ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก"
บรรทัด 27: | บรรทัด 27: | ||
บุคคลสาธารณะและนักการเมืองที่มีชื่อเสียง อย่างอัสลัมเบค อัสลาฮานอฟ, อีรีนา ฮาคามาดา, รุสลัน ฮัสบูลาตอฟ, อีโอซิฟ คอบซอน, โบริส เนมซอฟ และกรีโกรี ยัฟลินสกี มีส่วนในการเจรจากับผู้จับตัวประกัน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต [[มิฮาอิล กอร์บาชอฟ]] ยังประกาศความเต็มใจในการเป็นคนกลางระหว่างช่วงการเจรจรา ผู้ก่อการร้ายยังต้องการให้ผู้แทน[[กาชาดสากล]] และ[[องค์การแพทย์ไร้พรมแดน]] มายังโรงละครเพื่อนำการเจรจาด้วย |
บุคคลสาธารณะและนักการเมืองที่มีชื่อเสียง อย่างอัสลัมเบค อัสลาฮานอฟ, อีรีนา ฮาคามาดา, รุสลัน ฮัสบูลาตอฟ, อีโอซิฟ คอบซอน, โบริส เนมซอฟ และกรีโกรี ยัฟลินสกี มีส่วนในการเจรจากับผู้จับตัวประกัน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต [[มิฮาอิล กอร์บาชอฟ]] ยังประกาศความเต็มใจในการเป็นคนกลางระหว่างช่วงการเจรจรา ผู้ก่อการร้ายยังต้องการให้ผู้แทน[[กาชาดสากล]] และ[[องค์การแพทย์ไร้พรมแดน]] มายังโรงละครเพื่อนำการเจรจาด้วย |
||
ตามข้อมูลของ FSB ตัวประกัน 39 คนถูกผู้ก่อการร้ายปล่อยตัวเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2545 แต่พวกเขาย้ำผ่านหนึ่งในตัวประกันว่า การขู่ก่อนหน้านี้ที่จะเริ่มยิงตัวประกันหากรัสเซียไม่ถือข้อเรียกร้องของพวกเขาเป็นจริงเป็นจัง การเจรจาการปล่อยตัวผู้มิใช่สัญชาติรัสเซียดำเนินโดยสถานทูตหลายแห่ง และชาวเชเชนสัญญาจะปล่อยตัวประกันต่างประเทศทั้งหมด คนร้ายยังอ้างว่า พวกเขาพร้อมปล่อยตัวประกันรัสเซีย 50 คน หากอัคฮ์มัด คาดูรอฟ หัวหน้ารัฐบาลนิยมรัสเซียของเชชเนีย เดินทางมายังโรงละคร แต่คาดูรอฟไม่มีท่าทีตอบสนอง เช่นเดียวกับที่ไม่มีการปล่อยตัว |
|||
แม้ไม่มีการตอบรับ แต่ก็มีการปล่อยตัวประกันออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับมีการนำอาหาร และ ยา โดยแพทย์ และ องค์การกาชาดสากลเข้าไปให้ตัวประกัน ซึ่งพวกเขาได้บอกว่าตัวประกันอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ไม่มีการทำร้ายตัวประกันแต่ก็มี 2 - 3 คน ที่ตกใจกลัวอย่างมาก ในช่วงพลบค่ำของคืนวันนั้นก็มีการยิงใส่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ เจเนดี วลากค์ เพราะเขาวิ่งเขาไปในอาคารโรงละครโดยอ้างว่ามีลูกชายติดเป็นตัวประกัน ในนั้น และราวเที่ยงคืนก็มีตัวประกันชายที่วิ่งเข้าไปหาผู้หญิงชาวเชเชนที่มีระเบิด แต่ผู้ชายชาวเชเชนยิงปืนเข้าใส่กระสุนพลาดไปโดนตัวประกันหญิง 2 คน ก็คือ ทามาร่า สตาร์โคว่า และ พาร์เวล ซาร์คารอฟ บาดเจ็บสาหัสจนต้องถูกนำออกมารักษาตัวข้างนอก |
|||
=== 25 ตุลาคม === |
=== 25 ตุลาคม === |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:04, 23 ตุลาคม 2554
วิกฤตการจับตัวประกันในโรงละครมอสโก (อังกฤษ: Moscow theatre hostage crisis) หรือ การล้อมนอร์ด-โอสท์ พ.ศ. 2545 (อังกฤษ: 2002 Nord-Ost siege) เป็นการยึดโรงละครซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2545 โดยกลุ่มติดอาวุธเชเชนราว 40 ถึง 50 คน ที่อ้างความภักดีต่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนอิสลามในเชชเนีย[1] คนร้ายจับตัวประกัน 850 คน และเรียกร้องให้ถอนกำลังรัสเซียออกจากเชชเนีย และยุติสงรามเชชเนียครั้งที่สอง การล้อมนี้อยู่ภายใต้การนำอย่างเป็นทางการของมอฟซาร์ บาราเยฟ หลังการล้อมนานสองวันครึ่ง กองกำลังสเปซนาซของรัสเซียได้สูบสารเคมีไม่ทราบชื่อ (คาดว่าเป็นเฟนตานิล หรือ 3-เมทิลเฟนตานิล) เข้าไปในระบบระบายอากาศของอาคารและโจมตี[1]
