ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จักรวรรดิจีน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขของ 58.9.222.17 (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย 119.46.217.225
บรรทัด 52: บรรทัด 52:
'''เริ่มการโจมตีราชวงศ์หยวน '''
'''เริ่มการโจมตีราชวงศ์หยวน '''
กัวจื่อซิงเห็นแววความสามารถของเขาจึงได้ยกหม่าชิวเซียงธิดาบุญธรรมให้เป็นภรรยา ในปี พ.ศ. 1895 จูหยวนจางปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งมีผลงานโดดเด่นกว่าผู้อื่นจึงได้รับเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วแต่ทำให้ถูกกัวจื่อซิงกับบุตรชายระแวงอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งกัวจื่อซิงจับเขาไปขังแต่หม่าชิงเซียงกับมารดาไปอ้อนวอนขอจึงได้รับการปล่อยตัว จูหยวนจางจึงตัดสินใจพาภรรยากลับไปอยู่ที่ตำบลจงหลีบ้านเกิดและได้ชักชวนเพื่อนในวัยเยาว์กับคนอื่นๆ จัดตั้งกองกำลังเป็นของตนเอง จาก 700 คนก็เพิ่มจำนวนมากกว่า 20,000 คนภายในระยะเวลา 2 ปีพ.ศ. 1898 (ค.ศ. 1355) ฉีโจวหวางหรือกัวจื่อซิงพ่อตาของเขาสิ้นพระชนม์ลง บุตรชายทั้งสองไม่มีความสามารถพอ จูหยวนจางจึงได้ขึ้นเป็นผู้นำกองกำลังแทน พ.ศ. 1899 (ค.ศ. 1356) จูหยวนจางยกกำลังบุกเมืองจี้ซิงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอิ้งเทียน ( ปัจจุบันคือเมืองหนานจิง ) ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการทยอยกำจัดกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่ตั้งตัวเป็นอิสระเช่นกัน พร้อมกับใช้คำสั่ง สามไม่ คือ ไม่เผาบ้าน ไม่ฆ่าคน ไม่ปล้นชิง ทำให้ชาวเมืองอื่นๆ ต่างพากันยินยอมอย่างง่ายดาย พ.ศ. 1907 (ค.ศ. 1364) สถาปนาตนเองขึ้นเป็นหวู่หวาง ปกครองดินแดนแถบใต้แม่น้ำฉางเจียง
กัวจื่อซิงเห็นแววความสามารถของเขาจึงได้ยกหม่าชิวเซียงธิดาบุญธรรมให้เป็นภรรยา ในปี พ.ศ. 1895 จูหยวนจางปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งมีผลงานโดดเด่นกว่าผู้อื่นจึงได้รับเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วแต่ทำให้ถูกกัวจื่อซิงกับบุตรชายระแวงอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งกัวจื่อซิงจับเขาไปขังแต่หม่าชิงเซียงกับมารดาไปอ้อนวอนขอจึงได้รับการปล่อยตัว จูหยวนจางจึงตัดสินใจพาภรรยากลับไปอยู่ที่ตำบลจงหลีบ้านเกิดและได้ชักชวนเพื่อนในวัยเยาว์กับคนอื่นๆ จัดตั้งกองกำลังเป็นของตนเอง จาก 700 คนก็เพิ่มจำนวนมากกว่า 20,000 คนภายในระยะเวลา 2 ปีพ.ศ. 1898 (ค.ศ. 1355) ฉีโจวหวางหรือกัวจื่อซิงพ่อตาของเขาสิ้นพระชนม์ลง บุตรชายทั้งสองไม่มีความสามารถพอ จูหยวนจางจึงได้ขึ้นเป็นผู้นำกองกำลังแทน พ.ศ. 1899 (ค.ศ. 1356) จูหยวนจางยกกำลังบุกเมืองจี้ซิงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอิ้งเทียน ( ปัจจุบันคือเมืองหนานจิง ) ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการทยอยกำจัดกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่ตั้งตัวเป็นอิสระเช่นกัน พร้อมกับใช้คำสั่ง สามไม่ คือ ไม่เผาบ้าน ไม่ฆ่าคน ไม่ปล้นชิง ทำให้ชาวเมืองอื่นๆ ต่างพากันยินยอมอย่างง่ายดาย พ.ศ. 1907 (ค.ศ. 1364) สถาปนาตนเองขึ้นเป็นหวู่หวาง ปกครองดินแดนแถบใต้แม่น้ำฉางเจียง
== การขยายอำนาจของอาณาจักรชิง ==
== ยุคสมัยใหม่ ราชวงศ์ชิง ==
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}
ราชวงศ์ชิง
เรียกได้ว่าเป็นราชวงศ์ชิง ที่ ถูกรุกราน มากที่สุด ในสมัย ของพระนางซูสีไทเฮา เรียกได้ว่า พระนางนั้นต้องแบกรับ ทุกสิ่งทุกอย่าง


