามีและแนะนำให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาในที่สุด กอปรกับสุทัตตคหบดี เพราะฉะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงถวายความอุปถัมภ์ดูแลพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์อย่างดี พระองค์เองเสด็จเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลถามปัญหาธรรมและฟังพระพุทธโอวาทอยู่เสมอ เพราะต้องการเป็นญาติทางสายโลหิตกับพระพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามล้างโคตรในหมู่ศากยะในเวลาต่อมา ศากยวงศ์ต้องถูกทำลายล้างจนสูญหายไปจากประวัติศาสตร์

เมืองสาวัตถีเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศานาที่สำคัญ รองจากเมืองราชคฤห์ ก็ด้วยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าปเสนทิโกศลนั่นเอง