คนร้าย 39 คนถูกสังหารโดยกองทัพรัสเซีย เช่นเดียวกับตัวประกันอย่างน้อย 129 คน (ซึ่งรวมชาวต่างชาติเก้าคน) ตัวประกันเกือบทั้งหมดที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เสียชีวิตจากสารพิษที่สูบเข้าไปในโรงละครที่ตั้งใจใช้กับคนร้าย[2][3] การใช้แก๊สดังกล่าวถูกประณามอย่างกว้างขวางว่า "มือหนัก" แต่รัฐบาลรัสเซียยืนยันว่า ตนมีพื้นที่น้อยมากสำหรับกลวิธี โดยเผชิญหน้ากับกบฏติดอาวุธหนัก 50 คนที่เตรียมฆ่าตัวตายและตัวประกัน[4] แพทย์ในกรุงมอสโกประณามการปฏิเสธที่จะเปิดเผยเอกลักษณ์ของแก๊ส ซึ่งทำให้แพทย์ไม่สามารถช่วยชีวิตได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี บางรายงานว่า ยานาลอกโซนสามารถใช้ช่วยชีวิตตัวประกันบางคนอย่างได้ผล[5] รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ทั้งสิ้นประมาณ 170 คน
เหตุการณ์การจับตัวประกัน
23 ตุลาคม
เหตุการณ์เริ่มขึ้นไม่นานหลังเริ่มการแสดงละคร เวลา 21.05 น. ของวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ได้มีรถบัสบรรทุกทั้งชายและหญิงในชุดดำลายพราง สวมหน้ากาก และติดอาวุธหนัก และจับตัวประกันราว 850-900 คน รวมทั้งผู้ชมและนักแสดง ในจำนวนนี้มีพลเอกจากกระทรวงมหาดไทยด้วย ปฏิกิริยาของผู้ชมในโรงละครต่อข่าวว่าโรงละครถูกผู้ก่อการร้ายยึดไว้คละกันไป บ่างคนยังสงบ บางคนควบคุมตนเองไม่ได้ และบางคนหมดสติไป นักแสดงบางคนที่กำลังพักอยู่หลังเวทีหลบหนีออกไปทางหน้าต่างและเรียกตำรวจ รวมแล้ว มีราว 90 คนสามารถหลบหนีจากอาคารหรือซ่อนตัว
หัวหน้าคนร้ายบอกว่า พวกเขามาจากหน่วยฆ่าตัวตายของ "กองพลที่ 29"[6] และว่า พวกเขาไม่มีความบาดหมางกับชาวต่างชาติ (ราว 75 คน จาก 14 ประเทศ รวมทั้งออสเตรเลีย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ยูเครน สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา) และสัญญาจะปล่อยทุกคนที่แสดงพาสปอร์ตต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักเจรจารัสเซียปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอนี้ และยืนยันให้ทุกคนถูกปล่อยตัวพร้อมกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกระหว่างชาวต่างชาติกับชาวรัสเซีย[7]
การสนทนาด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างตัวประกันที่ถูกจับอยู่ในโรงละครกับครอบครัว เปิดเผยว่า ผู้จับตะวประกันมีระเบิดมือ ทุ่นระเบิดและระเบิดแสวงเครื่องผูกรัดอยู่ตามร่างกาย และวางระเบิดเพิ่มไว้ทั่วโรงละคร ระเบิดส่วนใหญ่นี้ (รวมทั้งทั้งหมดที่นักรบหญิงสวม) ถูกพบภายหลังว่าเป็นของปลอมใช้ในทางทหาร[8][9] ส่วนที่เหลือนั้นไม่มีตัวจุดระเบิดหรือถอดแบตเตอรีออกแล้ว[10] นักเจรจาและหน่วยรบพิเศษรัสเซียไม่อาจมั่นใจได้ในเวลานั้น แต่ก่อนหน้าการล้อม ขณะที่มีการเตรียมระเบิด เจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย (FSB) ผู้แทรกซึมเครือข่ายขนส่งเชเชนจีฮัดได้บ่อนทำลายอุปกรณ์หลายอย่างด้วยแบตเตอรีใช้หมด และตัวเร่งหรือดินเร่งที่ไม่พอสำหรับจุดระเบิด คนร้ายใช้ชื่อภาษาอาหรับในหมู่พวกเขาเอง และผู้ก่อการร้ายหญิงสวมเสื้อผ้าบุรกาแบบอาหรับ ซึ่งผิดปกติอย่างมากในเขตคอเคซัสเหนือ[11]