==อ้างอิง==
==อ้างอิง==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:12, 31 พฤษภาคม 2554

จักรวรรดิจีนก่อตั้งโดยราชวงศ์ฉินนำโดยฉินซื่อหวงตี้ซึ่งได้รวบรวมรัฐของจีนที่แตกออกเป็น 7 รัฐให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ฉินซื่อหวงตี้บริหารประเทศโดยใช้ระบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางซึ่งจักรวรรดิจีนมีอายุยืนยาวมากประมาณ 2113ปี โดยเริ่มตั้งแต่ ราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์จิ้น ราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง โดยมาสิ้นสุดที่ ราชวงศ์ชิง    

เขตแดนราชวงศ์ฉิน
เขตแดนของราชวงศ์ฮั่น


เขตแดนของราชวงศ์ถัง
เขตแดนราชวงศ์ซ่ง
เขตแดนราชวงศ์หยวน
เขตแดนราชวงศ์หมิง
เขตแดนราชวงศ์ชิง


การขยายอำนาจของอาณาจักรฉิน

การขยายอำนาจของอาณาจักรฮั่นสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้

ไฟล์:漢朝.jpg
เขตแดนของราชวงศ์ฮั่น
ไฟล์:W020061009632608108189.jpg
จักรพรรดิฮั่นเกาจู ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น

ราชวงศ์ฮั่นรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ พระองค์ทรงขยายดินแดนอาณาจักรฮั่นออกไปกว้างขวางจนถึงเตอร์กีสถานในรัสเซียภูมิภาคเอเชียกลาง และทำสงครามขับไล่พวกซุงหนูออกไปจากภาคเหนือของจีนได้สำเร็จ ยึดครองดินแดนแมนจูเรีย เกาหลีทางตอนเหนือ ยึดครองดินแดน หนานเยียะ (กวางตุ้งและกว่างซี) และเวียดนามตอนเหนือ