โฆษกผู้นำแบ่งแยกดินแดนเชเชนกล่าวว่า เขาไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ และประณามการโจมตีต่อพลเรือน ผู้นำเชชเนียนิยมรัสเซียยังประณามเหตุโจมตีดังกล่าวด้วย[12]
ตัวประกันทั้งหมดถูกจัดให้อยู่ในโรงละครและหลุมวงออเครสตราใช้เป็นส้วม[13] สถานการณ์ในห้องโถงนั้นตึงเครียดและเปลี่ยนแปลงหลายครั้งขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้จับตัวประกัน ตามรายงานในสื่อมวลชนภายหลัง การทราบข้อมูลผิด ๆ ทุกประเภทได้ก่อให้เกิดความสิ้นหวังในหมู่ตัวประกันและความก้าวร้าวรอบใหม่ของคนร้าย ผู้จะขู่ยิงตัวประกันและระเบิดอาคารทิ้ง อย่างไรก็ดี ไม่มีหายนะครั้งใหญ่เกิดขึ้นระหว่างช่วงการล้อม มือปืนปล่อยให้ผู้ชมโทรศัพท์ได้[14] ตัวประกันใช้โทรศัพท์ขอร้องทางการไม่ให้โจมตีอาคาร[12] ขณะที่ตำรวจและทหารเต็มคันรถบรรทุก ร่วมด้วยยานเกราะ ล้อมอาคาร[6]
หลังจากนั้น คนร้ายได้ปล่อยตัวประกันราว 150 ถึง 200 คน รวมทั้งเด็ก หญิงมีครรภ์ ชาวมุสลิม ผู้ชมละครชาวต่างประเทศบางคน และคนที่ต้องการการรักษาในไม่กี่ชั่วโมงหลังคนร้ายยึดโรงละคร มีหญิงสามารถหลบหนีได้สองคน และไม่มีคนใดได้รับบาดเจ็บระหว่างการหลบหนีนั้น[15] ผู้ก่อการร้ายว่า พวกเขาพร้อมฆ่าตัวประกัน 10 คน หากสมาชิกของพวกเขาตายไป 1 คน ในกรณีที่กำลังความมั่นคงเข้าแทรกแซง[12]
โอลกา โรมาโนวา วัย 26 ปี ผ่านการล้อมของตำรวจและเข้าโรงละครจากทางด้านหลัง เธอเผชิญหน้ากับผู้ก่อการร้ายและกระตุ้นให้ตัวประกันยืดหยัดสู้กับคนร้าย กองโจรตัดสินว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่ FSB และนำเธอไป เธอถูกยิงและเสียชีวิตแทบทันที ร่างของโอลกาภายหลังถูกนำออกจากอาคารโดยทีมแพทย์รัสเซีย และตำรวจรัสเซียรายงานอย่างผิด ๆ ว่าเป็นร่างของตัวปรกะกันคนแรกที่ถูกสังหารระหว่างพยายามหลบหนี[15]
24 ตุลาคม
รัฐบาลรัสเซียเสนอผู้จับตัวประกันให้โอกาสในการลี้ภัยไปยังประเทศที่สาม ตัวประกันที่ถูกยุยงวิงวอน อาจด้วยอยู่ภายใต้คำสั่งหรือถูกข่มขู่ ให้ปูตินเลิกความเป็นปรปักษ์ในเชชเนียและขอให้เขาระงับการโจมตีอาคาร ด้วยวิกฤตการณ์นี้ ปูตินได้ยกเลิกการเดินทางเยือนต่างประเทศซึ่งรวมไปถึงการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และผู้นำโลกคนอื่น ๆ
บุคคลสาธารณะและนักการเมืองที่มีชื่อเสียง อย่างอัสลัมเบค อัสลาฮานอฟ, อีรีนา ฮาคามาดา, รุสลัน ฮัสบูลาตอฟ, อีโอซิฟ คอบซอน, โบริส เนมซอฟ และกรีโกรี ยัฟลินสกี มีส่วนในการเจรจากับผู้จับตัวประกัน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต มิฮาอิล กอร์บาชอฟ ยังประกาศความเต็มใจในการเป็นคนกลางระหว่างช่วงการเจรจรา ผู้ก่อการร้ายยังต้องการให้ผู้แทนกาชาดสากล และองค์การแพทย์ไร้พรมแดน มายังโรงละครเพื่อนำการเจรจาด้วย