การขยายอำนาจของอาณาจักรจิ้น

การขยายอำนาจของอาณาจักรสุย

การขยายอำนาจของอาณาจักรถังสมัยจักรพรรดิถังไท่จง

ไฟล์:唐朝.jpg
ภาพเขตแดนราชวงศ์ถัง

ทิศเหนือรบชนะพวกเติร์กมีอำนาจเหนือมองโกเลีย

ทิศตะวันออกมีอำนาจเหนือคาบสมุทรเกาหลี

ทิศใต้มีอำนาจเหนือเวียดนาม

ทิศตะวันตกรบชนะพวกอุยเกอร์มีอำนาจเหนือซินเจียง

การขยายอำนาจของอาณาจักรซ่ง

เนื่องจากเผชิญการคุกคามจาก ทัพเหลียว ทัพซีเซี่ย และทัพจินตามลำดับ อาณาจักรซ่งจึงไม่สามารถขยายอำนาจออกไปได้เหมือนอาณาจักรฮั่นและอาณาจักรถังได้ แต่อาณาจักรซ่งก็มีแม่ทัพที่เก่งอยู่ที่ทำสงครามชนะทัพจินอันเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนที่ชอบขยายอำนาจเข้ามายังอาณาจักรซ่ง แม่ทัพที่มีชื่อ ได้แก่ งักฮุย หานซื่อจง จางจุ้น เช่นการรบกับพวกจินในทุกๆครั้งที่ทัพของงักฮุยไม่เคยพ่ายแพ้เลย ในปี ค.ศ. 1140 ภายในอาณาจักจินเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยแม่ทัพสายเหยี่ยวอย่างอูจู๋ขึ้นมามีอิทธิพลในราชสำนักจิน ส่งผลให้ในเวลาต่อมากองทัพจินยกทัพลงมารุกรานอาณาจักรซ่งใต้อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการแบ่งการเดินทัพออกเป็นหลายสาย อย่างไรก็ตามด้วยการต่อต้านอันเข้มแข็งของประชาชนและทหารซ่งทำให้สามารถยันกองทัพจินเอาไว้ได้ นอกจากนี้ด้วยความกล้าหาญและสามารถของแม่ทัพแห่งราชวงศ์ซ่งหลายต่อหลายนายอย่างเช่น หานซื่อจง (韩世忠), จางจุ้น (张俊) รวมไปถึงงักฮุย ทำให้นอกจากจะสามารถป้องกันอาณาเขตไว้ได้แล้ว กองทัพซ่งยังสามารถรุกเอาดินแดนคืนได้อีกมากมายด้วย โดยกองทัพของงักฮุยสามารถยึดเอาไช่โจว (蔡州; ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหอหนาน) อิ่งชาง (颍昌; ปัจจุบันอยู่ในเหอหนาน) เจิ้งโจว และลั่วหยาง คืนมาจากจินได้ โดยในเวลาต่อมากองทหารม้าของงักฮุยยังสามารถรักษาเหยี่ยนเฉิง (郾城; ปัจจุบันอยู่ในเหอหนาน) และตีกองทัพทหารม้าอันเข้มแข็งของอูจู๋เสียกระเจิงอีกด้วย โดยชัยชนะครั้งนั้นในหน้าประวัติศาสตร์จีนบันทึกเอาไว้ว่าคือ “ชัยชนะที่เหยี่ยนเฉิง (郾城大捷) ”

การขยายอำนาจของอาณาจักรหยวน

มองโกล เผ่าพันธุ์ลูกหลานแห่งเจงกีสข่านผู้ยิ่งใหญ่ ชนชาติจากแผ่นดินทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง นักล่าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักขี่ม้าและนักยิงธนูตัวยง ได้เริ่มต้นประกาศแสนยานุภาพด้วยการยาตราทัพอันแข็งแกร่งบุกสู่ยุโรป ผนวกแผ่นดินซี่เซี่ยและจิน กระทั่งยึดครองลงใต้มายังราชธานีของราชวงศ์ซ่ง จนจีนต้องถึงกาลผลัดแผ่นดินอีกครั้งราชวงศ์หยวน หรือที่เรียกในนามว่าต้าหยวน (大元) เป็นมหาอาณาจักรที่ถูกสถาปนาขึ้นโดยชนชาติมองโกลที่อาศัยอยู่บนที่ราบสูงทางตอนเหนือของประเทศจีน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีชนกลุ่มน้อยสามารถเข้ายึดครองอำนาจการปกครองทั่วทั้งแผ่นดินจีนได้ ชาวมองโกลที่เชี่ยวชาญด้านการสัประยุทธ์ ไม่เพียงแต่ใช้กำลังทหารยึดครองเขตภาคกลางและพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ของจีนเท่านั้น แต่ยังได้แผ่ขยายแสนยานุภาพควบคุมไปจนถึงเขตเอเชียตะวันตก กลางเป็นราชวงศ์ที่มีขอบเขตการปกครองที่กว้างใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีประวัติศาสตร์จีนเป็นต้นมาชนชาติมองโกล (蒙古族) จัดเป็นชนเผ่าเก่าแก่หนึ่ง ที่อาศัยการเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ในการดำรงชีวิต เนื่องจากอาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่แห้งแล้ง ทุรกันดาร มีอากาศหนาวจัด และเป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ชาวมองโกลเป็นคนที่มีความทรหดอดทน และเก่งกล้าสามารถในการขี่ม้าและยิงธนู กระทั่งช่วงศตวรรษที่ 12 ในชนเผ่ามองโกลได้บังเกิดยอดคนที่เป็นผู้นำขึ้นคนหนึ่งนามว่า เถี่ยมู่เจิน (铁木真) หรือเตมูจินที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของชนเผ่าด้วยการรวบรวมชาวมองโกลที่แตกแยกกระจัดกระจายได้สำเร็จ จนได้รับการขนานนามเป็น “เจงกิสข่าน” (成吉思汗)ในปีค.ศ. 1206ภายใต้การนำของเจงกีสข่าน ชนเผ่ามองโกลได้เติบโตและเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นกองกำลังทางเหนือของจีนที่ไม่อาจดูแคลนได้อีกต่อไป ในขณะนั้น นอกจากอาณาจักรซ่งใต้ (南宋) แล้ว ยังมีอาณาจักรซีเซี่ย (西夏) และอาณาจักรจิน (金国) ที่จัดว่าเป็นดินแดนที่มีเอกราชอธิปไตยของตนอยู่ จนกระทั่งปี 1227 เจงกิสข่านได้นำทัพเข้าพิชิตดินแดนซีเซี่ย และสิ้นพระชนม์จบชีวิตอันเกรียงไกรของตนลงในปีเดียวกันแม้ว่าเจงกิสข่านจะสิ้นชีพไปแล้ว ทว่าด้วยรากฐานที่ได้วางเอาไว้ ส่งผลให้อาณาจักรของมองโกลมิเพียงไม่ถดถอย ซ้ำยังรุดหน้าขยายแผ่นดินไปเรื่อยๆ หลังจากกลืนแผ่นดินซีเซี่ยเป็นผลสำเร็จ ก็เบนเข็มต่อมายังอาณาจักรจิน ซึ่งถือว่าเป็นรัฐกันชนระหว่างอาณาจักรซ่งใต้กับมองโกล ซึ่งในช่วงเวลานั้น ราชสำนักซ่งใต้ ได้เลือกที่จะจับมือเป็นพันธมิตรกับมองโกล จนกระทั่งในปีค.ศ. 1234 กองทัพอันเหี้ยมหาญของชนชาติที่ยิ่งใหญ่บนทุ่งหญ้า ก็สามารถพิชิตอาณาจักรจินที่กำลังเสื่อมถอยลงได้หลังจากผ่านการสืบทอดอำนาจมาหลายรุ่น จากเจงกีสข่าน มาสู่วอคั่วข่าน กุ้ยโหยวข่าน เมิ่งเกอข่าน และเมื่อมาถึงสมัยของกุบไลข่าน หรือฮูปี้เลี่ย (忽必烈) หลานของเจงกีสข่านผู้ขนานนามตนเองว่าหยวนซื่อจู่ (元世祖) ได้ยอมรับความคิดเห็นของขุนนางนามหลิวปิ่งจง, หวังเอ้อ สถาปนาราชวงศ์ต้าหยวนขึ้นในปีค.ศ. 1271 และย้ายราชธานีมาอยู่ที่ต้าตู (大都) หรือปักกิ่งในปัจจุบันโดยคำว่าหยวนมาจากคำในคัมภีร์โบราณของจีน “อี้จิง” (易经) โดยยังคงรักษาซั่งตู ให้เป็นเมืองหลวงทางตอนเหนือเอาไว้ ซึ่งเหตุการณ์นี้นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของอาณาจักรมองโกลผู้แผ่ขยายอาณาเขตไปจนถึงเปอร์เซีย รัสเซีย ที่แต่เดิมสนใจเพียงปล้นชิงขูดรีดจากแผ่นดินจีน กลายมาเป็นถือเป็นแผ่นจีนเป็นศูนย์กลางในการปกครองอาณาจักร อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นที่ผลักดันให้ปักกิ่งค่อยๆกลายเป็นแหล่งศูนย์รวมทางการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมแม้ว่าจะมีการตั้งเมืองหลวงอยู่ในต้าตูแล้ว ทว่า ณ เวลานั้นชนชาติมองโกลยังไม่สามารถครอบครองแผ่นดินจีนทั้งหมด ด้วยปณิธานที่ต้องการจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น กุบไลข่านจึงนำทัพบุกดินแดนซ่งใต้แล้วจับตัวฮ่องเต้ซ่งกงตี้กับพระมารดาไป ในห้วงเวลาดังกล่าวก็ยังมีขุนนางซ่งผู้จงรักภักดีอีกกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านกองทัพมองโกลอย่างกล้าหาญ ทว่าในที่สุดราชวงศ์ซ่งใต้ก็ถูกพิชิตอย่างราบคาบในปี 1279 ราชวงศ์หยวนสามารถรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่นโดยมีอาณาเขตทางเหนือจรดแผ่นดินมองโกล ไซบีเรีย ทางใต้จรดหนันไห่ (ทะเลใต้) ตะวันตกเฉียงใต้ครอบคลุมไปถึงมณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) และทิเบตในปัจจุบัน ตะวันตกเฉียงเหนือไปถึงทางตะวันออกของซินเจียง (ซินเกียง) ตะวันออกเฉียงเหนือไปถึงทะเลโอคอตสค์ เป็นมหาจักรวรรดิแห่งแรกที่ครองพื้นที่ไปทั่วทั้งเอเชียและยุโรป 0_0--119.46.217.225 13:13, 13 กันยายน 2553 (ICT)