ตามข้อมูลของ FSB ตัวประกัน 39 คนถูกผู้ก่อการร้ายปล่อยตัวเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2545 แต่พวกเขาย้ำผ่านหนึ่งในตัวประกันว่า การขู่ก่อนหน้านี้ที่จะเริ่มยิงตัวประกันหากรัสเซียไม่ถือข้อเรียกร้องของพวกเขาเป็นจริงเป็นจัง การเจรจาการปล่อยตัวผู้มิใช่สัญชาติรัสเซียดำเนินโดยสถานทูตหลายแห่ง และชาวเชเชนสัญญาจะปล่อยตัวประกันต่างประเทศทั้งหมด คนร้ายยังอ้างว่า พวกเขาพร้อมปล่อยตัวประกันรัสเซีย 50 คน หากอัคฮ์มัด คาดูรอฟ หัวหน้ารัฐบาลนิยมรัสเซียของเชชเนีย เดินทางมายังโรงละคร แต่คาดูรอฟไม่มีท่าทีตอบสนอง เช่นเดียวกับที่ไม่มีการปล่อยตัว
25 ตุลาคม
ต่อมาในคืนวันที่ 25 ตุลาคม มีข่าวมาว่าจะเริ่มการเจรจาอย่างจริงจังแต่ก็มีข่าวรั่วมาว่าจะมีการบุกชิงตัวประกันในเช้ามืดที่จะมาถึง
26 ตุลาคม
เมื่อเวลา 05.00 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2002 เริ่มมีการปั๊มแก็สเข้ามาทางท่อระบายอากาศของตัวอาคารของโรงละคร ตัวประกันก็เริ่มสังเกตเห็นควันและคิดว่ามีการเกิดเพลิงใหม้ มีการโทรศัพท์ออกมาจากหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดียนอว่า ซึ่งเป็นนักข่าวโทรมายังสถานีวิทยุ Echo of Moscow ว่าทั้งตัวประกันและชาวเชเชนในโรงละครทุกคนไม่อยากตายและขวัญเสียเป็นอย่างมาก มีการยิงออกมาจากอาคาร ใส่ที่ตั้งของทหารรัซเซียข้างนอก แต่ไม่ได้มีการระเบิด หรือยิงตัวประกันแต่อย่างใด ประมาณ 30 นาทีหลังจากการปั๊มแก็สที่คาดกันว่าเป็น 3-methyl fentanyl หรือ Kolokol-1 (ซึ่งทางการรัสเซียไม่ได้ออกมาแถลงอย่างแน่ชัดว่าเป็นชนิดใด) และก็เกิดการยิงกันอีกราว 1 ชั่วโมง ชาวเชนที่ถูกยิงมีทั้งหญิงและชายแต่ไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน สุดท้ายมีชาวเชเชนเสียชีวิต 33 คน ตัวประกันเสียชีวิต 129 คน (มีเพียงคนเดียวที่เสียชีวิตจากการถูกยิง ที่เหลือเสียชีวิตจากแก็สและการช่วยเหลือที่ล่าช้า)
เชิงอรรถ
- ↑ 1.0 1.1 Modest Silin, Hostage, Nord-Ost siege, 2002, Russia Today, 27 October 2007
- ↑ Gas "killed Moscow hostages", ibid.
- ↑ "Moscow court begins siege claims", BBC News, 24 December 2002
- ↑ "Moscow siege gas 'not illegal'". BBC News. 29 October 2002.
- ↑ "Mystery of Russian gas deepens"
- ↑ 6.0 6.1 Chechens Seize Moscow Theater, Taking as Many as 600 Hostages, The New York Times, 24 October 2002
- ↑ A Foreigner's Nightmare in Dubrovka, The Moscow Times, 22 October 2007
- ↑ The October 2002 Moscow Hostage-Taking Incident (Part 1) by John B. Dunlop, Radio Free Europe Reports, 18 December 2003.
- ↑ Slaughter in Beslan, Hudson Institute, 23 November 2004
- ↑ Норд-Ост: 5 лет, Echo of Moscow, 21 October 2007 (รัสเซีย)
- ↑ Moscow siege leaves dark memories, BBC News, 16 December 2002
- ↑ 12.0 12.1 12.2 Terrorists seize Moscow theatre, BBC News, 23 October 2002
- ↑ Non-stop nightmare for Moscow hostages, BBC News, 25 October 2002
- ↑ Chechen gunmen storm Moscow theatre, The Guardian, 24 October 2002
- ↑ 15.0 15.1 Seven hostages freed in Moscow siege, BBC News, 25 October 2002
อ้างอิง
- The 2002 Dubrovka and 2004 Beslan Hostage Crises: A Critique of Russian Counter-Terrorism by John B. Dunlop (ISBN 3-89821-608-X)