การขยายอำนาจของอาณาจักรต้าหมิง

เริ่มการโจมตีราชวงศ์หยวน กัวจื่อซิงเห็นแววความสามารถของเขาจึงได้ยกหม่าชิวเซียงธิดาบุญธรรมให้เป็นภรรยา ในปี พ.ศ. 1895 จูหยวนจางปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งมีผลงานโดดเด่นกว่าผู้อื่นจึงได้รับเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วแต่ทำให้ถูกกัวจื่อซิงกับบุตรชายระแวงอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งกัวจื่อซิงจับเขาไปขังแต่หม่าชิงเซียงกับมารดาไปอ้อนวอนขอจึงได้รับการปล่อยตัว จูหยวนจางจึงตัดสินใจพาภรรยากลับไปอยู่ที่ตำบลจงหลีบ้านเกิดและได้ชักชวนเพื่อนในวัยเยาว์กับคนอื่นๆ จัดตั้งกองกำลังเป็นของตนเอง จาก 700 คนก็เพิ่มจำนวนมากกว่า 20,000 คนภายในระยะเวลา 2 ปีพ.ศ. 1898 (ค.ศ. 1355) ฉีโจวหวางหรือกัวจื่อซิงพ่อตาของเขาสิ้นพระชนม์ลง บุตรชายทั้งสองไม่มีความสามารถพอ จูหยวนจางจึงได้ขึ้นเป็นผู้นำกองกำลังแทน พ.ศ. 1899 (ค.ศ. 1356) จูหยวนจางยกกำลังบุกเมืองจี้ซิงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอิ้งเทียน ( ปัจจุบันคือเมืองหนานจิง ) ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการทยอยกำจัดกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่ตั้งตัวเป็นอิสระเช่นกัน พร้อมกับใช้คำสั่ง สามไม่ คือ ไม่เผาบ้าน ไม่ฆ่าคน ไม่ปล้นชิง ทำให้ชาวเมืองอื่นๆ ต่างพากันยินยอมอย่างง่ายดาย พ.ศ. 1907 (ค.ศ. 1364) สถาปนาตนเองขึ้นเป็นหวู่หวาง ปกครองดินแดนแถบใต้แม่น้ำฉางเจียง

การขยายอำนาจของอาณาจักรชิง

อ้างอิง


แม่แบบ:Link FA